ตอนที่ 311 ใจกว้าง
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง…” สีหน้าของถงหมัวมัวไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าใด นางย่อกายทำความเคารพพลางเอ่ยขึ้น “ผู้ดูแลหลิวที่เราส่งไปซ่อมแซมจวนบรรพบุรุษที่ซั่วหยางกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังรายงานเรื่องนี้กับฮูหยินอยู่ที่เรือนหน้าเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ” ไป๋ชิงเหยียนวางถ้วยชาในมือลง
“บรรดาคนจากตระกูลบรรพบุรุษช่างน่าไม่อายจริงๆ เจ้าค่ะ…” ถงหมัวมัวโมโหจนขมับเต้นตุบตับ “ตอนที่ผู้ดูแลหลิวไปถึงที่ซั่วหยางเขาพบว่าครอบครัวของผู้เฒ่าห้าล้วนอาศัยอยู่ที่จวนหลังนั้น ผู้ดูแลหลิวไปสืบถึงได้รู้ว่าปกติพวกเราส่งจดหมายไปบอกล่วงหน้าว่าจะเดินทางไปซั่วหยาง พวกเขาจึงจะย้ายออกจากจวนเจ้าค่ะ พอพวกเรากลับพวกเขาก็ย้ายเข้าไปอยู่ใหม่! ตระกูลเช่นนี้ยังมีหน้ามาอ้างบุญคุณว่าช่วยพวกเราดูแลจวนบรรพบุรุษและมาขอผลประโยชน์จากฮูหยินอีกเจ้าค่ะ!”
“พวกเขาให้คนทำความสะอาดจวนทุกครั้งที่พวกเรากลับไปก็เพราะกลัวว่าพวกเราจะรู้ว่าพวกเขาแอบย้ายเข้าไปอยู่ที่จวน ยังมีหน้ามีอวดอ้างบุญคุณอีก!”
ถงหมัวมัวรังเกียจการกระทำของตระกูลบรรพบุรุษจากซั่วหยางตั้งแต่พิธีศพของตระกูลไป๋แล้ว เมื่อได้ยินเรื่องที่ผู้ดูแลหลิวกลับมารายงานให้ต่งซื่อฟังก็ยิ่งโมโหจนแทบระเบิดออกมา
สีหน้าของไป๋จิ่นซิ่วเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน หญิงสาวกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะสีดำอย่างแรง “น่าไม่อายถึงเพียงนี้เลยหรือ!”
“ผู้ดูแลหลิวยังกล่าวอีกว่าพอเราซ่อมแซมจวนเสร็จ ครอบครัวของผู้เฒ่าห้าก็ย้ายเข้าไปอยู่ในจวนทันทีโดยที่ผู้ดูแลหลิวยังไม่จากไปเลยด้วยซ้ำเจ้าค่ะ กล่าวว่าตระกูลไป๋ทิ้งจวนบรรพบุรุษที่ซั่วหยางไว้ให้บุตรชายคนโตหรือหลานชายคนโตซึ่งเป็นทายาทสายตรงของตระกูลไป๋…” ถงหมัวมัวกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ดวงตาแดงก่ำ “กล่าวว่าตระกูลไป๋ของเราไม่มีบุรุษหลงเหลืออีกแล้ว จวนบรรพบุรุษต้องกลับคืนสู่ตระกูลไป๋ พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นมาหลายสิบปี ได้รับการอนุญาตจากประมุขของตระกูล! หากสตรีของตระกูลไป๋กลับไป ตระกูลจะสร้างกำแพงกั้นและแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งให้สตรีตระกูลไป๋อาศัยอยู่เพราะสงสาร ยังกล่าวอีกว่าต้องสร้างกำแพงให้สูงลิบ มิฉะนั้นไอสังหารจากตัวคุณหนูใหญ่อาจแผ่ไปถึงพวกเขาได้เจ้าค่ะ”
ไป๋จิ่นซิ่วตบมือลงบนโต๊ะอย่างโมโห “ตระกูลบรรพบุรุษรังแกกันมากเกินไปแล้ว หากจะกล่าวเช่นนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้มัวไปทำอันใดอยู่ เหตุใดต้องรอให้เราซ่อมแซมจวนเสร็จก่อนแล้วค่อยมาแย่งไปอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ด้วย รังแกเพราะคิดว่าตระกูลไป๋ไม่มีบุรุษแล้วอย่างนั้นหรือ!”
“ผู้เฒ่าห้าอาศัยว่าตัวเองมีกำลังคนมากกว่า ตอนนี้เขาตามช่างมาสร้างกำแพงแล้วเจ้าค่ะ ผู้ดูแลหลิวจ้างคนมาห้ามไว้อย่างถึงที่สุด จากนั้นเขาก็รีบขี่ม้าเร็วกลับมารายงานฮูหยินเจ้าค่ะ!” ถงหมัวมัวโมโหจนหน้าอกสั่นไหว
ดวงตาของไป๋ชิงเหยียนเคร่งขรึมลง โทสะเดือดพล่านอยู่ในใจ ตระกูลบรรพบุรุษ…หลายปีมานี้ทำตัวราวกับปลิงดูดเลือดตระกูลไป๋
เป็นดังคำโบราณว่าไว้จริงๆ ข้าวหนึ่งเซิงเป็นบุญคุณ ข้าวหนึ่งโต่วคือความแค้น ท่านปู่และท่านพ่อใจกว้างกับตระกูลบรรพบุรุษมากเกินไป พวกเขาถึงได้โลภมากถึงเพียงนี้
“พี่หญิงใหญ่จะไปดูหรือไม่เจ้าคะ” ไป๋จิ่นซิ่วถาม
“พี่ไปเปลี่ยนชุดครู่หนึ่ง”
ถงหมัวมัวไม่ได้ฟังเรื่องราวอย่างละเอียด ไป๋ชิงเหยียนต้องไปสอบถามผู้ดูแลหลิวอีกรอบ
ยังมีเรื่องโฉนดที่ดินของจวนบรรพบุรุษหลังนั้นอีก ไม่รู้ว่าอยู่ที่ตระกูลบรรพบุรุษหรืออยู่ที่ท่านปู่กันแน่
หากอยู่ที่ท่านปู่ ท่านย่าต้องมอบให้ท่านแม่ก่อนเดินทางไปยังวัดของราชวงศ์แล้ว
หากโฉนดที่ดินยังอยู่ก็ถือว่าดีไป แต่หากไม่อยู่…คงต้องคิดหาวิธีอื่น
แม้ไป๋จิ่นซิ่วจะแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ทว่า หญิงสาวยังเป็นห่วงตระกูลไป๋อยู่ นางรอไป๋ชิงเหยียนเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย จากนั้นตามไป๋ชิงเหยียนไปหาต่งซื่อ ผู้ดูแลหลิวยังคงอยู่ที่นั่น
ต่งซื่อโมโหจนใบหน้าเขียวคล้ำ ผ้าเช็ดหน้าในมือบิดเบี้ยวไม่เป็นทรง หากไม่ใช่เพราะได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี นางคงสบถด่าออกมาแล้ว
ผู้ดูแลหลิวเห็นไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นซิ่วเดินเข้ามาทำความเคารพต่งซื่อ เขารีบลุกขึ้นยืน ดวงตาแดงก่ำในทันที “คุณหนูใหญ่! ในที่สุดคุณหนูใหญ่ก็กลับมาจากหนานเจียงอย่างปลอดภัย!”
ตอนที่ผู้ดูแลหลิวยังอยู่ที่ซั่วหยาง ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวสงครามจากหนานเจียง เขาเป็นกังวลตลอดเวลา ต่อมาได้ยินว่าคุณหนูใหญ่สังหารทหารยอมจำนนนับแสนของซีเหลียงจนได้รับชัยชนะ เขาทั้งดีใจทั้งเป็นห่วง เขาจุดธูปขอให้เจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงและเจิ้นกั๋วกงไป๋ฉีซานคุ้มครองคุณหนูใหญ่ให้กลับมาอย่างปลอดภัย แถมยังร้องไห้ไปยกใหญ่
บัดนี้เห็นไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างปลอดภัยไร้บาดแผล ผู้ดูแลหลิวรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“ทำให้ลุงหลิวเป็นห่วงแล้ว!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับผู้ดูแลหลิวยิ้มๆ “ลุงหลิวนั่งก่อนเถิด ข้าได้ยินเรื่องตระกูลบรรพบุรุษจากถงหมัวมัวมาบ้างแล้ว รบกวนลุงหลิวเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังอีกรอบเถิด”
ผู้ดูแลหลิวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ซั่วหยางให้ไป๋ชิงเหยียนฟังอย่างละเอียด คล้ายกับที่ถงหมัวมัวรายงาน ทว่า ลงรายละเอียดลึกกว่าเล็กน้อย
อย่างเช่น ผู้ดูแลเก่าแก่ของจวนบรรพบุรุษไป๋ถูกผู้เฒ่าห้าซื้อตัวไปแล้ว ผู้เฒ่าห้าเป็นคนต้นคิดเรื่องการซ่อมแซมจวนแล้วให้ตระกูลไป๋ออกค่าใช้จ่ายเพื่อให้ครอบครัวของพวกเขาได้อยู่อย่างสุขสบายขึ้น
ผู้ดูแลหลิวกลับไปในครั้งนี้ ผู้เฒ่าห้าหยิบแผนผังจวนออกมาจากนั้นแบ่งจวนออกเป็นสองส่วน พวกเขาเอาไปเกือบครึ่ง เหลือพื้นที่ให้ตระกูลไป๋เพียงนิดเดียว กล่าวว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่เรือนนั้นมาตั้งนานแล้ว ที่สำคัญตอนนี้ตระกูลไป๋เหลือเพียงสตรี เรือนด้านหน้าควรเก็บไว้ให้บุรุษใช้ จึงไม่แบ่งให้ตระกูลไป๋
แสร้งทำเป็นแบ่งพื้นที่ของจวนบรรพบุรุษให้หญิงหม้ายและเด็กกำพร้าบิดาของตระกูลไป๋ได้อาศัยอยู่ จากนั้นยึดจวนบรรพบุรุษให้ตกเป็นสมบัติของตระกูลตัวเอง
ต่อมา ผู้เฒ่าหกรู้เรื่องจึงมาขอส่วนแบ่งบ้าง ไม่ยอมให้ผู้เฒ่าห้าได้จวนไปครอบครองคนเดียว ทั้งสองถึงขั้นทะเลาะกันยกใหญ่
คนในตระกูลบรรพบุรุษล้วนรับรู้การทะเลาะในครั้งนี้ บางคนคิดว่าไม่เหมาะสม บางคนอยากได้ส่วนแบ่งด้วย บางคนที่อยากยกบุตรหลานของตัวเองให้เป็นบุตรของต่งซื่อต่อว่าหาว่าผู้เฒ่าห้ารังแกกันมากเกินไป แม้บุรุษตระกูลไป๋จะเสียชีวิตลงหมดแล้ว ทว่า ขอแค่ต่งซื่อรับบุรุษสักคนจากตระกูลไปเป็นบุตร เช่นนี้พวกนางก็จะมีทายาทสืบทอด กล่าวว่าผู้เฒ่าห้าโลภมากเกินไป
สรุปก็คือวุ่นวายเป็นที่สุด!
ผู้ดูแลหลิวเห็นดังนั้นจึงสั่งให้คนห้ามช่างต่อเติมไว้ก่อน เขารู้สึกว่าตระกูลบรรพบุรุษกำลังทะเลาะกันอยู่ คงยังไม่ก่อเรื่องอันใดขึ้น เขาจึงรีบกลับมารายงานฮูหยินก่อน
“ท่านแม่ โฉนดจวนบรรพบุรุษอยู่ที่ท่านแม่หรือไม่เจ้าคะ” ไป๋ชิงเหยียนถาม
ต่งซื่อส่ายหน้า ขมวดคิ้วแน่น “หากเป็นโฉนดที่ดินและโฉนดจวนอยู่ที่เราทั้งหมด ตระกูลบรรพบุรุษคงไม่กล้าเหิมเกริมถึงเพียงนี้หรอก ที่จวนเรามีเพียงโฉนดที่ดินเท่านั้น ส่วนโฉนดจวนอยู่ที่ตระกูลบรรพบุรุษ”
เดิมทีผู้ที่ดำรงตำแหน่งประมุขของตระกูลควรเป็นบุตรชายคนรองของทายาทสายตรง ดังนั้นโฉนดจวนของตระกูลไป๋ล้วนอยู่ที่ตระกูลบรรพบุรุษ ทว่า ต่อมาทายาทสายตรงของปู่ทวดของไป๋ชิงเหยียนล้วนเสียชีวิตทั้งหมด ตระกูลจึงรับบุตรอนุมาเป็นบุตรของย่าทวดของไป๋ชิงเหยียนและให้เขารับช่วงต่อตำแหน่งประมุขของตระกูล
ตามหลักแล้ว เมื่อถึงรุ่นของท่านปู่ของไป๋ชิงเหยียน น้องชายของท่านปู่ควรรับช่วงต่อตำแหน่งประมุขของตระกูล ทว่า ท่านปู่ไม่มีน้องชาย…