ตอนที่ 383 มากไปจะกลายเป็นปัญหา
รถม้าไม้แกะอย่างสลักประณีตแขวนประดับด้วยโคมไฟทั้งสี่มุม แสงไฟสาดเข้าไปในตัวรถม้า ส่องกระทบใบหน้าสงบนิ่งราวกับสายน้ำของไป๋ชิงเหยียนอย่างริบหรี่
“การบีบให้หมาจนตรอก หากตีหมาไม่ตายจะกลายเป็นปัญหาในภายหลังได้” ไป๋ชิงเหยียนอธิบายให้ไป๋จิ่นจื้อฟังอย่างใจเย็น “ในเมื่อบรรลุจุดประสงค์แล้วก็ไม่จำเป็นต้องจัดการขั้นเด็ดขาดถึงเพียงนั้น มิเช่นนั้นหากบีบจนพวกเขาจนตรอก พวกเขาพร้อมสู้ตายไปกับเราจะไม่เป็นผลดีต่อเราเอง”
เป้าหมายสำคัญที่ไป๋ชิงเหยียนทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ก็เพราะต้องการได้ใจของชาวบ้านในซั่วหยางและฝึกทหารปราบโจรป่า
บัดนี้บรรลุเป้าหมายแล้ว ที่สำคัญเก็บคนที่เหลือของตระกูลบรรพบุรุษไว้ยังมีประโยชน์อยู่ เหตุใดจะไม่ใช้ประโยชน์จากมันเล่า
คำโบราณกล่าวไว้ว่าคนเท้าเปล่าไม่กลัวการสวมรองเท้า หากหนทางข้างหน้าปิดตาย พวกเขาไม่มีสิ่งใดต้องหวาดกลัวอีก ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้กลัว…ทว่า หากเกิดปัญหาอันใดขึ้นมา นางอาจต้องมานั่งเปลืองแรงจัดการกับเรื่องไร้สาระเหล่านี้
ไป๋จิ่นจื้อขมวดคิ้วแน่น แม้จะเข้าใจ ทว่า อดบ่นอุบอิบไม่ได้ “พี่หญิงใหญ่ประเมินพวกเขาสูงเกินไปหรือไม่เจ้าคะ คนอย่างพวกนั้นจะเอาสิ่งใดให้มาสู้ตายไปพร้อมพวกเราเจ้าคะ ให้พวกนั้นอยู่ในตระกูลบรรพบุรุษต่อ ข้ารู้สึกฝืนใจจริงๆ เจ้าค่ะ ไม่สู้ไล่พวกนั้นออกไปจากตระกูลให้หมดเลยเสียยังดีกว่า!”
“พี่นึกว่าเจ้าเติบโตแล้ว เหตุใดยังใจร้อนเช่นเดิมอยู่อีก” ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้โมโห น้ำเสียงแฝงไปด้วยความขบขัน “เมื่อพวกเรากลับมาอยู่ซั่วหยาง เราต้องใช้งานคนของตระกูลบรรพบุรุษอีกมาก ขับไล่พวกเขาออกจากตระกูลไม่มีผลดีต่อเรา วันนี้เราได้ใจชาวบ้าน ปูทางสำหรับการฝึกฝนทหารเพื่อปราบโจรป่าสำเร็จแล้ว ทว่า ตระกูลไป๋ของเราไม่ต้องออกเงินจำนวนนี้เอง ไม่ดีหรืออย่างไร”
ไป๋จิ่นจื้อขมวดคิ้วคิดตาม ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น…
“เมื่อครู่แม้พี่จะกำชับไปแล้วว่าห้ามช่วยเหลือคนที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูล ทว่า สายเลือดเดียวกัน พวกเขาจะทนเห็นลูกหลานของตัวเองลำบากโดยไม่ยื่นมือช่วยเหลือได้อย่างไร พวกเราออกคำสั่งไปแล้ว ทว่า พวกเขาทำผิดก่อน เรามีหลักฐานอยู่ในมือ หากวันหน้าต้องการจัดการพวกเขาล้วนเป็นเรื่องง่ายนิดเดียวไม่ใช่หรือ”
ดวงตาของไป๋จิ่นจื้อเป็นประกายวาว รีบกล่าวขึ้น “พี่หญิงใหญ่กล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า เอ่ยกำชับไป๋จิ่นจื้อ “ทุกอย่างล้วนมีขอบเขต มากเกินไปอาจกลายเป็นปัญหา ปล่อยไว้อยู่ในการควบคุมของเรา คือวิถีของคนฉลาด”
“เสี่ยวซื่อจะจำไว้เจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นจื้อพยักหน้าอย่างจริงจัง
รถม้าของไป๋ชิงเหยียนหยุดลงที่หน้าจวนบรรพบุรุษ เสิ่นชิงจู๋มองเห็นบุรุษรูปร่างสง่างามคนหนึ่งและองครักษ์ยืนรออยู่ไม่ห่างออกไปจากจวนบรรพบุรุษไป๋มากนัก
เมื่อเห็นชุนเถาแหวกม่านรถม้าออก เสิ่นชิงจู๋กางร่มเดินเข้าไปใกล้ คุ้มกันไป๋ชิงเหยียนลงมาจากรถม้า เอ่ยเสียงแผ่วเบา “คุณหนูใหญ่ ด้านหน้ามีคนจ้องจวนบรรพบุรุษไป๋อยู่เจ้าค่ะ”
เฉวียนอวี๋ลงมาจากรถม้าคันหลัง เมื่อเห็นเซียวหรงเหยี่ยนก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่า สมเหตุสมผลอยู่เหมือนกัน เขาเหลือบมองไปทางไป๋ชิงเหยียนอย่างอดไม่ได้ คิดอยู่ในใจว่าบุรุษแคว้นต้าเว่ยช่างเปิดเผยกว่าแคว้นต้าจิ้นมากนัก เซียวเซียนเซิงผู้นี้หลงรักคุณหนูใหญ่จนตามมาถึงซั่วหยางเชียวหรือ
เซียวหรงเหยี่ยนอยู่ในชุดคลุมตัวยาวสีขาวลายเมฆมงคลสีทอง คาดผ้าไหมสีทองไว้ที่เอว ดูโดดเด่นท่ามกลางหยาดฝนที่โปรยปรายลงมายิ่งนัก
เยว่สือถือโคมไฟหนังแกะด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างกางร่มยืนอยู่ข้างกายของเซียวหรงเหยี่ยน แสงไฟนวลอ่อนจากโคมไฟส่องกระทบใบหน้าที่คมคายของเซียวหรงเหยี่ยนจนดูอ่อนโยนยิ่งขึ้น
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองไปทางเซียวหรงเหยี่ยน เห็นบุรุษสง่างามผู้นั้นทำความเคารพนางอย่างให้เกียรติจากที่ไกลๆ
เมื่อนึกได้ว่าเซียวหรงเหยี่ยนต้องการเจรจาเรื่องการค้ากับตน หญิงสาวเดาว่านี่อาจเป็นเรื่องเร่งด่วน เซียวหรงเหยี่ยนถึงได้ลดตัวมารอนางอยู่ที่หน้าจวนเช่นนี้
“เซียวเซียนเซิงเจ้าคะ!” ไป๋จิ่นจื้อยิ้มออกมา “เซียวเซียนเซิงมาซั่วหยางได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
ไป๋จิ่นจื้อเดาว่าเซียวหรงเหยี่ยนมาเพื่อพี่หญิงใหญ่ ยิ่งรู้สึกดีใจมากกว่าเดิม
เสิ่นชิงจู๋ไม่เข้าใจสถานการณ์ ทว่า เมื่อเห็นท่าทีดีใจของไป๋จิ่นจื้อ จึงลดความหวาดระแวงลง
ไป๋ชิงเหยียนลงมาจากรถม้า เห็นเซียวหรงเหยี่ยนเดินตรงมาทางนาง ไป๋ชิงเหยียนจึงเดินเข้าไปทำความเคารพ “เซียวเซียนเซิงมารออยู่ที่นี่เพราะเรื่องการค้าหรือเจ้าคะ”
เม็ดฝนโปรยปรายกระทบลงบนร่มอย่างแผ่วเบา ไร้เสียงรบกวน
เสิ่นชิงจู๋ที่กางร่มให้ไป๋ชิงเหยียนจ้องไปยังเซียวหรงเหยี่ยนอย่างค้นหา
“ขอรับ” เซียวหรงเหยี่ยนพยักหน้าให้เล็กน้อย ดวงตาล้ำลึกมองไม่เห็นก้นบึ้งจ้องสบตากับไป๋ชิงเหยียนด้วยแววตาจริงจัง ทำความเคารพพลางกล่าวขึ้น “เป็นเรื่องสำคัญ เหยี่ยนอยากสนทนากับคุณหนูใหญ่เป็นการส่วนตัวขอรับ”
แววตาของเซียวหรงเหยี่ยนสงบนิ่ง ไม่มีแววล่วงเกินแต่อย่างใด ราวกับเห็นไป๋ชิงเหยียนเป็นคู่ค้าคนสำคัญคนหนึ่งเท่านั้น
เฉวียนอวี๋กางร่ม ทำความเคารพเซียวหรงเหยี่ยนยิ้มๆ “เซียวเซียนเซิง…”
“เฉวียนอวี๋กงกงอยู่ด้วยหรือขอรับ” เซียวหรงเหยี่ยนก้มศีรษะให้เฉวียนอวี๋เล็กน้อย
“จวิ้นจู่กลับมาซั่วหยางคราวนี้ องค์ชายทรงกลัวว่าจวิ้นจู่จะมีกำลังคนไม่พอใช้ เฉวียนอวี๋ทำสิ่งอื่นไม่เป็นแต่ถนัดเรื่องการดูแลรับใช้คน จึงขอติดตามมารับใช้จวิ้นจู่ด้วยขอรับ” เฉวียนอวี๋มองไปทางไป๋ชิงเหยียนแวบหนึ่ง จากนั้นมองไปทางเซียวหรงเหยี่ยน แววตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย “เซียวเซียนเซิงบอกกับองค์รัชทายาทว่าต้องเดินทางไปติดต่อเรื่องการค้าที่นอกเมือง ที่แท้ก็มายังซั่วหยางนี่เอง บังเอิญเหลือเกินขอรับ!”
เซียวหรงเหยี่ยนฟังออกว่าเฉวียนอวี๋กำลังหยอกล้อตน ชายหนุ่มยิ้มให้เล็กน้อย “เหยี่ยนตั้งใจมาหาจวิ้นจู่เพราะเรื่องการค้าใบชาขาวขอรับ หวังว่าจวิ้นจู่จะให้คำแนะนำเหยี่ยนได้ขอรับ”
“เสี่ยวซื่อ เจ้าพาเฉวียนอวี๋กงกงไปยังที่พักก่อน ให้ผู้ดูแลดูแลองครักษ์ของจวนองค์รัชทายาทให้ดี วันนี้ลำบากเฉวียนอวี๋กงกงแล้ว” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
“จวิ้นจู่จะทำให้บ่าวอายุสั้นเอาขอรับ บ่าวแค่ทำงานรับใช้จวิ้นจู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเองขอรับ” เฉวียนอวี๋ไม่กล้ารับคำชม
“เชิญเฉวียนอวี๋กงกงเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นจื้อไม่อยากให้เฉวียนอวี๋อยู่เป็นก้างขวางคอพี่หญิงใหญ่และเซียวหรงเหยี่ยน เด็กสาวยิ้มพลางก้าวไปด้านหน้า
ดวงตาของเฉวียนอวี๋เป็นประกายวาว เขารู้ดีว่าองค์รัชทายาทต้องการจับคู่ให้ไป๋ชิงเหยียนและเซียวหรงเหยี่ยน เขาจะกล้าอยู่ขัดคอคนทั้งคู่ได้อย่างไรกัน เขาทำความเคารพพลางเดินจากไป
ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าให้เล็กน้อย จากนั้นผายมือเชิญเซียวหรงเหยี่ยน “เชิญเซียวเซียนเซิงไปดื่มชาด้านในก่อนเจ้าค่ะ”
บุรุษและสตรีสนทนากันตามลำพัง เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา ไป๋ชิงเหยียนจึงสั่งให้จัดโต๊ะน้ำชาที่ริมทะเลสาบ
ศาลาแปดเหลี่ยมบริเวณริมทะเลสาบ เสาเคลือบน้ำมันทรงกลมตั้งอยู่ทั้งสี่ทิศ โคมไฟแขวนสูงอยู่ใต้ชายคาเรือน ส่องแสงกระทบทะเลสาบจนสว่างไสวไปทั่ว
เม็ดฝนตกกระทบลงบนทะเลสาบราวกับปุยนุ่น ไม่เกิดเสียงใดๆ ทั้งสิ้น หมอกบางลอยปกคลุมทั่วทั้งทะเลสาบ
น้ำฝนสาดกระเซ็นโดนเก้าอี้สีแดงในศาลาแปดเหลี่ยมจนเปียกชื้น ผ้าม่านตรงกลางระหว่างเสาทั้งสองข้างถูกแหวกออก รูปปั้นสัตว์มงคลวางนิ่งอยู่สองข้างเสา โคมไฟเหนือขึ้นไปถูกจุดจนสว่าง อาจเป็นเพราะวันนี้ฝนตก ลมบริเวณทะเลสาบจึงแรงกว่าปกติ แรงลมพัดเปลวไฟที่อยู่ในเตาผิงจนเหลือเพียงแสงริบหรี่เท่านั้น
เสิ่นชิงจู๋และเยว่สือกางร่มคนละคันยืนรอเจ้านายของตนเองอยู่บนสะพานไม้ซึ่งทอดไปยังศาลาแปดเหลี่ยม เห็นเจ้านายทั้งสองคนราวกำลังยืนมองภาพอันใดบางอย่างอยู่กลางศาลา ทั้งสองคนหันหลังให้ศาลาแปดเหลี่ยม…หากไม่ได้รับคำสั่ง ห้ามหันหน้ากลับไปมองเด็ดขาด
ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ มุมแผ่นผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะหินเลิกขึ้นเล็กน้อย ไป๋ชิงเหยียนที่ถือตะเกียงอยู่ในมือเดินเข้าไปกดมุมของกระดาษไว้ โน้มกายลงใช้แสงไฟส่องไปยังแผนที่ที่เซียวหรงเหยี่ยนกางออก
เซียวหรงเหยี่ยนหันไปสบตากับดวงตาดำสนิทและสงบนิ่งของไป๋ชิงเหยียน แสงไฟจากตะเกียงในมือของหญิงสาวส่องกระทบใบหน้าของเจ้าตัวทำให้ดูอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม ดวงตาของชายหนุ่มลึกล้ำกว่าเดิม เบนสายตาหนีไม่กล้ามองไปทางหญิงสาวอีก
เมื่อเห็นว่ามีพู่กันวงล้อมภูเขาหลายลูกในแผนที่ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากซั่วหยางมากนัก หญิงสาวมองไปทางเซียวหรงเหยี่ยนอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าให้คนกว้านซื้อภูเขาที่อยู่ระหว่างภูเขาคงถงและภูเขาหนิวเจี่ยวอยู่หลายปี จนเมื่อวันก่อนเพิ่งซื้อได้ครบ”