ตอนที่ 340 สัญญาสามปี
ฮ่องเต้สั่งให้กรมการคลังจัดเตรียมเสบียงอาหารอย่างเร่งด่วน เหลียงอ๋อง แม่ทัพสือพานซานและหลี่หมิงรุ่ยนำเสบียงออกเดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่อพยพไปยังหูสุ่ยและกว่างหลิงทันทีในค่ำคืนนั้น
เสนาบดีกรมการคลังฉู่จงซิ่งยังคงรวบรวมเสบียงอาหารต่อไป
ไป๋ชิงเหยียนได้ยินว่าบุตรชายของหลี่เม่าว่าหลี่หมิงรุ่ยเป็นผู้นำในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้ แม่ทัพสือพานซานเป็นผู้ช่วย ส่วนเหลียงอ๋องถือเป็นรองผู้ช่วย
เสนาบดีกรมการคลังฉู่จงซิ่ง เหลียงอ๋อง อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่า…
สมรู้ร่วมคิดกันจริงๆ ด้วย
เทียบกับการช่วยเหลือรัชทายาทให้ได้ขึ้นครองบัลลังก์ การช่วยเหลือเหลียงอ๋องจะทำให้หลี่เม่าเป็นขุนนางคนสำคัญที่สุดในการช่วยเหลือให้เขาได้ครอบครองบัลลังก์
ไป๋ชิงเหยียนลดหอกเงินหงอิงลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบริเวณหน้าผาก จากนั้นขยับข้อมือเพื่อผ่อนคลาย
ปัญหาที่เยี่ยนวอแดงขึ้นมา ไม่เพียงเบี่ยงเบนความสนใจชาวบ้านจากเรื่องการทุจริตการสอบ ทว่า ยังทำให้เหลียงอ๋องมีตัวตนต่อหน้าฮ่องเต้อีกครั้ง อีกทั้งยังทำให้หลี่หมิงรุ่ยซึ่งเป็นบุตรชายของหลี่เม่าได้แสดงความสามารถของตัวเองอีกด้วย
ดังนั้น…เหลียงอ๋องและหลี่หมิงรุ่ยต้องแก้ไขปัญหาความอดอยากที่เยี่ยนวอในครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน
เช่นนี้ไป๋ชิงเหยียนก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีขุนนางโลภมากยักยอกเสบียงเอาไว้เองจนทำให้ชาวบ้านบริสุทธิ์เดือดร้อนอีกแล้ว
ไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน นึกถึงชาวบ้านที่อพยพหนีตายไปยังเมืองผิงหยาง หากสามารถหลอกล่อให้ชาวบ้านเหล่านี้อพยพไปยังโยวหวาเต้า ให้อาเจวี๋ยคอยดูแลพวกเขา นางจะมีกำลังคนมากขึ้นอีกกลุ่มหนึ่ง
กำลังของกองทัพมาจากชาวบ้าน ชาวบ้านมากกำลังทหารก็มากตามไปด้วย ชาวบ้านแข็งแกร่ง กองทัพจึงจะแข็งแกร่ง
ไป๋ชิงเหยียนกลับไปในห้อง เขียนจดหมายฉบับหนึ่ง จากนั้นพับใส่ซองเรียบร้อย หญิงสาวให้ชุนเถานำไปมอบให้หลูผิงให้เขาส่งม้าเร็วนำจดหมายไปมอบให้เสิ่นเหลียงอวี้แห่งกองทัพไป๋ซึ่งอยู่ที่หนานเจียง
ชุนเถาปรนนิบัติไป๋ชิงเหยียนอาบน้ำเสร็จ จากนั้นยืนเช็ดผมให้หญิงสาวท่ามกลางแสงไฟ ถงหมัวมัวเดินนำสาวใช้สองคนถือถุงทรายถุงใหม่แหวกม่านเข้ามาด้านใน แววตาเต็มไปด้วยความสงสาร
“คุณหนูใหญ่เพิ่มน้ำหนักในถุงทรายมากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”
“พอชินแล้วก็ดีขึ้นเอง” ไป๋ชิงเหยียนพลิกหน้าหนังสือ มองดูถงหมัวมัวที่ยืนขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้นยิ้มๆ “นี่คือวิธีแอบอู้ของข้า ถือว่าสบายมากแล้ว ที่สำคัญข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ หมัวมัวควรจะดีใจถึงจะถูก”
เห็นร่างกายของไป๋ชิงเหยียนแข็งแรงขึ้นทุกวัน ถงหมัวมัวย่อมดีใจอยู่แล้ว
ตอนนั้นท่านหมอหงกล่าวว่าคุณหนูใหญ่บาดเจ็บที่อวัยวะภายในจึงสูญเสียวิทยายุทธไป อีกทั้งมีบุตรได้ยากอีกด้วย ถงหมัวมัวน้ำตาตกในทุกวัน สูญเสียวิทยายุทธไปยังไม่เท่าใด ทว่า เหตุใดคุณหนูใหญ่จึงมีบุตรยากด้วย
บัดนี้ร่างกายของคุณหนูใหญ่แข็งแรงขึ้นทุกวัน หญิงสาวเริ่มฟื้นคืนความสามารถของตัวเอง ถงหมัวมัวรู้สึกว่าสวรรค์ก็คงไม่โหดร้ายกับคุณหนูใหญ่ในเรื่องการมีบุตรมากนัก
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ถงหมัวมัวสั่งให้คนเตรียมรถม้าให้พร้อม จากนั้นพาองครักษ์กลุ่มหนึ่งติดตามไป๋ชิงเหยียนไปยังที่พักของผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเซิงซึ่งอยู่นอกเมือง
ปรมาจารย์ผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเซิงและผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงพักอาศัยอยู่กลางป่าไผ่ของภูเขาอันอวี้ ที่นั่นมีทั้งป่าและลำธารที่สดชื่น
เมื่อวานไป๋จิ่นจื้อรบเร้าขอติดตามไป๋ชิงเหยียนไปคาราวะผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเซิงด้วย วันนี้สาวน้อยจึงขี่ม้าร่วมเดินทางไปด้วย
พอกลุ่มของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เดินทางออกจากเมืองหลวงก็บังเอิญพบกับขบวนของซีเหลียงที่กำลังจะเดินทางกลับแคว้นพอดี
ลูกน้องของหลีจือเจี๋ยเห็นร่างสง่างามที่อยู่บนหลังมาของไป๋จิ่นจื้อแต่ไกล เขารีบควบม้าเข้าไปใกล้รถม้าของหลี่จือเจี๋ย ก้มหน้ารายงานหลี่จือเจี๋ยซึ่งนั่งอยู่ด้านในรถม้า
“ท่านอ๋อง เกาอี้เซี่ยนจู่ขี่ม้าออกมานอกเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จือเจี๋ยที่นั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ในรถม้าลืมตาโพลง เอ่ยถาม “มีเพียงเกาอี้เซี่ยนจู่คนเดียวหรือ”
“มีรถม้าอีกสองคันพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าคงเป็นเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จือเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นกล่าวขึ้น “ให้ขบวนหยุดก่อน เรามีเรื่องต้องกล่าวกับเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขบวนของซีเหลียงหยุดลง หลี่จือเจี๋ยถูกบ่าวรับใช้พยุงลงมาจากรถม้า
ไป๋จิ่นจื้อมองเห็นร่างของหลี่จือเจี๋ยซึ่งยืนอยู่ข้างทหารองครักษ์ซึ่งชูธงประจำแคว้นซีเหลียง สาวน้อยกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนซึ่งอยู่ในรถม้าเสียงแผ่วเบา “พี่หญิงใหญ่ ดูเหมือนว่าเหยียนอ๋องหลี่จือเจี๋ยแห่งซีเหลียงผู้นั้นกำลังรอพวกเราอยู่เจ้าค่ะ!”
เมื่อนึกถึงวันแต่งงานรับหลี่เทียนฟู่ไปเป็นเช่อเฟยของรัชทายาท องค์หญิงแห่งซีเหลียงผู้นั้นต้องการสังหารพี่หญิงใหญ่ของนางอย่างบ้าคลั่ง ไป๋จิ่นจื้อก็เดือดขึ้นมาทันที สาวน้อยกลัวว่าหลี่จือเจี๋ยจะมีลูกไม้อันใดอีก
“มิเป็นอันใด…”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงราบเรียบของไป๋ชิงเหยียนดังมาจากในรถม้า ไป๋จิ่นจื้อจึงสงบลง สาวน้อยนั่งนิ่งอยู่บนหลังม้า จ้องมองไปทางหลี่จือเจี๋ยด้วยแววตาเย็นชาปนดูถูก
เมื่อหลี่จือเจี๋ยเห็นว่ากลุ่มของไป๋ชิงเหยียนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาจึงให้ลูกน้องไปดักขบวนของไป๋ชิงเหยียนเอาไว้
“จวิ้นจู่ เจ้านายของข้าอยากขอขมาจวิ้นจู่ด้วยตนเองขอรับ” องครักษ์ซึ่งแขวนดาบไว้ที่เอวก้าวไปด้านหน้าเพื่อทำความเคารพ จากนั้นกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม
ชุนเถาแหวกม่านของรถม้าออก
ไป๋ชิงเหยียนกวาดสายตามองไปยังหลี่จือเจี๋ยที่ยืนอยู่ไกลออกไป
“ไม่ต้องขอขมาหรอก ระหว่างเดินทางกลับ เหยียนอ๋องควรใช้เวลาคิดทบทวนให้ดีว่าจะชดใช้ให้ต้าจิ้นเรื่องที่องค์หญิงซึ่งถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมไมตรีกลายเป็นมือลอบสังหารอย่างไรดีกว่า มิเช่นนั้นอาจเกิดสงครามขึ้นอีกได้”
เมื่อหลี่จือเจี๋ยเห็นว่าไป๋ชิงเหยียนไม่มีท่าทีจะลงมาจากรถม้า เขาจึงเดินเข้ามาหาไป๋ชิงเหยียนแทน จากนั้นโน้มกายขอขมา “หลี่จือเจี๋ยต้องขอโทษแทนองค์หญิงซีเหลียงกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานด้วยขอรับ”
“เหยียนอ๋องไม่ต้องกล่าวเช่นนี้หรอกเพคะ เหยียนอ๋องซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบพาองค์หญิงแห่งซีเหลียงมาแต่งงานเชื่อมไมตรีในครั้งนี้ก็คงลำบากไม่แพ้กัน บาดแผลเป็นเช่นไรบ้างเพคะ” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนราบเรียบแต่แฝงไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
หลี่จือเจี๋ยกดไปที่บาดแผลบริเวณหัวไหล่ จากนั้นลูบไปที่ผ้าพันแผลบริเวณคอ
“นั่นสินะ ลำบากจริงๆ ตั้งแต่เริ่มเจรจาสงบศึกกับเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่จนถึงตอนนี้ ทั้งบาดเจ็บ ทั้งเกือบเอาชีวิตไม่รอด ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ถูกโฉลกกับแคว้นต้าจิ้นสักเท่าใด คราวหน้าหากมีโอกาสได้มาเยือนแคว้นต้าจิ้นอีก ข้าคงรอให้แคว้นต้าจิ้นมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ก่อน”
แววตาของไป๋ชิงเหยียนนิ่งครึมลง “เหยียนอ๋องหมายความว่าอยากเห็นต้าจิ้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นหรือเพคะ”
“ข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น ทว่า…คนของต้าจิ้นก็ไม่แน่เหมือนกัน การเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์เกิดขึ้นได้เสมอ” หลี่จือเจี๋ยแบมือแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“การเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์เกิดขึ้นได้เพียงชั่วพริบตา จวิ้นจู่คิดว่าข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่”
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางหลี่จือเจี๋ยยิ้มๆ “เหยียนอ๋องกำลังยุยงให้ขุนนางและจักรพรรดิของแคว้นต้าจิ้นบาดหมางกันเองนะเพคะ”
“คือการยุแยง หรือเป็นความในใจของจวิ้นจู่กันแน่ จวิ้นจู่รู้ดีแก่ใจ…” หลี่จือเจี๋ยยิ้มออกมาน้อยๆ
“มิเช่นนั้น เหตุใดจวิ้นจู่จึงไม่ทูลฮ่องเต้แห่งต้าจิ้นเรื่องที่บุรุษตระกูลไป๋ยังเหลือรอดอยู่คนหนึ่งเล่าขอรับ”
“ท่านจะรู้ได้อย่างไร นี่อาจเป็นข้อตกลงระหว่างข้ากับว่าที่จักรพรรดิในภายภาคหน้าอย่างองค์รัชทายาทก็ได้นี่เพคะ” ดวงตาหนักแน่นของไป๋ชิงเหยียนจ้องไปยังหลี่จือเจี๋ยนิ่ง
“ข้าเดาว่าเหยียนอ๋องต้องการใส่ร้ายข้าเพื่อซีเหลียง ทว่า ช่างน่าเสียดายนัก ความลับที่ท่านมีอยู่ดูเหมือนจะไม่ใช่ความลับสักเท่าใดนัก…”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน มีพลังที่ทำให้คนไม่รู้สึกสงสัยหรือหวาดระแวง
บางทีอาจเป็นเพราะสีหน้าของไป๋ชิงเหยียนสงบนิ่งเกินไป หลี่จือเจี๋ยจึงจับพิรุธอันใดไม่ได้เลย ชายหนุ่มจึงเริ่มไม่แน่ใจในข้อสันนิษฐานของตัวเองแล้ว
“แทนที่เหยียนอ๋องจะมาเสียเวลายุ่งเรื่องของแคว้นอื่น มิสู้รีบกลับไปซีเหลียง ช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้จักรพรรดินีของท่านจะดีกว่า เพราะคราวนี้ซีเหลียงคงไม่อาจรุ่งเรืองได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ที่สำคัญแม่ทัพฝู่กั๋วของพวกท่านยังมีสัญญาสามปีกับข้าอยู่ด้วย!” ไป๋ชิงเหยียนยกยิ้มมุมปาก “หากเขาไม่มา ข้าจะไปหาเขาด้วยตัวเอง”