ตอนที่ 312 ชื่อเสียงเลวร้าย
ต่อมาหลังจากปรึกษากันแล้วจึงตัดสินให้บุตรอนุซึ่งย่าทวดของไป๋ชิงเหยียนรับเป็นบุตรรับช่วงต่อตำแหน่งประมุขแทน ต่อมาเขาก็มอบตำแหน่งนี้ให้บุตรชายของเขาต่อ
ทว่า ไม่ว่าท่านทวด ท่านปู่หรือท่านพ่อก็ไม่เคยคิดจะนำโฉนดจวนกลับคืนมา พวกเขาปล่อยไว้ที่ตระกูลบรรพบุรุษมาโดยตลอด
มีโฉนดที่ดินแต่ไม่มีโฉนดจวน ถือเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่เหมือนกัน
“ก่อนหน้านี้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ได้รับความคุ้มครองจากจวนเจิ้นกั๋วกง ตอนนี้คุณหนูใหญ่เป็นจวิ้นจู่ พวกเขายังได้อาศัยบารมีของจวนเจิ้นกั๋วถงและคุณหนูใหญ่ ทว่า กลับรังแกกันถึงเพียงนี้! คุณหนูใหญ่คงไม่ทราบว่าหลายปีมานี้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ทำเรื่องเลวร้ายไว้มากเพียงใด ทว่า ผู้อื่นกลับคิดว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋อาศัยอำนาจบารมีของจวนเจิ้นกั๋วกง ข้าบังเอิญได้ยินชาวบ้านบ่นว่าในที่สุดจวนเจิ้นกั๋วกงก็ล้มแล้ว แต่ตระกูลไป๋ดันมีเทพสังหารโผล่ขึ้นมาอีก แถมยังได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ ตระกูลไป๋ตั้งเหิมเกริมมากกว่าเดิมอีกแน่นอน”
ผู้ดูแลหลิวเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก
เขาไม่กล้าบอกต่งซื่อและไป๋ชิงเหยียนว่าช่วงนี้มีคนแพร่กระจายข่าวเรื่องที่ไป๋ชิงเหยียนสังหารทหารยอมจำนนของซีเหลียงไปทั่วทั้งซั่วหยาง เพราะการกระทำเลวร้ายและบาปที่ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ก่อไว้ ชาวบ้านที่ซั่วหยางล้วนคิดว่าไป๋ชิงเหยียนเป็นคนอำมหิตเลือดเย็นและไร้ความปราณี
เพราะชื่อเสียงของไป๋ชิงเหยียนเสื่อมเสียหมดแล้ว ตระกูลบรรพบุรุษไป๋จึงกล้ายึดครองจวนบรรพบุรุษอย่างซึ่งๆ หน้าเช่นนี้
“ลุงหลิว มีเรื่องอันใดอีกหรือ” ไป๋ชิงเหยียนเห็นท่าทีอึกอักของผู้ดูแลหลิวจึงเอ่ยถาม
ผู้ดูแลหลิวมองไปทางต่งซื่อแวบหนึ่ง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นขมวดคิ้วแน่นพลางกล่าวออกมา
“ตอนข่าวเรื่องที่คุณหนูใหญ่ได้รับแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ส่งไปถึงซั่วหยาง มีบางคนแพร่กระจายข่าวเรื่องที่คุณหนูใหญ่สังหารทหารยอมจำนนนับแสนของซีเหลียงไปทั่วเมืองซั่วหยางขอรับ บวกกับเรื่องเลวร้ายที่ตระกูลบรรพบุรุษตระกูลไป๋ทำลงไป เมื่อได้ยินว่าบุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงทั้งหมด ชาวบ้านที่เคยถูกตระกูลบรรพบุรุษไป๋รังแก…”
ผู้ดูแลหลิวกล่าวออกมาไม่ได้ กล่าวเพียง “สรุปก็คือ…หลังจากข่าวเรื่องที่คุณหนูใหญ่ได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่แพร่ไปถึงซั่วหยาง ขุนนางของซั่วหยางเชิญตระกูลบรรพบุรุษไปเลี้ยงฉลอง ทว่า ชาวบ้านซั่วหยางต่างรู้สึกไม่ดีกับคุณหนูใหญ่ขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้โกรธ ทว่า ต่งซื่อกลับผลุดลุกขึ้นยืน ”ตอนที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลบรรพบุรุษไป๋อาศัยบารมีของท่านทำเรื่องเลวร้ายมากมาย ทางการเห็นแก่หน้าของท่านพ่อ ไม่รู้ว่าช่วยพวกเขาปกปิดความผิดตั้งเท่าใด ชาวบ้านมากมายในซั่วหยางล้วนโกรธแค้นตระกูลไป๋เข้ากระดูกดำ ตอนนี้พวกเขาทั้งรังแกสตรีหม้าย และเด็กกำพร้าอย่างพวกเรา อีกทั้งอาศัยบารมีของลูกสาวข้าทำเรื่องชั่วร้ายด้วยอย่างนั้นหรือ! รังแกกันมากเกินไปจริงๆ! รังแกกันมากเกินไปแล้ว!”
“ท่านแม่…” ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นประคองต่งซื่อ ลูบแผ่นหลังของมารดาอย่างแผ่วเบา
“ท่านแม่อย่าเพิ่งร้อนใจไปเจ้าค่ะ ให้ข้าเป็นคนจัดการเรื่องนี้นะเจ้าคะ ข้าจะทำให้ท่านแม่พอใจเลยเจ้าค่ะ”
“ที่เมื่อครู่ข้าไม่เรียนให้ทราบก็เพราะกลัวว่าฮูหยินจะโกรธขอรับ ในเมื่อคุณหนูใหญ่กล่าวว่าจัดการได้ เช่นนั้นต้องจัดการได้อย่างแน่นอนขอรับ ฮูหยินอย่าโมโหเลยนะขอรับ” ผู้ดูแลหลิวเอ่ยปลอบ
ต่งซื่อถูกไป๋ชิงเหยียนประคองให้นั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม นางกัดฟันกรอด เอ่ยขึ้น
“ปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้แล้ว ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ได้คืบจะเอาศอก ท่านย่าของเจ้ายังอยู่ เจ้าก็เป็นถึงจวิ้นจู่ พวกเขายังกล้ารังแกพวกเราถึงเพียงนี้ ตระกูลเราไม่มีบุรุษหลงเหลือ หากกลับไปซั่วหยาง ไม่รู้จะโดนเอาเปรียบรังแกเช่นใดบ้าง เราต้องคิดหาวิธี…”
“ข้าคิดวิธีออกแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่คิดเพียงว่ากลับไปจะจัดที่พักให้พวกเราทั้งตระกูลอย่างไรให้อยู่อย่างสุขสบายก็พอเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนบีบมือต่งซื่อ “ท่านแม่เชื่อข้านะเจ้าคะ!”
“เจ้ามีแผนการแล้วอย่างนั้นหรือ” ต่งซื่อมองหน้าบุตรสาวพลางเอ่ยถาม
“ที่จริงบรรพบุรุษตระกูลไป๋ก็แค่นึกว่าเมื่อสตรีตระกูลไป๋กลับไปอยู่ซั่วหยาง พวกเราต้องอาศัยบารมีของตระกูลบรรพบุรุษคอยดูแลก็เท่านั้น” ไป๋ชิงเหยียนเดินกลับไปนั่งลงข้างๆ ไป๋จิ่นซิ่ว
“ทว่า หลายปีมานี้ตระกูลบรรพบุรุษล้วนอาศัยบารมีของท่านปู่ในการข่มขู่และทำร้ายชาวบ้านซั่วหยาง พอมาบัดนี้ก็อาศับบารมีความเป็นจวิ้นจู่ของข้า”
“วิธีรับมือแบบถอนรากถอนโคนคนเหล่านี้ก็คือไม่ให้พวกเขาได้อาศัยบารมีของเราทำสิ่งชั่วช้าเหล่านั้นอีก!” ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองผู้ดูแลหลิว
“ทายาทตระกูลบรรพบุรุษไป๋มีมากมาย พวกที่ข้างนอกดูดีข้างในเน่าเฟะคงมีมากมาย พวกที่ก่อคดีทำเรื่องชั่วช้าถึงขั้นขึ้นศาล พวกที่ชื่อเสียงเสื่อมเสียก็คงมีไม่น้อย”
ผู้ดูแลหลิวพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ง่ายเลย ข้าจะกลับไปขอโฉนดจวนบรรพบุรุษจากท่านประมุขของตระกูลที่ซั่วหยางและสอบสวนเรื่องของผู้เฒ่าห้าด้วยตัวเอง หากท่านประมุขยอมคืนโฉนดและให้ครอบครัวของผู้เฒ่าห้าย้ายออกจากจวนบรรพบุรุษ เราจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่เอาความ ทว่า หากไม่ให้…”
น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนเยือกเย็น “ลุงหลิวกลับไปซั่วหยางหลายเดือนแล้ว คงรู้จักนิสัยใจคอของลูกหลานตระกูลไป๋ของแต่ละครอบครัวดี เช่นั้นก็ทำในสิ่งที่ลุงหลิวถนัดที่สุด ลากลูกหลานตระกูลไป๋ที่ทำเรื่องชั่วช้าสามานย์ออกมาให้หมด ถึงเวลานั้นให้ท่านประมุขเอาโฉนดจวนออกมาให้พวกเราด้วยตัวเองอย่างยินยอม”
ผู้ดูแลหลิวพยักหน้ารัว เมื่อมีคนวางแผนคนทำก็เริ่มมีความมั่นใจขึ้นมา เขารีบรับคำ “รับทราบขอรับคุณหนูใหญ่!”
ไป๋ชิงเหยียนในฐานะเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ยอมลดตัวเดินทางกลับไปขอโฉนดคืนจากประมุขของตระกูล หากประมุขไม่ยอมให้ อย่าหาว่านางเหยียบย่ำตระกูลบรรพบุรุษไป๋เพื่อลบล้างชื่อเสียงเลวร้ายของตระกูลไป๋จากเมืองหลวงที่อยู่ในใจของชาวบ้านซั่วหยางก็แล้วกัน
“พี่หญิงใหญ่จะเดินทางไปซั่วหยางเมื่อใดเจ้าคะ” ไป๋จิ่นซิ่วถาม
“พรุ่งนี้เช้า” ไป๋ชิงเหยียนมองต่งซื่อ “ท่านแม่ ข้าจะรีบไปรีบกลับเจ้าค่ะ”
“ให้ฉินหมัวมัวตามเจ้าไปด้วยเถิด” ต่งซื่ออดห่วงไม่ได้
“ข้าขี่ม้าไปขี่ม้ากลับจะเร็วกว่าเจ้าค่ะ ฉินหมัวมัวอยู่ดูแลท่านแม่ที่นี่ดีกว่าเจ้าค่ะ!” ไป๋ชิงเหยียนตัดสินใจไม่ปิดบังต่งซื่อ หญิงสาวกล่าวขึ้น “แม่ทัพจางตวนรุ่ยนำทัพไปยังภูเขาชุนมู่แล้ว กองทัพต้าเหลียงตั้งฐานทัพอยู่ที่ภูเขาหงเชวี่ย ข้าต้องรีบไปรีบกลับเผื่อทางนั้นเกิดสงครามขึ้น ข้าไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ฉินหมัวมัวอายุมากแล้ว ท่านแม่อย่าให้นางไปทรมานกับข้าเลยเจ้าค่ะ”
ต่งซื่อพยักหน้า ไม่ได้โน้มน้าวอีก “แม่จะให้คนเตรียมม้าเร็วไว้ให้ เจ้ารีบไปรีบกลับนะ”
กล่าวจบ ต่งซื่อหันไปมองไป๋จิ่นซิ่ว “ในเมื่อมาแล้ว วันนี้ก็อยู่ทานอาหารเป็นเพื่อนท่านย่าและท่านแม่ของเจ้าก่อนเถิด”
“ได้เจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวยิ้มๆ
เมื่อองค์หญิงใหญ่รู้ว่าไป๋จิ่นซิ่วจะอยู่รับประทานอาหารด้วย นางรีบสั่งให้เจี่ยงหมัวมัวไปบอกให้โรงครัวทำอาหารที่ไป๋จิ่นซิ่วชอบทานอีกสองสามอย่างอย่างอารมณ์ดี
ต่งซื่อไม่ได้เล่าเรื่องข่าวจากซั่วหยางที่ผู้ดูแลหลิวกลับมารายงานให้องค์หญิงใหญ่ฟัง นางกลัวว่าองค์หญิงใหญ่จะคิดมาก
ตระกูลไป๋เกิดเรื่องขึ้นมากมายแล้ว เกิดขึ้นต่อเนื่องกันโดยไม่มีเวลาให้คนหยุดพักหายใจ ต่งซื่ออยากให้คนในครอบครัวทานอาหารกันอย่างมีความสุขสักมื้อ
ยามโหย่ว[1]เพิ่งผ่านพ้นไป บ่าวรับใช้ในจวนไป๋จุดไฟที่แขวนอยู่ตามระเบียงทางเดินจนสว่างทุกดวงพลางสนทนากันเสียงเบาอย่างอารมณ์ดี แสงไฟสีเหลืองนวลส่องกระทบหน้าต่างและอิฐสีเขียวอ่อน โคมไฟกวัดแกว่งไปมาตามสายลมในคืนฤดูใบไม้ผลิ
เรือนฉางโซ่วในวันนี้ครึกครื้นเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะทุกคนรวมตัวกันครบ บรรยากาศจึงครึกครื้น เปลวไฟในเตาผิงสว่างชุกโชนกว่าทุกครั้ง ส่องกระทบฉากกั้นที่ปักลวดลายนกนับร้อยตัว…นกเหล่านั้นราวกับมีชีวิตอยู่จริงๆ
ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงหยอกล้อคุณหนูแปดที่เพิ่งเกิดมาลืมตาดูโลกของบรรดาคุณหนูที่อายุยังน้อย องค์หญิงใหญ่หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
หลายเดือนมานี้ องค์หญิงใหญ่อยู่ที่วัดของราชวงศ์ พี่หญิงใหญ่อยู่ที่หนานเจียง จวนไป๋เต็มไปด้วยความเยือกเย็น ในที่สุดทุกคนก็กลับมาแล้ว บรรดาเด็กน้อยย่อมดีใจเป็นธรรมดา
[1] ยามโหย่ว เวลาระหว่าง 17.00-19.00 นาฬิกา