ตอนที่ 381 ไม่อาจปฏิเสธความผิด
ชุนเถาเดินเข้าไปรับม้วนไม้ไผ่มาจากมือของกู่เหล่า จากนั้นส่งให้ไป๋ชิงเหยียน
กู่เหล่าเงยหน้าขึ้น มองไปทางประมุขไป๋ด้วยแววตาวาวโรจน์ เสียงดังกังวาน “ของที่ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงส่งกลับมายังซั่วหยางในช่วงหลายปีมานี้ ประมุขไป๋และไป๋ฉีอวิ๋นบุตรชายของท่านมักจะมารับของเหล่านี้ด้วยตัวเองโดยอ้างว่าเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญ พอข้าบอกว่าต้องการตรวจสอบบัญชีกับผู้ดูแลของตระกูลบรรพบุรุษ ประมุขไป๋ก็กล่าวหาว่าข้าไม่เชื่อใจท่านต่อหน้าเจิ้นกั๋วอ๋อง เรื่องการตรวจสอบบัญชีถึงไม่เคยเกิดขึ้น นึกไม่ถึงเลยว่าเบื้องลึกจะโสมมถึงเพียงนี้!”
กู่เหล่าไม่ได้กล่าวออกไปทั้งหมด เจิ้นกั๋วอ๋องรู้ว่าประมุขไป๋แอบยักยอกเงินไว้เอง ทว่า เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ ปล่อยเลยตามเลย นึกไม่ถึงเลยว่าจะปล่อยจนกลายเป็นเช่นนี้ได้
สีหน้าของไป๋ชิงผิงส่อแววตกตะลึง เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าท่านปู่ของเขาแอบยักยอกเอาเงินของตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงที่ส่งกลับมาซั่วหยางไปด้วย
ไป๋ชิงผิงไม่ใช่หัวหน้าครอบครัว เขาไม่ค่อยรู้ขั้นตอนเหล่านี้สักเท่าใด เพียงแค่รับเงินในส่วนของตัวเองเท่านั้น
ไป๋ชิงเหยียนกวาดสายตามองเนื้อหาในม้วนไม้ไผ่อย่างคร่าวๆ จากนั้นยื่นม้วนไม้ไผ่ไปให้องครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกาย เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ “นำไปให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ดู!”
องครักษ์รับคำ เดินถือม้วนไม้ไผ่ไปหยุดอยู่หน้าบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลซึ่งเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ผู้อาวุโสเหล่านั้นรับม้วนไม้ไผ่ไปเปิดอ่านอย่างร้อนรน…
หนึ่งในม้วนไม้ไผ่เหล่านั้น ด้านบนบันทึกจำนวนเงินรวมทั้งหมดที่ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงส่งมาที่ซั่วหยางในช่วงหลายปีมานี้ ด้านล่างบันทึกจำนวนเงินรวมที่ตระกูลบรรพบุรุษได้รับจากเมืองหลวง เมื่อเปรียบเทียบดูแล้วช่างน่าตกใจยิ่งนัก ประมุขไป๋ยักยอกมากขึ้นทุกปี…สุดท้ายถึงขั้นยักยอกเก็บไว้เองเกือบครึ่งหนึ่ง!
ม้วนไม้ไผ่อีกฉบับ บันทึกรายการสิ่งของพระราชทานที่ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงส่งมาซั่วหยาง ทว่า เมื่อประมุขไป๋รับมาแล้วขาดสิ่งของสิ่งใดไปบ้าง
บรรดาผู้อาวุโสในตระกูลยิ่งอ่านก็ยิ่งโมโห สิ่งเหล่านี้ควรเป็นของของตระกูลบรรพบุรุษ ทว่า ประมุขไป๋กลับยักยอกเก็บมันไว้เอง!
“มิน่าเมื่อครู่ภรรยาของไป๋ฉีอวิ๋นถึงได้กอดไป๋ชิงเจี๋ยแน่น…รับปากว่าจะหาทางให้นายอำเภอโจวปล่อยคนออกมา ที่แท้ครอบครัวของประมุขไป๋มีเงินเยอะนี่เอง! ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงสละชีพเพื่อบ้านเมือง สร้างเกียรติยศให้แก่ตระกูล แต่เจ้ากลับยักยอกเงินที่ตระกูลไป๋ส่งมาให้ไว้คนเดียว ไม่เพียงปล่อยให้ลูกหลานของเจ้ารังแกชาวบ้าน ทำลายชื่อเสียงของตระกูล เจ้ายังจะนำเงินที่ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงสละชีพแลกมาไปช่วยลูกหลานของเจ้าอีก เป็นแผนที่ดีจริงๆ”
“ปิดบังมาหลายปี ยักยอกเงินมากกว่าผู้ใด ยังมีหน้าแสร้งทำตัวเป็นคนดี สร้างภาพลักษณ์จอมปลอมให้ผู้อื่นเคารพนับถืออีก มิน่าลูกหลานของเจ้าถึงได้เป็นเช่นนี้ทั้งหมด ที่แท้ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นนี่เอง!”
ผู้อาวุโสซึ่งอายุมากที่สุดนึกถึงชาติกำเนิดของประมุขไป๋ขึ้นมาได้ แสยะยิ้มเย็น “ลูกอนุอย่างไรก็คือลูกอนุวันยังค่ำ! ต่อให้มารดาเอกรับมาเป็นบุตร แต่ไม่มีทางเปลี่ยนสันดาน ไม่มีทางเชิดหน้าชูตาได้! ตอนที่ประมุขคนก่อนดำรงตำแหน่ง แม้เขาจะโลภไปบ้าง ทว่า ยังรู้จักประมาณตน แต่พอถึงคราวของประมุขอย่างเจ้า ช่างถอดแบบมารดาของเจ้าออกมาไม่มีผิดเพี้ยน! มีของดีอันใดก็เก็บเข้าจวนของตัวเองหมด แถมยังกล้าปฏิเสธอย่างน่าไม่อายว่าไม่ได้เอาไปอีก!”
ไป๋ชิงเหยียนเหลือบเห็นเสิ่นชิงจู๋ยืนอยู่ด้านนอกประตู หญิงสาวพยักหน้าให้เล็กน้อย
เสิ่นชิงจู๋กำหมัดรับคำแล้วจากไปทันที
ประมุขไป๋พยายามรวบรวมสติ ทว่า มือที่จับไป๋ชิงผิงอยู่สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า! ข้าไม่รู้เรื่องนี้! ญาติผู้พี่ ข้าเคารพที่ท่านอาวุโสกว่าข้า ท่านสั่งสอนข้าได้ ข้าไม่โกรธ ทว่า ไม่ว่าอย่างไรบิดามารดาของข้าที่ล่วงลับไปแล้วล้วนเป็นญาติผู้ใหญ่ของท่าน ท่านควรสำรวมวาจาสักนิด”
การรับเงินระหว่างตระกูลไป๋และตระกูลบรรพบุรุษในช่วงหลายปีมานี้ ประมุขไป๋กล้ารับรองว่าเขาไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไป๋ฉีอวิ๋นเป็นคนจัดการมาโดยตลอด ไป๋ฉีอวิ๋นถูกขับไล่ออกจากตระกูลแล้ว ไม่มีทางได้สืบทอดตำแหน่งประมุข ดังนั้นเขาจะสูญเสียตำแหน่งประมุขไปไม่ได้เด็ดขาด มีเพียงเขายังดำรงตำแหน่งนี้อยู่จึงจะใช้อำนาจของประมุขปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัวเขาได้ หากเขาสูญเสียตำแหน่งประมุขไป เขาคงไม่อาจปกป้องบุตรชายและหลานชายของเขาได้!
ประมุขไป๋ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ขบกรามแน่นพลางกล่าวขึ้น “หลายปีมานี้ ฉีอวิ๋นเป็นคนจัดการเรื่องเหล่านี้ เดิมทีข้าคิดว่าไป๋ฉีอวิ๋นจะสืบทอดตำแหน่งประมุขคนต่อไป ข้าจึงให้เขาได้ฝึกฝนประสบการณ์ จวิ้นจู่ นายอำเภอโจว เรียกตัวฉีอวิ๋นกลับมาดีหรือไม่ขอรับ ลองฟังคำอธิบายของเขาก่อน ฉีอวิ๋นคือบุตรชายของข้า…ข้าเชื่อว่าต่อให้เขาสารเลวเพียงใดก็ไม่มีทางยักยอกเงินและของพระราชทานที่ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงส่งมาให้หรอกขอรับ”
ประมุขไป๋รู้ดีว่าหากเขายืนกรานว่าเป็นฝีมือของบุตรชายจะดูเป็นการกระทำที่ต่ำช้าเกินไป เขาจึงแสร้งแสดงให้เห็นว่าพร้อมรับการสืบสวน
สิ้นเสียงของประมุขไป๋ ภรรยาของเขาเดินถือไม้เท้าร้องไห้เข้ามาด้านใน “ท่านพี่ องครักษ์ข้างกายของไป๋ชิงเหยียนพาองครักษ์ของจวนองค์รัชทายาทบุกเข้าไปในจวนของเรา รื้อค้นของในจวนออกมาราวกับโจรป่า นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่เจ้าคะ!”
ประมุขไป๋แทบหายใจไม่ออก
ไม่นาน เสิ่นชิงจู๋และองครักษ์ของจวนองค์รัชทายาทแบกเครื่องประดับ เครื่องหยก ของมีค่าหายากในราชวงศ์ก่อนๆ และผ้าไหมชั้นดีเข้ามาด้านในท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่รายล้อม
แม้ท้องฟ้าจะมืดสนิทลงแล้ว ทว่า โคมไฟที่แขวนอยู่รอบหอบรรพชนส่องสว่างราวกับเป็นเวลากลางวัน
ชาวบ้านมองดูหีบเครื่องประดับละลานตาถูกยกเข้าไปด้านในโดยไม่มีสิ่งใดปกปิด ดวงตาวาวโรจน์ ก่นด่าประมุขไป๋อยู่ในใจ เขากล้ายักยอกของมีค่ามากมายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
คนในตระกูลบรรพบุรุษที่เหลืออยู่เดือดดาลถึงขีดสุด แทบอยากจะฉีกร่างของประมุขไป๋ออกเป็นชิ้นๆ
ผู้อาวุโสที่สุดกล่าวเสียงเย็น “ประมุขไป๋ยังไม่รู้เรื่องนี้อีกหรือ ของขนออกมาจากจวนของเจ้า เจ้ายังบอกว่าไม่รู้อีกหรือ เจ้าตาบอดหรืออย่างไร”
ภรรยาของประมุขไป๋ไม่เข้าใจสถานการณ์ เงยหน้ามองไปทางสามีของตัวเอง
ประมุขไป๋ใบหน้าขาวซีดปนเขียวคล้ำ เขามองไปทางไป๋ชิงเหยียน เขาเข้าใจแล้วว่า…ไป๋ชิงเหยียนเตรียมการมาเป็นอย่างดี หญิงสาวไม่ได้ต้องการแค่ขับไล่ทายาทเหล่านั้นออกจากตระกูล แต่ต้องการสะสางตระกูลบรรพบุรุษใหม่ทั้งหมด รวมถึงประมุขของตระกูลอย่างเขาด้วย!
เสิ่นชิงจู๋ถือม้วนไม้ไผ่เข้ามา รายงานไป๋ชิงเหยียน “จวิ้นจู่นี่คือรายการสิ่งของที่ข้าพบในคลังเก็บของของจวนประมุขไป๋เจ้าค่ะ ข้าได้ตรวจสอบกับกู่เหล่าและผู้แลของตระกูลบรรพบุรุษเรียบร้อยแล้ว ล้วนเป็นของที่ไม่ได้จดลงในบัญชีของตระกูลบรรพบุรุษ มีของพระราชทานจำนวนไม่น้อย สามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดายเจ้าค่ะ ส่วนของที่สูญหายไป ข้าใช้หมึกดำวงไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ จวิ้นจู่เชิญตรวจสอบเจ้าค่ะ”
กล่าวจบ เสิ่นชิงจู๋วางม้วนไม้ไผ่ลงบนเก้าอี้น้ำชาด้านข้างของไป๋ชิงเหยียน จากนั้นกวาดสายตามองไปทางประมุขไป๋ที่ยืนกระวนกระวายอยู่กลางลานหญ้า “ตอนที่ข้าขนของออกมาจากจวน ภรรยาของประมุขไป๋เอาแต่ขัดขวาง กล่าวว่าสิ่งเหล่านี้คือสมบัติส่วนตัวของพวกเขา ห้ามผู้ใดแตะต้องทั้งสิ้น ข้าจำเป็นต้องจับกุมตัวภรรยาของประมุขไป๋เอาไว้ จวิ้นจู่โปรดลงโทษด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้หยิบม้วนไม้ไผ่มาเปิดดู เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ “ประมุขไป๋…เสียแรงที่ท่านปู่ของข้าไว้ใจท่านจริงๆ !”
ประมุขไป๋ยืนนิ่งอยู่กับที่โดยไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น ของเหล่านี้ถูกขนออกมาจากจวนของเขา ไม่ว่าเขาจะกล่าวสิ่งใดออกมาก็ล้วนเป็นคำแก้ตัวทั้งสิ้น ครู่ใหญ่เขาจึงเอ่ยขึ้น “ข้านึกไม่ถึงจริงๆ ว่าฉีอวิ๋นจะทำเรื่องที่ผิดต่อตระกูลบรรพบุรุษเช่นนี้ได้ ในฐานะบิดาของไป๋ฉีอวิ๋น ข้าไม่อาจหลีกเลี่ยงความผิดได้ ไม่กล้าดำรงตำแหน่งประมุขอีกต่อไป”