ตอนที่ 328 สิ้นสุด
“พี่หญิงใหญ่เราจะจากไปโดยไม่ล่ำลาเซียวเซียนเซิงเช่นนี้หรือเจ้าคะ” ไป๋จิ่นจื้อถาม
“พี่ให้คนไปแจ้งให้เซียวเซียนเซิงทราบที่โรงเตี๊ยมแล้ว” ไป๋ชิงเหยียนหันกลับไปมองไป๋จิ่นจื้อ “รู้สึกว่าเจ้าดูจะสนใจเซียวเซียนเซิงผู้นี้เป็นพิเศษนะ”
“พี่หญิงใหญ่…ไม่ได้ชอบเซียวเซียนเซิงหรือเจ้าคะ” ไป๋จิ่นจื้อถามอย่างหยั่งเชิง
ไป๋ชิงเหยียนมองหน้าน้องสาวยิ้มๆ ไม่เอ่ยตอบสิ่งใด
นางมีเวลาให้กับเรื่องความรักระหว่างหนุ่มสาวที่ใดกัน…
เมื่อไป๋ชิงเหยียนเดินทางออกมาจากเมืองซั่วหยาง หญิงสาวเห็นเจ้าเมืองรออยู่ที่นอกเมือง
เมื่อเจ้าเมืองเห็นไป๋ชิงเหยียนขี่ม้าออกมา เขารีบถลาเข้าไปทำความเคารพ ขวางทางม้าของไป๋ชิงเหยียนไว้ “คาราวะเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ขอรับ”
ไป๋ชิงนั่งอยู่บนหลังม้าไม่ได้ลงมาแต่อย่างใด หญิงสาวมองไปทางเจ้าเมืองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ดูเหมือนว่าท่านเจ้าเมืองจะรู้แผนการเดินทางของข้าดีเสียจริงนะ”
“มิกล้าขอรับ ข้าได้ยินว่าจวิ้นจู่จะไปจากเมืองซั่วหยางแล้ว ทว่า ช่วงนี้พื้นที่แถบซั่วหยางไม่ค่อยสงบสักเท่าใดนัก มีคนถูกโจรป่าปล้นชิงทรัพย์มากมาย ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของจวิ้นจู่จึงตั้งใจพาทหารฝีมือดีมารอคุ้มกันส่งจวิ้นจู่กลับเมืองหลวงขอรับ” เจ้าเมืองกล่าวยิ้มๆ
“ข้ารับน้ำใจเจ้าเมืองแล้ว ทว่า แค่โจรกระจอกเท่านั้น ข้าไม่กลัวหรอก…” ดูเหมือนไป๋ชิงเหยียนจะไม่ใส่ใจเรื่องนี้สักเท่าใด
เจ้าเมืองเงยหน้ามองดูไป๋ชิงเหยียนที่กุมบังเหียนพลางอมยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“จวิ้นจู่อย่าได้ดูแคลนโจรเหล่านี้นะขอรับ ก่อนหน้านี้โรงเงินขึ้นชื่อยังถูกพวกมันปล้นเงินไปเลย จวิ้นจู่อย่าประมาทดีกว่าขอรับ!”
“เข้าใจแล้ว”
กล่าวจบ ไป๋ชิงเหยียนควบม้าจากไปอย่างรวดเร็ว
การอาละวาดของโจรป่าเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น รอให้ไป๋ชิงเหยียนย้ายกลับมายังเมืองซั่วหยางก่อน…ถึงตอนนั้นจี้ถิงอวี๋จะทำให้การอาละวาดของโจรป่ากลายเป็น ‘ภัยโจร’ ขึ้นมา บัดนี้กองทัพของต้าเหลียงตั้งกองกำลังอยู่ที่ภูเขาหงเชวี่ยโดยไม่ทราบจุดประสงค์ที่ชัดเจน แม่ทัพจางตวนรุ่ยนำทัพไปยังภูเขาชุนมู่ ต้าจิ้นคงไม่มีกำลังเสริมมากพอที่จะแบ่งมาจัดการ ‘ภัยโจร’ เช่นนี้หรอก
ถึงตอนนั้นคือเวลาที่ไป๋ชิงเหยียนจะทำเพื่อบ้านเมือง
ไป๋ชิงเหยียนขี่ม้าเดินทางกลับอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินทางไปถึงทางบนภูเขาที่ปราศจากผู้คน ไป๋ชิงเหยียนให้คนอื่นล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตัวเองพาไป๋จิ่นจื้อและทหารหน่วยกล้าตายอีกสองคนไปพบจี้ถิงอวี๋ที่จุดนัดพบ
จี้ถิงอวี๋ใจกล้ามาก เขานัดพบไป๋ชิงเหยียนที่ค่ายพักของตน หนทางขึ้นเขาเต็มไปด้วยอันตราย และเดินทางอย่างยากลำบาก ไป๋ชิงเหยียนไปถึงที่นั่นตอนฟ้าเกือบมืดสนิท
ไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่บนยอดเขากับจี้ถิงอวี๋ มองดูพื้นที่ราบกว้างเบื้องหน้า
“หุบเขาเวยแห่งนี้มีเพียงยอดเขานี้เท่านั้นที่ชัยภูมิดีที่สุด ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขาเวย บนยอดเขาเป็นพื้นราบกว้างใหญ่ ทั้งสี่ทิศเต็มไปด้วยภูมิประเทศที่อันตราย สูงชันทั้งสี่ด้าน ด้านล่างคือแม่น้ำ สามารถทำไร่ทำนาเลี้ยงชีพตัวเองได้ ต่อมาหากเพิ่มจำนวนคน เสบียงคงไม่พอแน่ขอรับ!” น้ำเสียงของจี้ถิงอวี๋เต็มไปด้วยพลัง
ไป๋ชิงเหยียนอาศัยแสงจากท้องฟ้าที่ยังไม่มืดสนิทมองสำรวจภูมิประเทศโดยรอบ นึกถึงตอนที่ตัวเองเดินทางขึ้นมาบนนี้อย่างยากลำบาก จากนั้นพยักหน้าออกมา
“กองกำลังที่เจ้าสร้างเน้นฝีมือ ไม่เน้นจำนวนคน ข้าตั้งใจจะใช้การฝึกเริ่มแรกของค่ายหู่อิงมาฝึกพวกเขา ทว่า ไม่ต้องการให้เหมือนค่ายหู่อิง”
จี้ถิงอวี๋ตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าเขามีหน้าที่สร้าง ‘ภัยโจร’ เท่านั้น
ไป๋ชิงเหยียนหันกลับไปมองดวงตาที่แฝงความคมกริบของจี้ถิงอวี๋
“ที่หนานเจียงมีเสิ่นเหลียงอวี้คอยฝึกฝนทหารโดยใช้แผนการฝึกของท่านอาห้า ที่นี่…เจ้าไม่มีแววตาที่สามารถเฟ้นหายอดฝีมือได้อย่างแม่นยำเท่าเสิ่นเหลียงอวี้ ดังนั้นเจ้าต้องฝึกฝนให้พวกเขาเก่งกาจในทุกด้าน ทำตามแผนการฝึกฝนที่ข้าให้ไว้ สร้างกองกำลังทหารม้าที่ไร้เทียมทานดังเช่นค่ายหูอิงออกมาให้ได้”
จี้ถิงอวี๋ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเขามองจ้องไปในดวงตาที่สงบราวกับทะเลของไป๋ชิงเหยียน ชายหนุ่มรู้สึกใจเต้นรัวอย่างรุนแรง
เมื่อไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อไปถึงเมืองหลวงก็ได้ยินต่งซื่อกล่าวว่าองค์หญิงหลี่เทียนฟู่แห่งซีเหลียงจะแต่งงานเข้าจวนรัชทายาทในวันที่สิบ เดือนสี่ ซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้
ไป๋ชิงเหยียนรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหลี่เทียนฟู่และลู่เทียนจัวดี
ไม่ว่าหญิงสาวจะจงรักภักดีต่อรัชทายาทจากใจจริงหรือไม่ นางก็จำเป็นต้องบอกเรื่องนี้ให้รัชทายาททราบ มิเช่นนั้นหลี่เทียนฟู่อาจยืมมือของรัชทายาทก่อเรื่องอันใดขึ้นมาอีก
“วันที่เจ้าเดินทาง องค์รัชทายาทส่งบัตรเทียบเชิญมาให้เจ้า”
ต่งซื่อเอนกายพิงเก้าอี้นวมริมหน้าต่าง ประคองถ้วยชาร้อนในมือ เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเดินออกมา นางจึงวางถ้วยชาในมือลง เอ่ยขึ้น “ท่านอาจารย์กวนเหล่าของเจ้าออกโรงปกป้องเจ้าหน้าประตูอู่เต๋อในวันนั้น ต่อมาองค์รัชทายาทก็ช่วยแก้ต่างแทนเจ้า เหล่าบัณฑิตแห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจียนต่างรู้สึกละอายใจ ต่อไปคงไม่มีผู้ใดกล่าวโทษเรื่องที่เจ้าสังหารทหารยอมจำนนอีกแล้ว”
“องค์รัชทายาทกล่าวว่าตอนนั้นสถานการณ์บีบบังคับ ไม่เจ้าตายก็ข้ารอด หากไม่สังหารทหารยอมจำนนจนสิ้น กองทัพต้าจิ้นคงเป็นฝ่ายสูญเสียเอง หากตอนนั้นเจ้ามีกองทัพสองแสนนาย หรือแม้แต่หนึ่งแสนนาย เจ้าคงไม่สังหารทหารยอมจำนนเช่นนั้น” ต่งซื่อยิ้มออกมาน้อยๆ “องค์รัชทายาทติดตามกองทัพไปออกรบด้วย ไม่มีคำกล่าวของผู้ใดน่าเชื่อถือไปกว่าพระองค์อีกแล้ว”
ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนกลับมาถึงจวน ชุนเถาเล่าเรื่องนี้ให้นางฟังอย่างละเอียดแล้ว
ท่านอาจารย์ออกมาปกป้องนางเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว
ทว่า ไป๋ชิงเหยียนก็เข้าใจว่าเหตุใดรัชทายาทจึงออกโรงปกป้องนางด้วย เขาทำไปเพราะต้องการให้นางติดหนี้บุญคุณเขาเท่านั้น
“ตอนข้ากลับมา ชุนเถาเล่าให้ข้าฟังแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง รับถ้วยน้ำชามาจากชุนเถาพลางเอ่ยถาม “คดีของหลู่หยวนเผิงจบแล้วหรือไม่”
ชุนเถาวางถาดสีดำไว้ตรงหน้าท้องของตัวเอง ส่ายหน้าน้อยๆ กล่าวตอบเสียงแผ่วเบา “แม้จะยังไม่มีผลสรุป ทว่า ท่านหลิวซานจินตรวจสภาพศพของหลินซิ่นอันแล้วพบว่าเขาเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจเจ้าค่ะ ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวข้องกับบาดแผลที่ถูกคุณชายหลู่ทำร้ายก่อนหน้านี้ แต่หลักฐานเพียงแค่นี้ยังไม่อาจสรุปได้ว่าหลินซิ่นอันไม่ได้เสียชีวิตเพราะคุณชายหลู่ ดังนั้นศาลต้าหลี่จึงกำลังสืบสวนเรื่องนี้ต่ออยู่เจ้าค่ะ ไม่เกินพรุ่งนี้คงได้ข้อสรุปเจ้าค่ะ”
“เจ้ากับเสี่ยวซื่อกลับไปจวนบรรพบุรุษครั้งนี้ไม่ได้ถูกรังแกใช่หรือไม่” ต่งซื่อเกรงว่าบุตรสาวจะโดนประมุขไป๋รังแก
“ท่านแม่วางใจได้เจ้าค่ะ ไม่มีเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนยิ้มให้ต่งซื่อ “อีกไม่นาน ตระกูลบรรพบุรุษต้องให้คนนำโฉนดจวนมาให้พวกเราที่เมืองหลวงแน่นอนเจ้าค่ะ”
บุตรสาวเป็นคนลงมือจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ต่งซื่อไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ขอแค่นางไม่ถูกรังแกก็พอแล้ว
“ต่อไปท่านแม่ไม่จำเป็นต้องเกรงใจตระกูลบรรพบุรุษเหมือนแต่ก่อนแล้วนะเจ้าคะ ตอนนั้นท่านปู่เกรงใจคนเหล่านั้นมากเกินไป พวกเขาจึงทำตัวเหิมเกริม ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำเช่นนี้ คนตระกูลบรรพบุรุษโลภมากเกินไป หากตามใจพวกเขามีแต่จะเป็นภัยต่อตัวเองเจ้าค่ะ! บัดนี้พวกเราเหลือเพียงสตรีแล้ว หากยังตามใจพวกเขาอยู่ พวกเขาอาจคิดว่าพวกเราเกรงกลัวจนเหิมเกริมกว่าเดิมได้เจ้าค่ะ!”
ต่งซื่อทนบรรพบุรุษตระกูลไป๋มานานเกินพอแล้วเช่นเดียวกัน นางพยักหน้า “แม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี…”
ต่งซื่อเข้าใจเหตุผลนี้มานานแล้ว ทว่า ตอนนี้ไป๋เวยถิงพ่อสามีของนางยังมีชีวิตอยู่ ท่านเอาแต่เน้นยำถึงความสามัคคีปรองดองของตระกูลไป๋ที่มีมานับร้อยปีว่าคือสิ่งสำคัญที่สุด
มีเพียงคนในตระกูลสามัคคีปรองดองกันเท่านั้น บุรุษที่ไปออกรบที่หนานเจียงจึงจะสู้รบได้โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
ต่งซื่อได้รับการอบรมสั่งสอนโดยต่งเหล่าไท่จวินมาตั้งแต่เด็ก นางรู้ดีว่าความปรองดองของตระสูงศักดิ์และตระกูลบรรพบุรุษสำคัญมากเพียงใด
ทว่า ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่ซั่วหยางไม่ต่างอันใดกับเห็บหมัดที่คอยกัดกินเลือดเนื้อเลยแม้แต่น้อย
บ่ายวันนั้น คดีของหลู่หยวนเผิงสิ้นสุดลง หลินซิ่นอันเสียชีวิตด้วยน้ำมือของผู้อื่น ส่วนมารดาของหลินซิ่นอันถูกขมขู่จึงจำต้องใส่ร้ายหลู่หยวนเผิงเช่นนั้น
จากคำสารภาพของมารดาของหลินซิ่นอัน นางกล่าวว่าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้หลินซิ่นอันไปเอาเงินห้าร้อยตำลึงมาจากที่ใด เขากล่าวว่ามีคนจ้างวานให้เขาแพร่งพรายเรื่องไป๋ชิงเหยียนสังหารทหารยอมจำนนให้ทั่วหอฝานเชวี่ยเพื่อทำลายชื่อเสียงของไป๋ชิงเหยียน