ตอนที่ 336 ไม่ประนีประนอม
ตั้งแต่ที่บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงที่หนานเจียง มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นมากมาย ตระกูลไป๋ตกอยู่ในอันตรายจนแทบเอาตัวไม่รอด แทบจะถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต
หากไม่ใช่เพราะบุตรสาวของนางทุ่มเทแรงกายแรงใจปกป้องตระกูลเอาไว้ บัดนี้ตระกูลไป๋คงไม่หลงเหลืออยู่แล้ว แม้ต่งซื่อไม่เคยคิดให้ตระกูลบรรพบุรุษร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับพวกนาง ทว่า นางก็ไม่ยอมให้ตระกูลที่โลภมากเช่นนี้เป็นตัวถ่วง ทำลายชื่อเสียงบุตรสาวของนางเป็นอันขาด
ประมุขไป๋ผุดลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ “ภรรยาของฉีซาน! เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน! เจ้ายังอยากกลับไปซั่วหยาง ยังเห็นหัวตระกูลบรรพบุรุษไป๋อยู่หรือไม่!”
“ตระกูลเช่นนี้ไม่นับญาติก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน ลุกขึ้นยืนสะบัดเครื่องแต่งกายที่ไม่ได้ยับของตัวเอง เตรียมจะเดินจากไป
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ประมุขไป๋โมโหจนร่างสั่นเทา “พวกเราแค่ขอให้เจ้าช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้ากลับทำท่าทีเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าสาบานว่าจะไม่แต่งงานตลอดชีวิต อีกร้อยปีข้างหน้าเจ้าไม่ต้องการให้ตระกูลบรรพบุรุษจุดธูปบูชาเจ้าหรืออย่างไรกัน!”
“จุดธูป? ท่านปู่และท่านพ่อของข้ายังไม่กล้ารับธูปของพวกท่าน ข้าจะกล้าได้อย่างไรกันเจ้าคะ” ไป๋ชิงเหยียนหมุนตัวกลับ สายตาล้ำลึกเย็นชาจ้องไปยังประมุขไป๋นิ่ง
“ท่านประมุขโปรดจำไว้ด้วยว่าข้าไม่ใช่สตรีธรรมดาทั่วไป ข้าคือทายาทของเจิ้นกั๋วอ๋องแห่งตระกูลไป๋ของเมืองหลวง ข้าสืบทอดปณิธานของท่านปู่ หากบ้านเมืองเกิดสงคราม ชาวบ้านตกทุกข์ได้ยาก ข้าพร้อมสละชีพของตัวเองปกป้องชาวบ้าน ตอนมีชีวิต ข้าดำรงชีพอยู่ด้วยภาษีของชาวบ้าน เมื่อตายไปก็จะรับการบูชาจากชาวบ้าน เหตุใดข้าจึงต้องการตระกูลบรรพบุรุษด้วย”
ผู้อาวุโสของตระกูลมองหน้ากันไปมา จากนั้นมองไปยังไป๋ชิงเหยียนที่มีท่าทีทระนง ลำคอของพวกเขาร้อนผ่าว เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่มีเกียรติยศและบรรดาศักดิ์ ที่สำคัญไป๋ชิงเหยียนมีความสามารถในการทำศึกสงคราม นางได้รับการชื่นชมจากชาวบ้านอย่างมากในสงครามทำลายแคว้นสู่
“ท่านประมุข พวกเรามาเพื่อขอร้องให้จวิ้นจู่ช่วยเหลือ เหตุใดจึงทำให้เรื่องแย่ลงเช่นนี้ขอรับ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งต้องการแก้ไขสถานการณ์จึงรีบกล่าวออกมา “จวิ้นจู่ ท่านประมุขเป็นคนอารมณ์ร้อนเช่นนี้เอง ความจริงแล้วท่านไม่ได้หมายความเช่นนั้นขอรับ ตระกูลไป๋รักและสามัคคีกันมาโดยตลอด พวกเราแค่คิดว่าเรื่องนี้จวิ้นจู่สามารถเกลี้ยกล่อมนายอำเภอโจวได้ ตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลอื่นก็ทำเช่นนี้ด้วยกันทั้งสิ้นขอรับ!”
“ข้าคิดว่าข้ากล่าวชัดเจนตั้งแต่ตอนที่อยู่ซั่วหยางแล้ว ในเมื่อวันนี้ทุกท่านต่างอยู่พร้อมหน้ากัน ข้าจะกล่าวอีกรอบก็แล้วกัน” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “ข้าสาบานกับชาวบ้านเมืองซั่วหยางไว้แล้วว่า หากคนใดในตระกูลไป๋เคยอวดอ้างบารมีของตระกูลไป๋จากเมืองหลวงรังแกชาวบ้าน หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเรื่องจริง ข้าจะให้ประมุขไป๋ขับไล่คนผู้นั้นออกจากตระกูลและชดเชยให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนและถูกรังแก หากตระกูลบรรพบุรุษไม่ยอมขับไล่ทายาทที่ไม่คู่ควรจะอยู่ในตระกูลไป๋เหล่านี้ออกจากตระกูล ตระกูลไป๋จากเมืองหลวงจะขอถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษเอง นับจากนี้พวกเราไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก!”
สายตาเย็นชาของไป๋ชิงเหยียนกวาดมองไปยังบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลที่มีสีหน้าตกตะลึง “ข้ากำชับนายอำเภอโจวไว้แล้ว ติดหนี้ต้องชดใช้คืน ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต จัดการทุกอย่างตามกฎหมาย ห้ามประนีประนอมเด็ดขาด!”
“เจ้า…เจ้า…” ประมุขไป๋ชี้นิ้วที่สั่นเทาไปยังไป๋ชิงเหยียน
บรรดาลูกหลานของเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลไป๋ล้วนถูกจับขังคุก เมื่อได้ยินเช่นนี้ต่างก็เดือดดาลทันที
“จวิ้นจู่เป็นทายาทของตระกูลไป๋ ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยเหลือตระกูลไป๋แต่ยังทำร้ายคนในตระกูลเดียวกันถึงเพียงนี้! เจ้ายังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่”
“ความเป็นคนอย่างนั้นหรือ!” แววตาของต่งซื่อเกรี้ยวกราด “พวกเจ้าถามตัวเองดูก่อนเถิดว่ายังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่! ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงเมตตาตระกูลบรรพบุรุษไป๋ถึงเพียงนี้ ทว่า ตระกูลบรรพบุรุษกลับโลภมากได้คืบจะเอาศอก อาศัยบารมีของตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงรังแกชาวบ้าน ทำลายชื่อเสียงของลูกสาวข้า ตอนนี้อยากให้ลูกสาวข้าช่วยเหลือแต่กลับกล่าววาจาเช่นนี้อีก ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยเห็นผู้ใดหน้าด้านหน้าทนเท่านี้มาก่อนเลย! มีตระกูลบรรพบุรุษเช่นนี้…คือความอัปยศของตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงของเรา!”
สิ้นเสียงของต่งซื่อ หลู่ผิงนำองครักษ์มาถึงลานด้านในอย่างดุดัน
หลู่ผิงยืนอยู่หน้าประตูกำหมัดคำนับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฮูหยิน จวิ้นจู่!”
“ท่านแม่อย่าโมโหเลยเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนเกาะแขนของต่งซื่อ มองไปยังบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลแล้วกล่าวขึ้น “ข้ากล่าวขอกล่าวไว้ตรงนี้เลยว่า วันที่หนึ่ง เดือนห้าตระกูลไป๋จะย้ายกลับไปที่ซั่วหยาง หากถึงตอนนั้นประมุขยังไม่ขับไล่ทายาทที่ทำเรื่องเลวร้ายพวกนั้นออกจากตระกูล ข้าจะขอขมาบรรพบุรุษและประกาศกับทุกคนว่าตระกูลไป๋จากเมืองหลวงไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางอีก!”
แววตาของไป๋ชิงเหยียนราบเรียบสงบนิ่ง “ถึงเวลานั้น หากชาวบ้านคนใดอยากแก้แค้นขึ้นมา คนในตระกูลบรรพบุรุษอย่ามาอ้อนวอนต่อหน้าข้าอีกก็แล้วกัน”
กล่าวจบ ไป๋ชิงเหยียนควงแขนต่งซื่อเดินออกไปด้านนอก เอ่ยกระซิบเสียงเบาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“หากท่านแม่โมโหจนส่งผลกระทบต่อร่างกายมันไม่คุ้มกันนะเจ้าคะ”
“ช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว พวกเขารังแกกันเกินไปจริงๆ” ต่งซื่อโมโหจนหน้าอกสั่นไหวอย่างรุนแรง ขณะก้าวข้ามธรณีประตูก็อดด่าออกมาอีกครั้งไม่ได้
“คนชั่วที่ไม่มีความละอายใจเช่นนี้ไม่สมควรเป็นมนุษย์! ไล่พวกเขาออกไปจากจวนให้หมด ไม่ต้องเกรงใจ!”
ทำลายชื่อเสียงของไป๋ชิงเหยียน ให้ร้ายว่าไป๋ชิงเหยียนลอบมีความสัมพันธ์กับรัชทายาทเพื่อตัวเองจะได้ทำเรื่องชั่วช้าได้อย่างง่ายดาย นี่มันแตะต้องเขตหวงห้ามของต่งซื่อชัดๆ
“บ้าไปแล้ว! บ้าไปแล้ว! ต่งซื่อรังแกกันมากเกินไปแล้ว!” ประมุขไป๋กระแทกไม่เท้าลงลงบนพื้นหินจนเกิดเสียง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห
หลู่ผิงกำดาบที่เอวแน่น พาองครักษ์เดินเข้าไปในห้องโถง กล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “จับออกไปให้หมด!”
“ขอรับ!” เหล่าองครักษ์รับคำโดยพร้อมเพรียง เดินเรียงแถวกันเข้าไปด้านในอย่างเป็นระเบียบ
ท่ามกลางเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายของเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลไป๋ องครักษ์ของตระกูลไป๋จับพวกเขาลากออกไปนอกจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่จริงๆ
“พวกเจ้าทำอันใด ข้าคือประมุขของตระกูลไป๋นะ!”
“ไป๋ชิงเหยียน เจ้าไม่เหลือทางรอดให้ตัวเองเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าวันหนึ่งเจ้าจะมีเรื่องมาขอให้ข้าช่วยหรืออย่างไรกัน!”
“ต่งซื่อ เจ้ากล้าทำกับตระกูลบรรพบุรุษเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวโดนผู้อื่นครหาหรืออย่างไร”
“เจ้าไม่ไว้หน้าตระกูลบรรพบุรุษเช่นนี้ คนทั้งใต้หล้าจะคิดว่าพวกเจ้าเป็นคนถ่อยที่ทอดทิ้งตระกูลบรรพบุรุษ ต่อไปพวกเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน!”
ไป๋ชิงเหยียนเดินตามระเบียงทางเดินกลับไปยังเรือนหลังพร้อมกับต่งซื่อที่กำลังโกรธจนตัวสั่นเทา เมื่อได้ยินเสียงก่นด่าของคนตระกูลบรรพบุรุษ หญิงสาวชะงักฝีเท้าหันกลับไปเรียกถงหมัวมัว “ถงหมัวมัว!”
ถงหมัวมัวรีบรับคำแล้วก้าวไปด้านหน้า
“รบกวนหมัวมัวบอกให้ผู้ดูแลหลิวรีบแพร่กระจายเรื่องเลวร้ายที่ตระกูลบรรพบุรุษทำที่ซั่วหยางไปให้ทั่วเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด รวมถึงเรื่องที่ใส่ร้ายชื่อเสียงของข้าและองค์รัชทายาทเพื่อเปิดทางให้พวกเขาทำเรื่องชั่วช้าได้สะดวกขึ้นด้วย!”
“จากนั้นบอกพ่อบ้านเหาให้หาวิธีทำให้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋มาอาละวาดที่หน้าจวน ยิ่งอาละวาดมากเท่าใดยิ่งดี บอกว่าข้าไป๋ชิงเหยียนกล่าวว่ายินดีพาสตรีตระกูลไป๋ถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษ แต่จะไม่ยอมใช้เกียรติความเป็นจวิ้นจู่บีบบังคับทางการของซั่วหยางให้ปล่อยทายาทตระกูลไป๋ที่รังแกชาวบ้านในซั่วหยางออกมาจากคุกเด็ดขาด!”
“โอรสสวรรค์ทำผิดยังต้องถูกลงโทษตามกฎหมายเดียวกับประชาชน เหตุใดคนของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ต้องได้รับข้อยกเว้นด้วย ติดหนีต้องชำระคืน ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ลงโทษตามกฎหมาย หากทางการละเว้นโทษ ไป๋ชิงเหยียนจะถวายฎีกาเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้ชาวบ้าน!”