ตอนที่ 313 บริสุทธิ์โปร่งใส
“หากพี่หญิงสามอยู่ด้วยคงครึกครื้นยิ่งกว่านี้…” ไป๋จิ่นเจาถอนหายใจออกมา เด็กน้อยคิดถึงพี่หญิงสามไป๋จิ่นถง
“นั่นสิ หากพี่หญิงสามกลับมาด้วยก็คงจะดี!” ไป๋จิ่นหวาเงยหน้ามององค์หญิงใหญ่ “ท่านย่าเจ้าคะ พี่หญิงสามจะอาการดีขึ้นก่อนที่พวกเราจะกลับไปซั่วหยางหรือไม่เจ้าคะ พี่หญิงสามจะมาส่งพวกเราหรือไม่เจ้าคะ”
องค์หญิงใหญ่ไม่ได้พาคุณหนูสามกลับมาด้วย นางบอกกับทุกคนว่าคุณหนูสามเป็นไข้ กลัวว่าจะมาแพร่เชื้อใส่น้องสาวคนที่แปดที่เพิ่งลืมตาดูโลก
“ว่ากันว่าล้มป่วยง่ายแต่หายยาก ให้จิ่นถงพักรักษาตัวให้หายดีก่อน พวกเราค่อยเจอหน้ากันวันหลังก็ได้” ไป๋ชิงเหยียนลูบศีรษะไป๋จิ่นหวาพลางกล่าวยิ้มๆ
ฉินหมัวมัวเดินนำสาวใช้ที่ถือโคมไฟหนังแกะและสาวใช้หลายสิบคนซึ่งถือถาดอาหารสีดำเข้ามาในเรือน
สาวใช้ทยอยกันเข้ามาด้านใน จัดวางอาหารลงบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบจากนั้นเดินจากไป
องค์หญิงใหญ่สั่งไว้ว่าแม้ตระกูลไป๋ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ทว่า ห้ามขาดเนื้อสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของคุณหนูเด็ดขาด อาหารมื้อเย็นจึงมีทั้งปลาและเนื้อ
ฉินหมัวมัวเดินอ้อมฉากกั้นเข้าไปยังห้องด้านใน ทำความเคารพองค์หญิงใหญ่และต่งซื่อ รายงานว่าจัดเตรียมอาหารพร้อมแล้ว
ผู้ใดจะคิดว่าทุกคนยังไม่ทันรับประทานเสร็จ เจี่ยงหมัวมัวก็แหวกม่านเดินเข้ามาด้านใน รายงานกับองค์หญิงใหญ่เสียงเบา “คนที่ถูกคุณชายคนเล็กของจวนหลู่เซียงทำร้ายที่หอฝานเชวี่ยในวันนั้นจนต้องนอนติดเตียงอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ยื้อชีวิตเอาไว้ไม่ได้ เสียชีวิตลงตอนเช้าตรู่วันนี้เพคะ”
ไป๋ชิงเหยียนกำตะเกียบในมือแน่น เงยหน้าขึ้น
ถงหมัวมัวมองหน้าไป๋ชิงเหยียนอย่างไม่อยากเชื่อ
ตายแล้วอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไรกัน
หลู่หยวนเผิงทำร้ายคนในครั้งนี้เพราะต้องการปกป้องไป๋ชิงเหยียน เมื่อหญิงสาวทราบว่าคนที่ถูกหลู่หยวนเผิงทำร้ายได้รับบาดเจ็บหนัก นางกลัวว่าหลู่หยวนเผิงจะเข้าไปพัวพันกับคดีฆ่าคนตายจึงสั่งให้หมอหงไปตรวจดูอาการคนผู้นั้น
จวนหลู่เซียงก็หาหมอฝีมือดีผู้หนึ่งจากโรงหมอผิงอันในเมืองหลวงไปคอยเฝ้าดูอาการของคนผู้นั้น
ไม่ต้องกล่าวถึงหมอของโรงหมอผิงอัน แม้ท่านหมอหงจะไม่กล้าเรียกตัวเองว่าหมอเทวดา ทว่า เขายังสามารถวินิจฉัยได้ว่าผู้ใดเจ็บหนักผู้ใดเจ็บเบา
ท่านหมอหงและหมอที่จวนหลู่เซียงส่งไปดูอาการล้วนตรวจดูบาดแผลและจับชีพจรอย่างละเอียดแล้ว ท่านหมอหงรายงานนางว่าบาดแผลตามร่างกายเป็นเพียงบาดแผลภายนอก เขาแสร้งทำเป็นนอนติดเตียงเพื่อขอเงินชดเชยจากจวนหลู่เท่านั้น
ที่สำคัญสองแม่ลูกนั่นน่าจะได้เงินจากจวนหลู่ไปแล้ว พวกเขาไม่หวาดกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ปล่อยให้ท่านหมอหงตรวจชีพจรตามใจชอบ ปากก็ก่นดาด้วยถ้อยคำหยาบคาย หาว่าจวนหลู่ไม่ยินดีชดใช้เงินให้พวกเขา จึงส่งหมอมาตรวจดูอาการซ้ำอีก กล่าวว่าพวกเขาไม่มีสิ่งใดต้องเสียอีกแล้ว พวกเขาไม่กลัวที่จะตายไปพร้อมๆ กับจวนหลู่
ฮูหยินสี่ไม่อยากได้ยินเรื่องการตาย นางรีบท่องบทสวดมนต์เบาๆ
ฮูหยินสามหลี่ซื่อก็ตกใจเช่นเดียวกัน ใช้ผ้าเช็ดหน้าทาบหน้าอก “เช่นนั้นจวนของหลู่เซียงก็ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีฆ่าคนตายน่ะสิ”
“นั่นสิ…” เจี่ยงหมัวมัวรู้ดีว่าแม้คุณชายปีศาจของจวนหลู่จะเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ทว่า พื้นฐานเขาเป็นคนจิตใจดี ที่สำคัญทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าที่หลู่หยวนเผิงลงมือทำร้ายคนในครั้งนี้ เขาทำไปเพื่อปกป้องไป๋ชิงเหยียน
ไป๋ชิงเหยียนวางตะเกียบลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “แม้แต่เจี่ยงหมัวมัวยังรู้ข่าว แสดงว่าเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว”
“คุณหนูใหญ่กล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ผู้ที่คุณชายหลู่ทำร้ายจนเสียชีวิตเป็นบัณฑิตของสำนักศึกษากั๋วจื่อเจียนนามว่าหลินซิ่นอันเจ้าค่ะ บ่ายวันนี้มารดาของหลินซิ่นอันที่เดินทางมาจากซีหลิงจวิ้นพร้อมกับหลินซิ่นอันให้สหายของหลินซิ่นอันช่วยเขียนคำร้องส่งไปยังที่ว่าการเนื่องจากตัวเองไม่รู้หนังสือเจ้าค่ะ แต่พอจวนที่ว่าการเห็นว่าเกี่ยวข้องกับจวนหลู่ พวกเขาจึงไม่กล้าไปจับคน บรรดาบัณฑิตจากสำนักศึกษากั๋วจื่อเจียนจึงไปตีกลองเติงเหวินเป็นเพื่อนมารดาของหลินซิ่นอันเจ้าค่ะ นางไม่เสียดายแม้แต่ชีวิต กล่าวเพียงว่าจะทวงความยุติธรรมคืนให้ลูกชายของนางเจ้าค่ะ”
ตระกูลหลู่มีแต่เรื่องตามมาไม่หยุดหย่อนเช่นเดียวกัน
ไป๋จิ่นซิ่ววางตะเกียบของตัวเองลงเช่นเดียวกัน เอ่ยถาม “หลู่หยวนเผิงโดนจับแล้วหรือไม่”
เจี่ยงหมัวมัวพยักหน้า “ได้ยินว่าตอนนั้นคุณชายคนเล็กของตระกูลหลู่กำลังดูเรื่องสนุกอยู่ที่ประตูอู่เต๋ออยู่เลยเจ้าค่ะ จู่ๆ เหล่าบัณฑิตจากสำนักศึกษากั๋วจื่อเจียนซึ่งสวมชุดบัณฑิตก็บุกไปตีกลองเติงเหวินพร้อมกับสตรีกลางคนผู้นั้น พวกเขารั้งเพชฌฆาตพลางกล่าวว่ายินดีจะรับโทษโบยแทนสตรีผู้นั้น! คุณชายหลู่นึกไม่ถึงว่าเรื่องสนุกจะกลายเป็นเรื่องของตัวเอง เมื่อได้ยินว่าสตรีผู้นั้นมาฟ้องร้องเขา เขาจึงถือแส้บุกไปฟาดคนกลุ่มนั้นอย่างทนไม่ไหว องค์รัชทายาทจึงสั่งให้คนจับกุมตัวเขาไว้ทันทีเจ้าค่ะ!”
เจี่ยงหมัวมัวไม่ได้กล่าวถึงถ้อยคำสกปรกหยาบช้าที่สตรีกลางคนผู้นั้นก่นด่าคุณหนูใหญ่ออกมาระหว่างตีกลองร้องทุกข์ นางไม่อยากให้ถ้อยคำสกปรกเหล่านั้นบาดหูคุณหนูใหญ่
ไป๋จิ่นจื้อมองไปทางไป๋ชิงเหยียน “พี่หญิงใหญ่ ครั้งนี้หลู่หยวนเผิงก่อเรื่องใหญ่แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ปีนี้กลองเติงเหวินดังติดต่อกันหลายครั้งดีจริงๆ ตั้งแต่รุ่นของจักรพรรดิเกาจู่มาจนถึงทุกวันนี้ หากนับรวมกันคงยังไม่เท่าสมัยของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันนี่เลย
องค์หญิงใหญ่ยกถ้วยน้ำขิงขึ้นจิบสองสามอึก เมื่อได้ยินก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล
สตรีกลางคนที่ไม่รู้หนังสือ ต่อให้จะไปตีกลองร้องทุกข์ แต่นางจะขอร้องให้เหล่าบัณฑิตจากสำนักศึกษากั๋วจื่อเจียนช่วยออกหน้าแทนนางในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ได้อย่างไร
หากกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่มีคนคอยชักใย ยุแยงอยู่เบื้องหลัง องค์หญิงใหญ่ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด
สตรีกลางคนไปตีกลองร้องทุกข์ไม่น่ากลัว น่ากลัวตรงที่เหล่าบัณฑิตจากสำนักศึกษากั๋วจื่อเจียนต่างคุกเข่าอยู่หน้าประตูอู่เต๋อเป็นเพื่อนนาง สิ่งนี้ทำให้ไป๋ชิงเหยียนนึกถึงเรื่องราวในชาติที่แล้ว จดหมาย ‘ถามจักรพรรดิ’ ที่ต่งซื่อมารดาของนางทิ้งเอาไว้ รวมถึงเลือดของท่านอาสะใภ้ห้าที่อาบหน้าประตูวังเพื่อทวงคืนความยุติธรรม บัณฑิตเหล่านี้เป็นคนพาบัณฑิตทั่วทั้งใต้หล้ามาทวงคืนความยุติธรรมให้ตระกูลไป๋
จิตใจของบัณฑิตบริสุทธิ์และโปร่งใสที่สุด จิตที่บริสุทธิ์เหล่านี้มักถูกชักจูงจากสิ่งชั่วร้ายให้ทำสิ่งที่รุนแรงได้
“บางทีอาจมีคนเห็นว่าเรื่องการทุจริตการสอบถูกเปิดโปงขึ้น พวกเขาจึงยุยงเหล่าบัณฑิตเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเรื่องนี้ก็ได้” ไป๋ชิงเหยียนเม้มปาก “สำหรับชาวบ้านแล้ว การที่ขุนนางใช้อำนาจรังแกคนอ่อนแอ สังหารชาวบ้านน่าสนใจและสะเทือนใจชาวบ้านมากกว่าเรื่องทุจริตการสอบมากนัก หากชาวบ้านถูกเบี่ยงเบนความสนใจ แม้ผู้ที่ทุจริตการสอบจะถูกลงโทษสถานเบา…ชาวบ้านก็จะไม่รู้สึกโกรธเคือง”
กลยุทธ์ล้อมเว่ยช่วยจ้าว[1] ไป๋จิ่นซิ่วเคยอ่านเจอจากตำราพิชัยสงคราม
“ถงหมัวมัวส่งคนไปสืบประวัติครอบครัวของหลินซิ่นอันด้วย จากนั้นสอบถามจากเพื่อนบ้านละแวกนั้นว่าพวกเรารู้ข่าวการตายของหลินซิ่นอันเมื่อใด”
สิ้นเสียงของไป๋ชิงเหยียน องค์หญิงใหญ่วางช้อนกระเบื้องสีขาวลงในชาม เอ่ยขึ้น “ให้เจี่ยงหมัวมัวสั่งให้เว่ยจงไปสืบเถิด เร็วกว่า!”
เจี่ยงหมัวมัวรับคำพลางเดินออกไปด้านนอก
ไป๋จิ่นซิ่วเป็นคนสัมผัสเร็ว นางกล่าวขึ้น “พี่หญิงใหญ่ต้องการตัดสินว่าหลินซิ่นอันตายเพราะฝีมือคนหรือตายตามธรรมชาติจากเวลาตายของหลินซิ่นอันหรือเจ้าคะ”
“หากหลินซิ่นอันเพิ่งเสียชีวิตตอนเที่ยงหรือช่วงบ่ายของวันนี้ เช่นนั้นหลินซิ่นอันก็คือหมากตัวหนึ่งของกลยุทธ์ล้อมเว่ยช่วยจ้าว” บัดนี้ไป๋ชิงเหยียนไม่คิดจะกันน้องสาวคนที่เหลือออกไปอีกแล้ว “หากหลินซิ่นอันตายตอนเช้าตรู่จริงๆ ตอนนั้นผู้เข้าสอบที่สอบไม่ผ่านยังไม่ได้ไปตีกลองร้องทุกข์…”
[1] กลยุทธ์ล้อมเว่ยช่วยจ้าว คือการบุกโจมตีในจุดที่อยู่เหนือความคาดหมาย โจมตีในจุดที่ศัตรูไม่ได้เตรียมการตั้งรับและป้องกันไว้