ตอนที่ 350 กำลังมหาศาล
ภายในศาลา
ไป๋ชิงเหยียนหันกลับไปสั่งงานหลูผิงด้วยเสียงแผ่วเบา
“วันมะรืนท่านแม่จะให้คนนำข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่ค่อยใช้งานส่งไปยังเมืองซั่วหยางก่อนเป็นครั้งแรก ครั้งนี้ท่านจงคุ้มกันของไปด้วยตัวเองแล้วลอบส่งข่าวบอกจี้ถิงอวี๋ว่าให้นำใบชาขาวที่ปล้นไปคราวที่แล้วส่งไปยังภูเขาซงคง จะมีคนรอรับอยู่ที่นั่น ให้จี้ถิงอวี๋มอบใบชาให้พวกเขาโดยไม่ต้องถามสิ่งใดทั้งสิ้น”
หลูผิงพยักหน้า “ขอรับ!”
ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าครุ่นคิดจากนั้นเอ่ยต่อ “ถามจี้ถิงอวี๋ว่าขาดเหลือสิ่งใดหรือไม่ วันที่ยี่สิบหก เดือนนี้จะส่งของไปยังซั่วหยางรอบที่สอง ทางจวนจะเตรียมไว้ให้ เขามาปล้นเอาไปได้เลย”
“คุณหนูใหญ่วางใจได้ขอรับ ข้าจะจัดการอย่างเหมาะสมขอรับ” หลูผิงกล่าว
ไป๋ชิงเหยียนมองหลูผิงที่มีรอยคล้ำที่ใต้ตา จากนั้นกล่าวขึ้น “เมื่อกลับไปอยู่ซั่วหยาง ลุงผิงคงต้องลำบากกว่านี้ ข้าคิดว่าลุงผิงควรคัดหาลูกน้องที่ไว้ใจได้มาเริ่มอบรมเพื่อใช้การในวันข้างหน้าได้แล้ว ลุงผิงจะได้ไม่ยุ่งจนแทบจะแยกร่างไม่ได้เช่นนี้”
บัดนี้ลูกน้องที่มีความสามารถและไว้ใจได้ถูกส่งออกไปทำหน้าที่ตามที่ต่างๆ จนแทบไม่เหลือ หากไม่อบรมลูกน้องชุดใหม่ ไม่เพียงไป๋ชิงเหยียนจะมีคนไม่พอใช้ หากไป๋ชิงเจวี๋ยที่อยู่ทางหนานเจียงต้องการกำลังคนขึ้นมาเล่า หากน้องหญิงสามไป๋จิ่นถงที่ออกไปหารายได้ให้ตระกูลไป๋ต้องการใช้คนขึ้นมาเล่า หรือว่าหากไป๋จิ่นซิ่วที่อยู่ในเมืองหลวงต้องการคนที่จะไม่ถูกราชสำนักจับตามองไปใช้งานเล่า
นางต้องเริ่มคิดการไกลเพื่อแผนการในภายภาคหน้าแล้ว
เดิมทีไป๋ชิงเหยียนต้องการให้หลูผิงกระจายคนออกไปแสวงหาผู้มีความสามารถจากทั่วทุกทิศมาไว้ใช้งานในภายภาคหน้า
ทว่า ผู้มีความสามารถเหล่านั้นไม่ใช่จะหาได้ง่ายดาย อีกทั้งต้องใช้เงินทุนมหาศาล ไป๋ชิงเหยียนคำนวณเงินที่มีอยู่ในตระกูลไป๋ทั้งหมดแล้ว นอกจากส่วนที่ไป๋จิ่นถงนำไป เงินทุนที่สามารถเคลื่อนย้ายนำไปใช้ได้มีไม่มาก แม้ทางด้านของไป๋ชิงเจวี๋ยจะมีเงินจากกองทัพไป๋ที่ได้มาจากราชสำนัก ทว่า พวกเขาก็ต้องมีทุนสำรองของตัวเองไว้เช่นกัน
ไป๋ชิงเหยียนอดนึกถึงตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่ซั่วหยางขึ้นมาไม่ได้
ยิ่งเป็นเช่นนี้นางยิ่งไม่อาจถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษ แต่ควรขับไล่ปลิงดูดเลือดออกจากตระกูลแทน เช่นนี้…นางจึงจะสามารถใช้งานตระกูลบรรพบุรุษได้
อย่างไรซะเดิมทีสายเลือดหลักของตระกูลไป๋ล้วนมาจากตระกูลไป๋ที่เมืองหลวงอยู่แล้ว ทุกปีตระกูลไป๋จะแบ่งเงินเกือบครึ่งส่งมาที่ซั่วหยางเพื่อช่วยประคับประคองตระกูลบรรพบุรุษ เวลานี้ตระกูลบรรพบุรุษก็ควรจะทำสิ่งใดเพื่อตอบแทนตระกูลไป๋บ้างแล้ว
ยังไม่ต้องกล่าวถึงผู้มีความสามารถจากทั่วทุกสารทิศ การฝึกฝนทหาร นี่คือโอกาสดีที่ตระกูลไป๋จากเมืองหลวงจะเปลี่ยนแปลงทัศคติของชาวบ้านในซั่วหยางที่มีต่อพวกเขาใหม่ เรื่องนี้ไม่ควรให้ตระกูลไป๋แบกรับอยู่ฝ่ายเดียว ตระกูลบรรพบุรุษก็ควรออกแรงบ้างแล้ว
ในเมื่อไป๋ชิงเหยียนมีแผนการในใจแล้วก็ควรเริ่มลงมือจัดการ
หญิงสาวนึกถึงคำกล่าวของเซียวหรงเหยี่ยนในวันนี้ที่กล่าวว่าไม่นานต้าเหลียงคงเปิดศึกกับต้าจิ้น ดูเหมือนต้องให้จี้ถิงอวี๋อาละวาดอย่างหนักก่อนที่พวกนางจะเดินทางกลับไปยังซั่วหยางสักครั้งแล้ว ราชสำนักคงไม่มีเวลามาจัดการปัญหานี้อย่างแน่นอน
บัดนี้ตระกูลไป๋ถือว่าปลอดภัยเป็นการชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นถงหรือไป๋ชิงเจวี๋ยก็ล้วนมีหนทางที่ต้องเดินแล้ว
แม้ตอนนี้จะไม่รู้ว่าไป๋ชิงอวิ๋นเป็นเช่นไรบ้าง ทว่า ในเมื่อเขามีใจที่ต้องการไปเรียนวิชาดาบกับปรมาจารย์กู้อีเจี้ยนที่ภูเขาพานหลัวซาน เช่นนั้นก็แสดงว่าเขายังมีศรัทธาและความทระนงในตัวเองอยู่ ไป๋ชิงเหยียนเชื่อว่าน้องชายเก้าของนางยังเป็นบุรุษคนดีที่เก่งกาจของตระกูลไป๋
วันที่สิบห้า เดือนสี่ ต่งฉางเซิงแต่งงาน
แม้ปีนี้จะเกิดคดีทุจริตในการสอบขุนนางขึ้นจนยังไม่ได้ประกาศลำดับสอบออกมา ต่งฉางเซิงไม่อาจฉลองพร้อมกันได้ถึงสองเรื่อง ทว่า เดือนสอง ปีหน้าเขายังมีโอกาสสอบใหม่อีกครั้ง เขามีความสามารถอย่างแท้จริงจึงไม่จำเป็นต้องกลัวการสอบใหม่ ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความปิติยินดี
ต่งซื่อและไป๋ชิงเหยียนอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ แม้จะครบร้อยวันแล้ว ทว่า ยังไม่ครบสามปี
ถึงแม้ต่งชิงผิงลุงของไป๋ชิงเหยียนจะไม่ถือสา ทว่า หากไปร่วมงานอาจทำให้ป้าสะใภ้ซ่งซื่อไม่สบายใจได้ จึงส่งไปเพียงของขวัญเท่านั้น
ทว่า ในฐานะอา ถึงแม้ต่งซื่อจะไม่ได้ไปร่วมงาน แต่ในใจก็ยังนึกถึงเรื่องแต่งงานของต่งฉางเซิงอยู่ตลอด นางส่งฉินหมัวมัวไปร่วมงาน รอฟังฉินหมัวมัวกลับมาเล่าให้ฟังว่าภรรยาของต่งฉางเซิงเป็นเช่นไรบ้าง
ไป๋จิ่นซิ่วเป็นสะใภ้ตระกูลฉินต้องไว้ทุกข์ให้ฉินเต๋อเจา ไม่สามารถไปร่วมงานเลี้ยงได้เช่นเดียวกัน ทว่า หญิงสาวก็ส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปให้
ทายาทตระกูลไป๋ทุกคนไม่เคยลืมว่าตอนที่ตระกูลไป๋เผชิญปัญหาใหญ่ ตระกูลต่งมีน้ำใจช่วยเหลือตระกูลไป๋เช่นไรบ้าง
ใกล้สิ้นยามเว่ย[1] ม้าเร็วตัวหนึ่งมุ่งหน้าไปยังจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ ร่างองอาจสง่างามในชุดสีดำของสตรีนางหนึ่งก้าวลงมาจากหลังม้าสีน้ำตาลแดง จากนั้นพุ่งตัวเข้าไปในจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่
ไป๋ชิงเหยียนผูกกระสอบทรายไว้ตามลำตัว สั่งปิดประตูเรือนฉางโซ่ว ฝึกซ้อมหอกเงินหงอิงกลางลานหญ้าท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุ
ผมยาวที่รวบสูงอยู่เหนือศีรษะเปียกชื้นและยุ่งเหยิงเล็กน้อย เม็ดเหงื่อเกาะตามใบหน้าและลำคอที่แดงก่ำจนแทบชุ่มไปทั้งกาย
ลำแขนที่เกร็งแน่นบัดนี้สั่นเทาไม่หยุด มันหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังจะจมลงในทะเล หญิงสาวสะบัดหอกเงินมืออย่างแรงราวกับอาศัยเพียงจิตใจที่เข้มแข็งอย่างเดียวเท่านั้น การเคลื่อนไหวหนักแน่นมั่นคง หอกเงินพุ่งไปยังเป้าอย่างแม่นยำ
แม้ชุนเถาที่ยืนถือน้ำชาดูอยู่ด้านข้างจะเห็นการฝึกซ้อมจนเหงื่อท่วมตัวของไป๋ชิงเหยียนเช่นนี้ทุกวัน ทว่า นางก็ยังคงไม่คุ้นชิน รู้สึกปวดใจทุกครั้งที่มอง
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
ได้ยินเสียงเคาะประตู หญิงชราเฝ้าประตูรีบวิ่งจากระเบียงทางเดินไปยังประตูเรือน เอ่ยถามเสียงเบา “ผู้ใด”
“ข้าเอง! ไปรายงานคุณหนูใหญ่ว่าเสิ่นชิงจู๋กลับมาแล้ว!”
เมื่อน้ำเสียงสงบนิ่งของเสิ่นชิงจู๋ดังขึ้น ชุนเถาเบิกตาโพลง หันไปมองทางไป๋ชิงเหยียน
“คุณหนูใหญ่ แม่นางเสิ่นกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนใจกระตุกวูบ ลดหอกยาวแหลมในมือลง กำหอกไว้ในมือ หมุนกายกลับไปมอง ปลายหอกหงอิงขูดเข้ากับกระเบื้องหินบนพื้นจนเกิดรอย
ประตูใหญ่ของเรือนชิงฮุยค่อยๆ เปิดออก
เสิ่นชิงจู๋เงยหน้าขึ้นก็พบกับร่างเพรียวที่ยืนอยู่กลางลานหญ้า
ไป๋ชิงเหยียนถือหอกเงินอยู่ในมือ ร่างบางในชุดสีขาวเรียบเหงื่อท่วมกายเปียกชื้นจนชุดแนบรัดไปตามลำตัวจนเห็นรูปทรงปราดเปรียวของหญิงสาวอย่างชัดเจน หยาดเหงื่อไหลจากลำคอหยดลงกราม และไหลเข้าไปในเสื้อของหญิงสาว
ไป๋ชิงเหยียนยืนเหงื่อท่วมกายอยู่กลางแสงแดดจ้ายิ่งทำให้หญิงสาวดูโดดเด่นยิ่งนัก
หญิงสายหายใจรัว เหงื่อที่เกาะอยู่ตามถูกแสงแดดส่องกระทบจนกลายเป็นสีทอง รัศมีรอบกายเต็มไปด้วยไอสังหาร จนผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้
จู่ๆ ขอบตาของเสิ่นชิงจู๋ก็ร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่
นางแทบจำไม่ได้แล้วว่าไม่ได้เห็นไป๋ชิงเหยียนถือหอกหงอิงมานานเพียงใด
เสิ่นชิงจู๋นึกว่าความผิดพลาดของนางจะทำให้เสี่ยวไป๋ไซว่ที่เคยโดดเด่นในสนามรบกลับมาไม่ได้อีกแล้ว
ชาตินี้ได้มีโอกาสเห็นไป๋ชิงเหยียนถือคันธนูเซ่อรื้อ ได้เห็นไป๋ชิงเหยียนยกหอกเงินหงอิงขึ้นมาได้อีกครั้ง เสิ่นชิงจู๋จะไม่ร้องไห้ จิตใจไม่เดือดพล่านได้อย่างไรกัน
เสิ่นชิงจู๋ยังจำได้ดีว่าตอนไปช่วยเหลือคนที่ชิวซานกวน ไป๋ชิงเหยียนอยู่บนหลังม้า ไอสังหารแผ่รอบกาย เสียงม้าร้องดังกังวาน
เสิ่นชิงจู๋รู้สึกเหมือนได้กลับไปเห็นเสี่ยวไป๋ไซว่แห่งกองทัพไป๋ผู้องอาจเหนือผู้ใดขี่ม้าทะยานกลับคืนสู่สนามรบอย่างสง่างามอีกครั้ง อำนาจบารมียิ่งใหญ่ ทรงพลังมหาศาล สามารถทำให้พวกนางเอาชนะศัตรูได้อย่างง่ายดาย
ผู้อื่นไม่รู้ว่าคำว่าเสี่ยวไป๋ไซว่มีความหมายสำหรับกองทัพไป๋มากเพียงใด ทว่า เสิ่นชิงจู๋ที่เคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับไป๋ชิงเหยียนในกองทัพไป๋รู้เรื่องนี้ดี!
หลังจากที่ไป๋เวยถิงและบุรุษตระกูลไป๋ทุกคนเสียชีวิตลง เสี่ยวไป๋ไซว่ราวกับธงเฮยฟานไป๋หมั่งของกองทัพไป๋ สามารถปลุกใจและปลุกพลังของเหล่าทหารแห่งกองทัพไป๋ให้ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้งได้
[1] ยามเว่ย เวลาระหว่าง 13.00-15.00 นาฬิกา