ภูติพฤกษา “???”
มันตกใจกลัวจนแทบจะกระโจนหน้าผาตายอยู่แล้ว
เถาวัลย์เขียวบนร่างสั่นสะท้านอยู่ตลอดเวลา ไม่รอให้ฮ่องเต้ตรัสอะไรเพิ่มเติม มันก็สะบัดเถาวัลย์เขียวบนร่างออกไป
เถาวัลย์สีเขียวแต่ละเส้นแต่ละเส้นถักทอกันเองข้ามหุบเขาด้วยความรวดเร็วจนกลายเป็นสะพานเถาวัลย์สีเขียวสดสะพานหนึ่ง
“ท่านเซียนทั้งสอง เสี่ยวจิงไม่มีความสามารถอื่นใด เถาวัลย์จากร่างของข้าแข็งแกร่งและมั่นคงอย่างยิ่ง หากทั้งสองท่านมิได้รังเกียจล่ะก็ โปรดเหยียบย่างไปบนสะพานเถาวัลย์นี้เพื่อข้ามหุบเหวเถอะ” ภูติพฤกษากล่าวอย่างอ่อนน้อม มันพูดพลางก็ตัวสั่นไปพลาง
แต่ที่จริงในใจของมันยังคงมีแผนน้อยๆ อยู่อย่างหนึ่ง
ใต้หุบเหวลึกนี้ ไม่รู้ว่ากลายเป็นที่ฝังกลบศพของเหล่านักพรตไปมากมายเท่าไรแล้ว มันเองก็เคยใช้วิธีเดียวกันนี้หลอกให้นักพรตบางส่วนร่วงลงไปในเหวลึก หลังจากนั้นก็ค่อยดูดกลืนพลังที่ฝึกฝนมาของนักพรตเหล่านั้นจนเกลี้ยงเกลา
หากว่ามันสามารถครอบครองพลังของท่านเซียนทั้งสองนี้ ย่อมต้องสามารถกลายร่างให้คล้ายมนุษย์ได้ในทันทีอย่างแน่นอน หรือบางที มันเองก็อาจจะมีโอกาสสามารถเข้าไปช่วงชิงสมบัติกับเขาบ้างก็เป็นได้
ความคิดนี้พึ่งจะผุดขึ้น ก็รู้สึกว่าร่างกายอยู่ๆ ก็เย็นยะเยือกขึ้นมา พอมันมองไปก็เห็นดวงเนตรหงส์คู่นั้นมีไอสังหารทบทวีคูณ
ภูติพฤกษาตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง มันรีบพูดออกไปว่า “ขอท่านโปรดเชื่อในตัวของเสี่ยวจิง เสี่ยวจิงมิได้มีความคิดชั่วร้ายแม้แต่น้อย”
ดูสิ สายตานั้นทำไมถึงได้น่าหวาดกลัวขนาดนี้ มันไหนเลยจะกล้ามีความคิดชั่วร้ายขึ้นมาอีก
ดังนั้น จีเฉวียนถึงได้พาตู๋กูซิงหลันข้ามสะพานเถาวัลย์สายนั้นไป
เถาวัลย์ที่ภูติพฤกษาใช้สร้างเป็นสะพานเพื่อข้ามไปนั้นงดงามอย่างมาก พวกเขาพึ่งจะข้ามไป เพื่อเป็นการประจบท่านเซียนทั้งสอง บนเส้นเถาวัลย์สีเขียวที่อยู่ด้านข้างก็ปรากฏบุปผานานาพันธุ์เบ่งบาน
โดยเฉพาะดอกกุหลาบ แต่ละดอกสีสดราวกับซับโลหิตเข้าไป ทั้งยังส่งกลิ่นหอมเข้มข้น งดงามอย่างที่สุด
ใต้สะพานเถาวัลย์สีเขียวคือหุบเหวลึก มืดมิด ราวกับว่าความมืดมิดที่ลึกลงไปจนไร้ก้นบึ้งนั้นกำลังรอคอยพวกนางอยู่
“เสี่ยวซิงซิง อย่าได้มองลงไป” จีเฉวียนโอบเจ้าอ้วนน้อยข้างกายเอาไว้อย่างแนบแน่ “หากเจ้าจดจ้องหุบเหว หุบเหวก็จะจดจ้องเจ้าเช่นกัน”
อยู่ๆ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าคารมนี้ของเขาคล้ายจะเป็นคำคมอยู่บ้าง
ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็ทรงเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งมาเสียบข้างหูให้นาง ตรัสพลางแย้มสรวลว่า “เสี่ยวซิงซิงงดงามมาก”
วิญญาณทมิฬอยากจะอาเจียนหลายรอบแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นาน เจ้าฮ่องเต้สุนัขยังบอกว่าหลันหลันอัปลักษณ์อยู่เลย
แต่ว่าตอนนี้มันกลับไม่กล้าเอ่ยปาก มันไม่รู้ว่าทำไมฮ่องเต้สุนัขถึงสามารถมองเห็นมันได้
“ท่านเซียนงดงามมากจริงๆ” ภูติพฤกษารีบประจบประแจงเป็นการใหญ่ จากนั้นก็เร่งให้เหล่าดอกไม้ผลิบานเพิ่มขึ้นอย่างวุ่นวาย
พอมันเขย่าเถาวัลย์เขียวบนร่าง ก็สร้างฝนบุปผาที่สวยงามดั่งความฝันให้พวกเขาได้ชม
กลีบดอกไม่หลากสีปลิวไปเกาะเส้นผมและหัวไหล่ ของคนทั้งสอง เดิมทีก็เป็นคู่สร้างคู่สมคู่หนึ่งอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งกลายเป็นงดงามเหมาะสมจนไม่อาจจะเปรียบเปรยได้เลย
“มันช่างรู้จักหนทางรักษาชีวิตดีจริงๆ” วิญญาณทมิฬยังคงถูกฮ่องเต้ทรงคีบเอาไว้ในพระหัตถ์ ดูท่ามันคงถูกพี่รองแพร่เชื่อใส่เข้าแล้ว ถึงได้เอาแต่พูดมากไม่ยอมหยุด
“หลันหลัน พอข้ามสะพานไปแล้ว ข้ากินมันได้ไหม?”
ภูติพฤกษาถือเป็นยาบำรุงพลังชีวิตชั้นยอด เป็นของชั้นเลิศที่ช่วยให้มีชีวิตยืนยาว
ถึงแม้ว่าชีวิตของมันก็ยาวนานอยู่แล้ว แต่ว่ามีเอาไว้เยอะๆ มันก็ไม่รังเกียจ
“ไม่ได้” ครั้งนี้ เป็นฮ่องเต้ตรัสออกมาด้วยพระองค์เอง “เราพอใจกับฝนบุปผานี้มาก”
ภรรยาที่เป็นแม่สื่อของซุนต้มยาบอกเอาไว้ สตรีชมชอบบรรยากาศที่งดงาม
มองดูภาพเบื้องหน้านี้ สะพานเขียวขจี มวลดอกไม้เบ่งบาน ฝนบุปผาโปรยปราย อยู่เหนือหุบเหวลึก เขาสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้า รอบด้านยังมีไอหมอกจางๆ
บรรยากาศเช่นนี้ไม่อาจหาได้ในเมืองหลวง
มีแต่สถานที่เช่นนี้ที่งดงามคู่ควรกับเขาและเสี่ยวซิงซิง
วิญญาณทมิฬ “….” ฮ่องเต้สุนัขไยจึงไม่บอกออกมาเลยเล่าว่าเขาพอใจวิธีประจบของเจ้าภูติพฤกษานี้มาก?
ภูติพฤกษาเกือบจะซาบซึ้งขึ้นมาบ้างแล้ว ที่แท้การประจบเช่นนี้ก็นับว่าได้ผลจริงๆ
ดังนั้นมันจึงพยายามผลิดอกอย่างขยันขันแข็ง จนแทบจะทำให้สะพานสีเขียวเกลื่อนกลาดไปด้วยกลีบบุปผาสีแดง
ตู๋กูซิงหลันมองดูภาพเบื้องหน้าอยู่ๆ ก็คิดถึงตอนที่นางถูกท่านอาจารย์โยนทิ้งอยู่ในหุบเขานับหมื่นลูกขึ้นมา ตอนนั้นนางก็เคยได้เห็นฝนบุปผาโปรยปรายทั่วฟ้าเช่นกัน
ช่วงนี้ไม่รู้ว่าทำไม นางมักจะคิดถึงท่านอาจารย์ขึ้นมาบ่อยๆ
หากว่านางสามารถเสาะหาชิ้นส่วนของหยกสรรพชีวิตได้มากๆ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะกลับไปยังโลกเดิมได้
พอคิดถึงตรงนี้ ความตั้งใจของตู๋กูซิงหลันก็ยิ่งเพิ่มพูนมากกว่าเดิม
นางไม่มีอารมณ์จะสนใจบรรยากาศที่สวยงามอีกต่อไป สองตามองขึ้นไปยังภูเขาที่สูงที่อยู่ไกลออกไป
ทันใดนั้น เหนือศีรษะของพวกนางสูงขึ้นไป ก็มีเสียงอินทรีร่ำร้อง ในหมู่เมฆปรากฏเงาดำเงาหนึ่งผาดผ่าน
ท่ามกลางหมู่เมฆ เหยียนเฉียวหลัวมองลงไปยังด้านล่างด้วยสายตาเย็นชา ที่นางเห็นล้วนมีแต่ภูเขา แต่ในตอนนั้นเอง ก็สังเกตเห็นแถบสีเขียวสีแดงแถบหนึ่ง
ดวงตาของนางยิ่งสาดประกายเย็นยะเยือกออกมามากกว่าเดิม
บนหลังอินทรี บุรุษงดงามในชุดสีม่วงอ่อนเองก็มองลงมา เขาหรี่ดวงตาลงน้อยๆ ปลายนิ้วขยับเพียงครั้งเดียว ยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งก็พุ่งลงไป
ยันต์สีเหลืองผลักหมู่เมฆกระจายออกไป ส่งสายฟ้าฟาดลงมาด้วยความเฉียบคมประหนึ่งลูกธนูน้ำแข็ง ยามที่ฟาดลงมาก็พุ่งตรงเข้าหาภูติพฤกษาอย่างรวดเร็ว
ยามที่ยันต์สีเหลืองสำแดงฤทธิ์เข้าฟาดฟัน เส้นเถาวัลย์ของมันก็ขาดสะบั้นไปเจ็ดแปดสาย
จากนั้นกระแสพลังยังเกาะกุมไล่ตามเส้นเถาวัลย์วิ่งตรงเข้าสู่ลำคอของมัน
สะพานเถาวัลย์สั่นสะเทือนไปทั้งสะพาน ภูติพฤกษาเปล่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงโหยหวนนั้นดังสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเหว เสียดแทงใจผู้คน
ตู๋กูซิงหลันล้วงเอายันต์แผ่นหนึ่งออกมาในทันที ก่อนฮ่องเต้จะทันได้ลงมือ นางก็ขว้างยันต์ในมือของตนออกไปก่อนแล้ว
ในชั่วเวลาที่คับขันนั้นเอง ยันต์ของนางก็ชิงปะทะเข้ากับยันต์ของบุรุษงามชุดม่วง
พลังที่รุนแรงนั้นผลักภูติพฤกษาจนกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร ทั้งๆ ที่เป็นแค่ยันต์สองแผ่น แต่พลังกลับรุนแรงประหนึ่งลูกธนูน้ำแข็งสองดอกกระแทกใส่กัน เกิดเป็นระเบิดดอกไม้ไฟที่งดงามเหนือหุบเหว
จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘บึ้ม’ ครั้งหนึ่ง ยันต์สีเหลืองทั้งสองแผ่นเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ภูติพฤกษาเก็บชีวิตกลับมาได้ ก็ตื่นตระหนกจนสั่นไปทั้งร่าง
ใครจะไปรู้ว่าบนฟ้าก็มีท่านเซียนอีกผู้หนึ่งบินอยู่บนนั้น หากมิใช่ว่าท่านเซียนหญิงที่งดงามผู้นี้ช่วยมันเอาไว้ เกรงว่าตอนนี้มันก็คงจะกลายเป็นขี้เถ้ากองหนึ่งไปแล้ว
ในใจของมันยังคงหวาดผวา แต่ก็ได้ต้องกัดฟันเอาไว้ ซ่อมแซมสะพานเถาวัลย์อีกครั้งหนึง “ท่านเซียนทั้งสอง การที่กรุสมบัติปรากฏขึ้นบนโลกในครั้งนี้ เกรงว่าจะต้องชักนำผู้เข้มแข็มเข้ามาไม่น้อย ขอทั้งสองท่านโปรดรีบข้ามสะพานไป บุญคุณที่ช่วยชีวิตครั้งนี้ เสี่ยวจิงจะขอบอกความลับประการหนึ่งแก่ทั้งสองท่าน”
ว่าแล้ว มันก็ขยับเส้นเถาวัลย์ เลื้อยลงมาที่เบื้องหน้าจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน กระซิบเสียงเบาที่ริมหูของทั้งสองว่า “เมื่อเจ้าแคว้นเซอปี่ซือสิ้นไปแล้ว ก็ถูกฝังไว้ที่กลางสระสวรรค์ เพียงแต่ว่าเมื่อครึ่งปีก่อน สระสวรรค์เกิดความเคลื่อนไหว วันนั้น มีแสงสีดำพุ่งผ่านท้องฟ้า ตกลงไปในสระสวรรค์”
“นับจากนั้น น้ำในทะเลสาบของสระสวรรค์ก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ยิ่งเข้าใกล้ภูเขาเทียนซาน ก็จะยิ่งเย็นยะเยือก ไอหยินครอบคลุมทั่วฟ้า สิ่งที่กำจายออกมาแทบจะดูดกลืนทุกสิ่งบนภูเขาเทียนซานเข้าไป พวกเราเดากันว่า ในทะเลสาบมีบางสิ่งที่เหนือธรรมดาออกมา”
“หลังจากนั้นบริเวณรอบๆ ภูเขาเทียนซาน ก็ปรากฏภูติผีปีศาจมากมายไม่มีหยุด เหล่านักพรตที่มีโชควาสนาขึ้นไปได้ถึงบนภูเขาเทียนซาน สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครได้กลับลงมาสักคน”
ภูติพฤกษาพูดไป ก็คล้ายกับคิดเรื่องใดขึ้นมาได้ ใบหน้าที่เดิมก็เป็นสีเขียวอยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งย่ำแย่ไม่น่าดูกว่าเดิม
“ทั้งสองท่านหากต้องการเข้าไปในภูเขาเทียนซาน มีแต่ต้องใช้สถานะ ‘คนตาย’ เข้าไป ถึงจะมีโอกาสกลับออกมา”
“ภูเขาลูกนั้นเป็นภูเขาของคนตายและดวงจิตที่ตายไปแล้ว”
——
คุยกันนิดนึง:
ไรท์: ชื่อตอนหน้าน่าสนใจมาก “เมียเมีย”