องค์ชายน้อยพิงพระองค์อยู่ข้างหินสีดำก้อนหนึ่ง เส้นผมสีดำคลอลงมา มือข้างหนึ่งจึงกำมันไว้หลวมๆ เป็นความงามเย้ายวนจนอธิบายไม่ถูก
เขายิ้มอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง “ความหมายของเจ้าก็คือ ปราการแรกของโลงศพยังไม่ถูกเปิดออก?”
“เกรงว่ายังคงขาดอีกร้อยกว่าคน วิธีคลี่คลายด่านปราการแรกนี้เรียกว่าการสละชีพ หากเครื่องสังเวยไม่เพียงพอละก็ โลงศพก็จะไม่เปิดออก” ผู้คนที่ยืนอยู่รอบตัวเขาพากันก้มศีรษะลง ไม่กล้าขาดความเคารพแม้แต่น้อย
เหยียนเฉียวหลัวตกตะลึงไปแล้ว เหล่าผู้ที่อยู่ในชุดขาวดั่งแสงจันทร์เหล่านี้ไหนเลยนางจะไม่รู้จัก?
นี้เป็นเหล่าหัวหน้านักพรตแห่งภูเขาฮว่าชิ่งซาน!
สตรีที่อยู่ในกลุ่มนั้นยังเป็นอาจารย์ของนางด้วย!
ท่านผู้อาวุโสหยู่แห่งเขาฮว่าชิ่งซาน
ที่จริงแล้วผู้อาวุโสหยู่เป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นต้าเหยียน หากนับตามลำดับชั้นยังถือเป็นเสด็จน้าของนางด้วยซ้ำไป ตั้งแต่เล็กก็ถูกส่งไปที่ฮว่าชิ่งซานแล้ว ทั้งยังฝึกฝนวิชาเวทย์จนเก่งกาจ กลายเป็นยอดนักพรตผู้หนึ่ง
แม้แต่เมื่ออยู่ในเขาฮว่าชิ่งซาน ผู้อาวุโสหยู่ซั่งก็ได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง ตอนนี้เมื่ออยู่เบื้องหน้าบุรุษชุดม่วง กลับอ่อนน้อมเชื่อฟังถึงเพียงนี้?
นางกรอกตาไปมา แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเอง
นางอ้าปาก ส่งเสียงเรียกท่านอาจารย์คำหนึ่ง
“หุบปาก เหล่าอาจารย์ลุงกำลังกราบทูลองค์ชายน้อย ยังไม่ถึงรอบให้เจ้าเอ่ยวาจา” สีหน้าท่าทางของผู้อาวุโสหยู่ซั่งเคร่งครัด ทำเอาเหยียนเฉียวหลัวต้องเก็บคำพูดทั้งหมดกลับไป
องค์ชายน้อย….ตลอดทางมานี้เหยียนเฉียวหลัวได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้มาหลายรอบแล้ว
ตกลงแล้วคุณชายชุดม่วงผู้นี้เป็นเชื้อพระวงศ์ของแว่นแคว้นใดกันแน่?
ผู้ที่โดดเด่นเหนือคนทั่วไปเช่นเขา ที่จริงแล้วสมควรจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดิน แต่ทำไมแม้แต่ตัวนางก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?
เหยียนเฉียวหลัวหันไปมองดูผู้อาวุโสหยู่ซั่งอีกครั้งหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ปิดปากลงอย่างเชื่อฟัง
เพียงแต่ในใจก็ยิ่งเกิดความสงสัยในตัวองค์ชายน้อยผู้นี้มากกว่าเดิม ทั้งยังเพิ่มความกริ่งเกรง
ถึงแม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงของแคว้นเหยียน แต่ดูจากปฏิกริยาของท่านอาจารย์แล้ว องค์ชายน้อยผู้นี้เป็นผู้ที่นางไม่อาจผิดใจได้เลยสักนิด
ขณะที่หัวใจของนาง กำลังตกอยู่ในความตื่นตระหนก ก็ได้ยินองค์ชายน้อยตรัสกับผู้อาวุโสว่า “นางน่ารักไร้เดียงสา ตลอดทางมานี้ช่วยคลายความเหงาให้กับเรา เจ้าไม่จำเป็นจะต้องเข้มงวดกับนางถึงเพียงนั้น”
ผู้อาสุโสหยู่ตะลึงไปชั่วขณะ ก็คุกเข่าลงไปเบื้องหน้าเขาด้วยความหวาดหวั่น “ศิษย์ดื้อรั้น ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงช่วยชีวิตนาง ทั้งยังให้หนทางรอดสายหนึ่งกับนาง”
“ต่อให้เป็นวัว เป็นม้า นางก็สมควรรับใช้ฝ่าบาท”
องค์ชายน้อยมิได้ตอบคำนาง แต่กลับยิ้มอย่างเย็นชาเช่นเดิม มองดูทะเลสาบที่สงบนิ่งลงไปแล้ว “กลับมาพูดกันเรื่องปัญหาเมื่อครู่ ในเมื่อเครื่องสังเวยไม่เพียงพอ ก็จับสักหลายคนโยนลงไป เราเห็นว่า หลายคนที่มาจากต้าโจวนั่นเหมาะสมดีทีเดียว”
“องค์ชายทรงหมายถึง…….พระสนมหยวนเฟยและขุนนางอวี้ซื่อแห่งแคว้นต้าโจว?” ท่านผู้อาวุโสหยู่ซั่งมีปฏิกริยาเป็นคนแรก
เหล่านักพรตคนอื่นๆ ก็พากันหน้าเปลี่ยนสี “สองคนนั้น….ปีนขึ้นมาอย่างไม่กลัวตาย ข้างกายคล้ายกับว่ายังมีองครักษ์ลับของต้าโจวคอยพิทักษ์อยู่”
ที่จริงแล้วสำหรับเรื่องเครื่องสังเวย จะโยนใครลงไปก็เหมือนๆ กัน องค์ชายน้อยกลับทรงหมายตาแคว้นต้าโจวเข้าเสียแล้ว?
“คนหนึ่งเป็นพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้ คนหนึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของไทเฮา ทั้งสองล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องสังเวยที่ยอดเยี่ยม แค่หนึ่งคนก็สามารถทดแทนคนได้นับสิบแล้ว” องค์ชายน้อยตรัสอย่างไม่เร็วไม่ช้า “สวรรค์ย่อมมีจิตเมตตาการุณ ชีวิตของสองคนที่แลกกับผู้คนนับร้อยชีวิต ก็ถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาแล้ว”
คำพูดนี้พอเอ่ยออกมาจากปากของเขา ก็ฟังดูลึกลับวังเวงขึ้นมาในทันที
เหล่านักพรตจากภูเขาฮว่าชิงต่างสบตากันครั้งหนึ่ง อย่างไรก็รู้สึกว่าองค์ชายน้อยมีจุดประสงค์แอบแฝง
“อย่าว่าแต่ ท่านประมุขเกลียดชังแคว้นต้าโจวอย่างที่สุด ใช้คนของแคว้นต้าโจวเป็นเครื่องสังเวย ท่านย่อมพึงพอใจ” องค์ชายน้อยไม่ทรงรีรออีกต่อไป
เขาสะบัดชายแขนเสื้อ “ไปเถอะ อย่าให้เราต้องรอนานเกินไป”
ทันทีที่สิ้นเสียง นักพรตทั้งหมดก็ถวายคำนับ มีหลายคนลงไปตรวจสอบสถานการณ์ใต้ทะเลสาบ ผู้อาวุโสหยู่ซั่งและนักพรตอีกผู้หนึ่งมุ่งหน้าไปจับหยวนเฟยและตู๋กูเจวี๋ย
ก่อนที่จะไปลงมือ เหยียนเฉียวหลัวยังเอ่ยปากเตือนผู้อาวุโสหยู่ซั่งคำหนึ่ง “ท่านอาจารย์ โปรดระมัดระวังตัว ข้างกายพวกเขามีไก่ตัวหนึ่ง มันพ่นไฟได้”
ผู้อาวุโสหยู่ซั่งสะบัดแส้ปัดในมืออย่างไม่เห็นอยู่ในสายตา
นางเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งภูเขาฮว่าชิ่งซาน มีหรือจะกลัวไก่ตัวหนึ่ง?
เป็นเจ้าเด็กน้อยเหยียนเฉียวหลัว ที่ไปเสียทีในแคว้นต้าโจว ถูกงูกัดไปครั้งกลัวเชือกเปียกไปสิบปี [1] ถึงได้ระแวดระวังมากจนมากเกินไป
“คอยติดตามองค์ชายน้อยให้ดี” ว่าแล้ว ผู้อาวุโสหยู่ซั่งก็เหาะออกไปในทันที
นักพรตที่มีตบะสูงส่งอย่างพวกเขา วิชาตัวเบาย่อมสูงส่งอยู่แล้ว นักพรตที่มีระดับสูงส่งขึ้นไปยิ่งสามารถขี่เมฆเดินทางได้ก็มี
เหยียนเฉียวหลัวยืนอยู่ที่เดิม ตอนนี้จึงกลายเป็นอยู่ข้างองค์ชายน้อยตามลำพังอีกครั้ง ใจของนางก็หวาดกลัวขึ้นมา
เมื่อครู่นางคล้ายจะได้รู้เรื่องที่ยิ่งใหญ่บางประการอีกเรื่องหนึ่ง
เบื้องหลังขององค์ชายน้อยยังมีท่านประมุขอีกคน
จากที่ฟังน้ำเสียงของเขา ท่านประมุขผู้นี้ยืนอยู่เหนือผู้ใดทั้งหมด แม้แต่เหล่านักพรตแห่งฮว่าชิ่งซานแค่ได้ยินก็ยังหน้าเปลี่ยนสี
นางเคยคิดมาตลอดว่าตนเองชาญฉลาด รู้ความเป็นไปในแผ่นดินทั้งหมด แต่ตอนนี้ถึงได้ตระหนักว่า นอกจากเรื่องของบ้านเมืองแล้ว ในแผ่นดินนี้ยังมีความลับที่นางไม่รู้อีกมากมาย
‘ท่านประมุข’ ……..คล้ายกับว่าศพคืนชีพที่เคยจะทำให้นางต้องเดือนร้อนจนเกือบตายนั้นก็เคยเอ่ยถึงมาก่อน
ท่านประมุขที่พวกเขาพูดถึงใช่เป็นคนคนเดียวกันหรือไม่?
แต่มีประเด็นหนึ่งที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอน ก็คือ ‘ท่านประมุข’ ผู้นี้ชิงชังแคว้นต้าโจว ดูท่าเขาจะคิดวางแผนเอาไว้มากมาย อย่างไรก็ไม่ยอมให้ต้าโจวได้อยู่อย่างสงบสุข
จีเฉวียนทอดทิ้งนาง เช่นนี้นางก็จะร่วมมือกับองค์ชายน้อยและ ‘ท่านประมุข’ ก็ถือเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างเดียวกัน
…………………..
อีกด้านหนึ่ง หยวนเฟยและตู๋กูเจวี๋ยที่พึ่งจะปีนถึงยอดเขาก็กำลังหอบหายใจคำโต
หลงเซียวยืนอยู่ข้างกายพวกเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“รออยู่ด้านนอกไม่ดีหรือยังไง? กลับจะต้องฝืนปีนขึ้นมาให้ได้?” ถึงทั้งสองคนจะหอบจนตัวโยน หลงเซียวก็ยังคงเยาะเย้ยอย่างไร้น้ำใจ
ภูเขาที่สูงมากขนาดนี้พวกเขากลับอาศัยเพียงกำลังกายปีนขึ้นมาจนถึง ก็นับว่ามีความสามารถอยู่
แต่ตอนนี้เขาออกจะร้อนใจบ้างแล้ว เขาพลัดหลงกับฮ่องเต้และไทเฮาเสียแล้ว…..นอกจากนี้ เจ้าไก่ของไทเฮาที่เดิมทียังอยู่กับพวกเขา ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆ พอมาถึงครึ่งทางมันก็มาถูกแม่ไก่ตัวหนึ่งที่บุกเข้ามาลักพาตัวหายไปเสียแล้ว
ไก่ทั้งสองตัววิ่งตะลุยมาทางสระสวรรค์
ขุนนางอวี้ซื่อไล่ตามมาตลอดทางไม่ยอมหยุด ปากก็ว่า ‘นี่เป็นไก่ที่น้องเล็กรักมากที่สุด ไม่อาจปล่อยให้มันไปให้กำเนิดลูกเจี๊ยบเรี่ยราดอยู่ที่ภายนอกได้’ คำพูดที่ไร้สาระหาเหตุผลไม่ได้เช่นนี้ก็ยังถูกเขายกมากล่าวอ้าง
หยวนเฟยและเขาหมดหนทาง ได้แต่ไล่ตามมา
แม่ไก่ตัวนั้นไม่แน่ว่าอาจจะเป็นสัตว์ปีศาจที่อยู่บนเขา ที่คอยล่อลวงไก่ตัวผู้โดยเฉพาะก็เป็นได้ มันล่อลวงติ๊งต๊องเสียงจนหัวหมุน เอาแต่ติดตามอย่างไม่คิดชีวิต ผลุบๆ โผล่ราวกับดวงวิญญาณ เดี๋ยวเจอประเดี๋ยวไม่เจอ
กว่าที่พวกเขาจะได้สติรู้ตัว ก็ป่ายปีนขึ้นมาจนถึงยอดเขาแล้ว
หยวนเฟยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจริงๆ คิดๆ ดูแล้ว หากว่านางนอนเฝ้าตำหนักฉางซินกงเอาไว้จะไม่ดีกว่าหรอกหรือ? จะมาทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ทำไม
ตู๋กูเจวี๋ยมองดูผู้คนที่ออกันอยูด้านหน้า ก็เสาะหาเงาของน้องสาวตนเองอยู่ตลอด “ข้าช่างเป็นพี่ชายที่ล้มเหลวเสียจริงๆ ทำน้องสาวตนเองหาย แม้แต่ไก่ของนางก็ยังดูแลไม่ดี ข้ามันใช้ไม่ได้….”
หยวนเฟยและหลงเซียว “…….”
เป็นถึงขุนนางใหญ่ของแคว้นต้าโจว ไอ้หนุ่มนี่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยห่วงใยฝ่าบาทเลยสักนิด
นี่เขาแสดงออกอย่างชัดเจนเกินไปหรือไม่?
ตอนแรกยังคงคร่ำครวญด้วยความละอายใจ แต่แค่ครู่เดียวก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยเบียดไปถึงด้านหน้าของฝูงชน ชี้ไปที่ผิวทะเลสาบที่แตกร้าวกล่าวว่า “อ้ายย่าห์ พวกเจ้าเดาสิว่าที่ใต้ทะเลสาบนั่นคือที่ซ่อนขุมทรัพย์ของแคว้นเซอปี่ซือใช่หรือไม่? ข้าเกิดลางสังหรณ์ ไม่แน่ว่าข้างล่างนั้นจะมีตัวประหลาดอะไรโผล่ขึ้นมา”
——
[1] 一朝被蛇咬十年怕井绳
——
คุยกันนิดนึง:
ไรท์: ตัวพ่อตัวแม่มากันครบแล้ว พวกตัวประกอบเชิญถอยออกไป
มีใครเห็นอิ๋งฉีโผล่ขึ้นมาหรือยัง ช่วยฉุดเขาหน่อย ไรท์เสียดายผู้ชายดีๆ