จริงแท้แน่นอน คนเช่นจีเฉวียนนั้น มิว่าจะต้องเผชิญกับศัตรูที่ร้ายกาจเช่นไร ก็ไม่มีทางท้อถอย
เมื่อยามเยาว์วัย จีเฉวียนก็เคยได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แคว้นฉิน อิ๋งชาง มาเหมือนกัน
อิ๋งชางมีพระชนม์สูงมากแล้ว เรื่องของอายุนี้สุดที่ผู้ใดจะทัดทานได้ หากว่าอิ๋งชางสามารถหนุ่มแน่นขึ้นได้อีกหลายสิบปี และหากจีเฉวียนมิได้ทรงขึ้นเป็นฮ่องเต้ของต้าโจวล่ะก็ ในอนาคตผู้ที่จะได้ครอบครองแผ่นดินทั้งหมด ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นผู้ใดกันแน่
หากว่าปล่อยให้อิ๋งชางได้มีชีวิตเป็นอมตะ นี่มิเท่ากับว่าเขาขุดหลุมฝังตนเองหรอกหรือ
ที่ผ่านมาจีเฉวียนทรงเป็นจิ้งจอกเฒ่า ย่อมไม่มีทางกระทำเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์กับตนเองอย่างแน่นอน
ทรงประคองถ้วยน้ำชาเอาไว้ ดวงเนตรหงส์ทั้งสองจดจ้องไปยังอิ๋งฉี ค่อยแย้มสรวลออกมาบางๆ “คุณชายฉีมิจำเป็นต้องชักจูง เราสมควรทำสิ่งใด ไม่สมควรทำสิ่งใด ในใจย่อมรู้อยู่แล้ว”
อิ๋งฉีหนักพระทัยขึ้นมาในทันที เขารู้จักจีเฉวียนมานานแล้ว แต่ก็ยังคงไม่สามารถมองพระองค์ออกทั้งหมด
จีเฉวียนเหมือนดั่งปริศนาเขาวงกตแห่งหนึ่ง แก้ไขได้ส่วนหนึ่ง ก็ยังคงมีอีกส่วน ไม่ว่าพระองค์กำลังคิดสิ่งใดอยู่ ก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถคาดเดาได้ตลอดกาล
ที่เขามาเข้าเฝ้าจีเฉวียนในครั้งนี้ ก็เพราะไม่ต้องการกลายเป็นศัตรูกับจีเฉวียน
ด้วยอำนาจของแคว้นฉิน ย่อมไม่มีทางเกรงกลัวจีเฉวียนอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าคนผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ไม่สมควรจะไปหาเรื่องง่ายๆ
พออิ๋งฉีคิดถึงความเป็นไปได้ในอนาคต ในใจตอนนี้ก็เกิดความหวาดกลัวลึกๆ ขึ้นมา
ในพระทัยของเขาเต็มไปด้วยความว้าวุ่น ขณะที่คาดเดาคำตอบของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ อยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงจีเฉวียนตรัสว่า “เมื่อหลายปีก่อน เราติดค้างน้ำใจท่านอยู่ วันนี้สมควรถึงเวลาตอบแทนน้ำใจนี้แล้ว เรื่องของแคว้นฉินเราจะไม่ยื่นมือสอดแทรก จะเป็นโชคลาภหรือเภทภัยก็แล้วแต่ตัวท่านเอง”
อิ๋งฉีได้ยินพระองค์ตรัสเช่นนั้น ก็ถอนพระทัยอย่างปลอดโปร่งครั้งหนึ่ง
หากมิใช่ว่าบนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นอยู่ล่ะก็ รูปโฉมของเขาคงยิ่งสมดั่งหยกงามเป็นแน่
เขารีบลุกขึ้นยืน ถวายคำนับจีเฉวียนครั้งหนึ่ง “กระหม่อมขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงสนับสนุน”
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า จีเฉวียนจะยังคงจดจำบุญคุณเมื่อหลายปีก่อนได้ กระทั่งถึงวันนี้ก็ยังคิดจะตอบแทน
ทั้งที่ตอนนั้น….ก็เป็นเพียงบุญคุณที่เลี้ยงอาหารมื้อหนึ่งเท่านั้น
พอพึ่งจะขยับตัว ก็เห็นนางกำนัลน้อยที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ต้าโจว อยู่ๆ ก็ยื่นมือมาทางเขา นางส่งแผ่นยันต์ที่ถูกพับเป็นรูปสามเหลี่ยมให้กับเขา
“ฝ่าบาททรงรำลึกถึงบุญคุณของฉีอ๋องอยู่เสมอ ยันต์คุ้มภัยนี้ถือเป็นของขวัญ จะมากจะน้อยก็พอจะช่วยรักษาฉีอ๋องให้ปลอดภัยได้”
ริมฝีปากแดงของตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้ม ปลายนิ้วของนางขาวนุ่มน่าดู
ก่อนหน้านี้นางเอาแต่คุกเข่าอยู่ด้านหลังของจีเฉวียนมาโดยตลอด ทั้งยังก้มศีรษะไว้ อิ๋งฉีจึงทอดพระเนตรนางได้ไม่ถนัด
ยามนี้อยู่ๆ นางก็ส่งยันต์คุ้มภัยมาให้ตน พอเงยพักตร์ขึ้นมองเห็นดวงหน้านั้นเขาก็ต้องตกตะลึงไปอย่างแรง
ใบหน้าที่มีผิวพรรณดั่งทารก ดูนุ่มนิ่มเสียจนแทบจะคั้นน้ำออกมาได้
ดวงตากลมโต จมูกเล็กๆ คิ้วโค้วโก่งงามดังไต้หยู ดึงดูดสายตา ประหนึ่งดอกโบตั๋นที่งดงามที่สุดดอกหนึ่ง
อิ๋งฉีเคยพบเห็นสาวงามมามากมายนับไม่ถ้วน เพียงแต่โฉมสคราญเช่นผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ นับว่าพึ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก
แม้ว่าจะอวบอ้วนไปสักหน่อย แต่มิได้ลดทอนความงดงามของนางให้น้อยลงไป รูปร่างที่อิ่มเอิบเช่นนี้ อย่างมากก็เพียงแต่เรียกว่าอวบอั๋นเท่านั้นละมั้ง
ขนาดเช่นนี้แล้วก็ยังงดงามจนผู้คนจิตใจหวั่นไหว ไม่รู้ว่าหากผอมลงมาสักหน่อย จะยิ่งงดงามน่าดูถึงเพียงไหน?
เขาถึงขนาดจิตใจล่องลอยไปครู่หนึ่ง แต่ในขณะที่จิตใจล่องลอยอยู่นั้นก็เห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ที่เดิมมีความเกรงอกเกรงใจอยู่เปลี่ยนแปลงไปในทันที
จีเฉวียนทรงกระแอมอย่างเย็นชาสองสามครั้ง ดวงเนตรหงส์คู่นั้นก็ฉายแววเย็นชาประหนึ่งเกล็ดน้ำแข็งออกมา “คุณชายฉี เราจำได้ว่า ที่ผ่านมาท่านไม่นิยมในความงาม”
อิ๋งฉีพระพักตร์แดงระเรื่อ สองหัตถ์ยื่นออกไปรับยันต์คุ้มกายจากตู๋กูซิงหลัน
ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำขึ้นมา เขารีบเก็บงำประกายตา รักษาท่านั่งที่สง่างามเอาไว้
“ฝ่าบาท ชีวิตของกระหม่อมติดตามรอยพระบาทของพระเชษฐา วันๆ วุ่นวายแต่กับเรื่องของบ้านเมือง ตนเองจึงมิได้ใส่ใจกับเรื่องของชายหญิง เพียงแต่ว่าวันนี้เมื่อได้เห็นนางกำนัลประจำพระองค์ของฝ่าบาท จึงตื่นตะลึงขึ้นมา”
อิ๋งฉีมิได้โป้ปด เขาแสดงท่าทีชื่นชมความงามของตู๋กูซิงหลันอย่างไม่มีลังเล “แผ่นดินและแหล่งน้ำของแคว้นต้าโจวอุดมสมบูรณ์ จึงได้บ่มเพาะเลี้ยงดูสตรีที่งดงามเกินใดจะเปรียบเช่นนี้มาได้ ฝ่าบาททรงมีโฉมสคราญเป็นเพื่อน นับว่าเป็นที่อิจฉาแก่ผู้คนรอบด้านแล้ว”
เขาจำได้ว่าปีนั้นตอนที่ยังอยู่ในต้าเหยียน องค์หญิงแคว้นต้าเหยียนเหยียนเฉียวหลัวพยายามตามติดพระองค์อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าจีเฉวียนกลับไม่มีทีท่าจะสนใจเลยสักนิด
สมแล้วที่เป็นจีเฉวียน คนที่เขาจะชื่นชอบได้ต้องเป็นยอดโฉมงาม แค่ความงดงามก็นับว่าเป็นหนึ่งในหมื่น แน่นอนว่าเหยียนเฉียวหลัวมิอาจเทียบได้
จีเฉวียนได้ทรงฟัง สีพระพักตร์ก็กลับมาอบอุ่นดังเดิม ทั้งยังตรัสยืนยันกับเขาว่า “นี้มิใช่นางกำนัลติดตาม แต่เป็นผู้ที่เราปรารถนา”
ตรัสแล้ว ก็หันมาทอดพระเนตรมองดูตู๋กูซิงหลัน
ก็ตรัสเสริมอีกประโยค “เป็นยอดปรารถนาที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝัน”
อิ๋งฉีถึงกับตกตะลึงไปแล้ว
ยอดปรารถนาที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝัน?
นี่เขาเข้าใจจีเฉวียนผิดไปตรงไหนหรือไม่?
ที่ผ่านมาบุรุษผู้นี้ หากปรารถนาสิ่งใด ต่อให้ต้องวางแผนนับร้อยครั้งก็ต้องเอามาครอบครองให้ได้
หากไม้อ่อนไม่ได้ผล ก็เปลี่ยนเป็นใช้ไม้แข็งแทน เรื่องการแย่งชิงนั้นเขาก็กระทำมาแล้วมิใช่น้อย
ตอนนี้เพราะสตรีผู้หนึ่ง ถึงกับไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝัน?
หมายความว่าพระองค์กำลังไล่จีบสตรีผู้นี้ แต่ว่านางกลับยังไม่ยอมตกปากรับคำพระองค์
ดูเอาเถอะ นี่เป็นเรื่องที่คนอย่างจีเฉวียนจะกระทำจริงๆ หรือ?
ที่สำคัญที่สุดก็คือ……สตรีผู้นี้ถึงกับมีความกล้าและความสามารถที่ทำให้จีเฉวียนยินยอมทำเพื่อนางขนาดนี้?
ท่ามกลางความตกตะลึง อิ๋งฉีก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองดูตู๋กูซิงหลันอีกหลายรอบ
ถึงแม้ว่านางจะแต่งกายเฉกนางกำนัล แต่ก็ไม่อาจปิดบังราศีที่ติดตัวนางไปได้
ธรรมดาแล้วมิว่าผู้ใดก็ตามเมื่ออยู่ใกล้กับจีเฉวียนก็มักจะดูหม่นหมองลงไป แต่ว่าสตรีที่มีความพิเศษผู้นี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีความหวาดกลัว แต่ดวงตาของนางยังสุกสกาวพร่างพราว
ตู๋กูซิงหลันยกยิ้มมุมปาก หัวเราะเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อนความเก้อเขินเมื่อครู่
ประโยคที่ว่าเป็นยอดปรารถนาของจีเฉวียนเมื่อครู่ทำเอานางเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่ถูกเขาสารภาพรัก เจ้าลูกชายผู้นี้ก็เปิดฉากรุกใส่นางอย่างดุดันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
แต่เพราะว่านางเป็นพวกกามตายด้าน ตลอดทางจึงไม่ได้รับผลกระทบสักเท่าไหร่
เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนแค่สองคน พอตอนนี้อยู่ๆ ถูกนำเอามาแฉต่อหน้าผู้อื่น ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าน่าอับอายจนไม่รู้ว่าสมควรจะเอาใบหน้าไปซุกไว้ที่ไหนดี
นางแค่รู้สึกว่าท่านอ๋องสิบแปดผู้นี้ดูแล้วช่างถูกชะตา ทั้งยังรู้สึกว่าโหงวเฮ้งของเขาดูหมองๆ อยู่บ้าง ถึงได้หยิบยืมเรื่องที่จีเฉวียนติดหนี้บุญคุณมอบยันต์คุ้มภัยไว้ให้เขา ไหนเลยจะคิดว่าเป็นการชักจูงเรื่องย้อนกลับมาหาตนเอง
“ฝ่าบาท คนหลอกคนกันเองจะทำคนตกใจตายได้นะเพคะ” ตู๋กูซิงหลันรีบตบลงไปบนทรวงอก “ห… หัวใจของข้าช้าเร็วคงต้องวายตายเพราะพระองค์เข้าสักวัน”
จีเฉวียนมองดูกริยาเสแสร้งของนาง ก็ทรงคิดจะเขกศีรษะนางแรงๆ สักครั้งหนึ่ง “เราไปทำให้เจ้าตกอกตกใจตั้งแต่เมื่อใดกัน? ทุกคำที่เรากล่าวออกไปล้วนมาจากใจจริง”
ว่าแล้วก็ไม่ทรงลืมเสริมขึ้นอีกว่า “หากว่าเจ้าหวาดกลัวล่ะก็ อ้อมกอดของเราพร้อมจะเป็นที่พักพิงให้กับเจ้าได้เสมอ”
ตู๋กูซิงหลัน “!!!”
อิ๋งฉี “นะ นี่….” ที่เขามาวันนี้ก็เพื่อจะมาเจรจากับจีเฉวียน ทำไมไปๆ มาๆ ถึงได้ถูกกระตุ้นจนต้องเขินอายขึ้นมาบ้างแล้ว
หากมิใช่ว่าได้มาเห็นด้วยตาของตนเอง และได้ยินกับหู เขาคงจะต้องสงสัยว่าบุรุษตรงหน้าคือฮ่องเต้ของต้าโจวตัวจริงหรือไม่
ที่ผ่านๆ มานั้น จีเฉวียนไม่เพียงสงวนวาจาและรอยยิ้ม รักษาสีหน้าเป็นดั่งแท่งน้ำแข็งอยู่เสมอ ทั้งยังไม่มีทางเอ่ยปากกล่าววาจาทำนองนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นช่วงสองสามปีนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
เขาชักจะสงสัยแล้วว่าจีเฉวียนถูกวางยาเสน่ห์ใดหรือไม่ ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปถึงเพียงนี้
เมื่อรู้สึกถึงความประหลาดใจของอิ๋งฉี จีเฉวียนก็ไม่ลืมจะหันไปอธิบายกับเขาว่า “คุณชายฉีมิต้องประหลาดใจไป แต่ไหนแต่ไรเราก็ปฏิบัติต่อยอดดวงใจเช่นนี้อยู่แล้ว”
“เพียงแต่ว่านางช่างไร้น้ำใจ หนทางปรารถนาของเราจึงยังอยู่อีกไกลนัก”
——
คุยกันนิดนึง:
ไรท์: พี่เต้!!!!!!!!!!!!!
ตอนต่อไป “หากว่าเจ้าจูบเราครั้งหนึ่ง เราก็จะบอกเจ้า” อ่ะหือ มาเป็นชุดเลยจ้าพี่จ๋า