ตอนที่ 390 ผอมซูบ
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า บัดนี้สถานการณ์อยู่ในช่วงสงบ ตระกูลไป๋กำลังสร้างความแข็งแกร่ง หากฮ่องเต้สวรรคตในตอนนี้คงเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันมากมาย ดังนั้นไป๋ชิงเหยียนยังไม่อยากให้พระองค์เป็นอันใดไปในตอนนี้
“ความสามารถของท่านอาคงทำให้ฮ่องเต้เสพสุขโดยไม่ปวดศีรษะได้อย่างน้อยอีกห้าปี”
หลูหนิงฮว่าเข้าใจความหมายแฝงของไป๋ชิงเหยียน หญิงสาวอยากให้ฮ่องเต้อยู่ต่อไปอีกห้าปี
หลูหนิงฮว่ากล่าวขึ้น “ตอนที่ตรวจชีพจรให้ฮ่องเต้วันนี้ หนิงฮว่าฟังออกว่าพระองค์ทรงต้องการให้หนิงฮว่าเข้าไปอยู่ในวังเผื่อพระองค์จะทรงปวดพระเศียรขึ้นมา ทว่า ทรงไม่ได้บังคับ คุณหนูใหญ่คิดว่าหนิงฮว่าควรเข้าวังหรือไม่เจ้าคะ”
“ท่านอาปรึกษาท่านย่าเถิด!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบเตรียมเดินทางไป ทว่า จู่ๆ ก็กล่าวขึ้น “ท่านย่าทราบว่าท่านคือหลานตาของหมอหลวงจี้ปิ่งฝูหรือไม่”
ใจของหลูหนิงฮว่ากระตุกวูบ นางไม่ได้ทำตัวมีพิรุธตอนเห็นหน้าจี้หลางหวา ทว่า คุณหนูใหญ่กลับเดาได้!
“เหตุใดคุณหนูใหญ่ไม่เดาว่าข้าคือหลานปู่เล่าเจ้าคะ” หลูหนิงฮว่าไม่เข้าใจ
“ท่านอามีเข็มทองชุดหนึ่ง ท่านเคยบอกว่าท่านตาของท่านมอบให้ท่านแม่ของท่านก่อนแต่งงาน ตอนนั้นข้าแค่รู้สึกคุ้นตา จนเมื่อพบจี้หลางหวาในวันนี้ ข้าจึงนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นเข็มทองที่มีลายสลักเหมือนกันกับของท่านจากจี้หลางหวา” ไป๋ชิงเหยียนหรี่ตาแคบลง
“ทว่า จี้หลางหวาบอกว่าท่านตาของเจ้ายกแม่ของเจ้าให้แต่งงานกับผู้อื่นหลังจบคดีของผู้ตรวจการสูงสุดเจี่ยนฉงเหวิน…”
ในเมื่อไป๋ชิงเหยียนทราบเรื่องราวแล้ว หลูหนิงฮว่าจึงไม่คิดปิดบังอีกต่อไป
“ไม่กล้าปิดบังคุณหนูใหญ่ ท่านแม่ของข้าพาข้ากลับไปยังตระกูลจี้หลังจากที่ท่านพ่อของข้าเสียชีวิตลงเจ้าค่ะ ต่อมาตระกูลจี้เกิดเรื่องขึ้น เดิมทีท่านตาอยากให้ข้าหนีไปพร้อมกับท่านลุงและหลางหวา ทว่า ข้าไม่อยากแยกจากท่านแม่ ท่านแม่แต่งงานโดยมีข้าเป็นลูกติด ท่านตารีบร้อนอยากให้ท่านแม่แต่งงานออกไป ท่านจึงได้คู่ครองที่ไม่ค่อยดีนักเจ้าค่ะ”
หลูหนิงฮว่ากำมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแน่น ขอบตาร้อนผ่าว เตรียมใจสำหรับการถูกซักถามต่อ เปิดแผลเป็นออกอีกครั้งจากไป๋ชิงเหยียน
ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกลับถามออกมาเพียงประโยคเดียว “ท่านย่าทราบเรื่องนี้หรือไม่”
“องค์หญิงใหญ่…ทราบดีเจ้าค่ะ” หลูหนิงฮว่าก้มหน้าต่ำ
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าพลางมองไปทางหลูหนิงฮว่านิ่งๆ
“ช่วงนี้รบกวนท่านอาช่วยดูแลแม่นางจี้ ช่วยเตือนสตินางด้วย…”
หลูหนิงฮว่ารู้สึกเหมือนได้ยินไป๋ชิงเหยียนถอนหายใจออกมาเบาๆ หญิงสาวมองไปยังแผ่นหลังที่เดินจากไปของไป๋ชิงเหยียน กำหมัดแน่น จากนั้นเดินกลับเข้าไปในห้อง
ไป๋ชิงเหยียนกลับไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เรือนชิงฮุย เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงพาไป๋จิ่นจื้อไปคาราวะท่านย่าและอยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนนาง เมื่อเดินออกมาจากเรือนฉางโซ่ว พ่อบ้านเหาเข้ามารายงานว่าฉินเซียนเซิงมาขอพบเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่
“ฉินเซียนเซิง?” ไป๋จิ่นจื้อขมวดคิ้วนึกถึงที่ปรึกษาข้างกายของรัชทายาทซึ่งนางเคยเจอตอนไปหนานเจียง “คนขององค์รัชทายาทออย่างนั้นหรือ”
หากไม่มีเรื่องสำคัญฉินซ่างจื้อไม่มีทางมาหาไป๋ชิงเหยียนแน่นอน เขาคงไม่ได้มาที่จวนเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบแน่ๆ
ไป๋ชิงเหยียนครุ่นคิด หรือจะเกี่ยวข้องปัญหาความอดอยากที่เยี่ยนว่อซึ่งรัชทายาทเคยถามนางก่อนหน้านี้ว่าควรจะยื่นมือเข้าไปก่อกวนสร้างปัญหาให้เหลียงอ๋องดีหรือไม่ หรือว่าเรื่องที่นางลงมือกับหลี่เม่า และปฏิกิริยาของหลี่เม่าทำให้ฉินซ่างจื้อเริ่มสงสัยอันใดบ้างอย่างขึ้นกันแน่
เข้าช่วงฤดูร้อนแล้ว ทางเดินตรงระเบียงของจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ล้วนมีผ้าม่านผืนบางแขวนอยู่บนตะขอของระฆังสีทอง ลมอ่อนๆ พัดโชยกลิ่นหอมของดอกไม้กลางลานหญ้าเขามาเบาๆ เสียงระฆังดังขึ้นเล็กน้อย
ไป๋ชิงเหยียนได้สติ หันไปสั่งพ่อบ้านเหา “เชิญฉินเซียนเซิงไปยังโถงรับรองก่อน”
“ข้าไปกับพี่หญิงใหญ่ด้วยนะเจ้าคะ” ไป๋จิ่นจื้อเห็นพี่หญิงใหญ่มองมาทางนาง นางจึงรีบกล่าวขึ้นทันที
“เจ้าเพิ่งกลับมาจากซั่วหยาง ไปพักผ่อนเถิด เจ้าไม่มีเวลาพักผ่อนมากแล้ว เมื่อกลับไปถึงซั่วหยางเจ้าต้องช่วยพี่ฝึกฝนชาวบ้าน”
เมื่อไป๋จิ่นจื้อได้ยินว่าพี่หญิงใหญ่จะให้ตนช่วยฝึกฝนชาวบ้าน ดวงตาของนางเป็นประกายทันที
ไป๋ชิงเหยียนลูบศีรษะของน้องสาวเล็กน้อย จากนั้นเดินไปทางห้องโถงรับรอง
หรือว่า…เกี่ยวกับเรื่องสงครามกับต้าเหลียง นางสองพี่น้องต้องเดินทางไปภูเขาชุนมู่อีก
เซียวหรงเหยี่ยนไม่เคยกล่าวสิ่งใดโดยไม่มีมูล ในเมื่อเขาบอกว่าจะเกิดสงคราม เช่นนั้นย่อมเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน
ไป๋ชิงเหยียนเดินตามระเบียงทางเดินไปยังโถงรับรองด้านหน้าท่ามกลางเสียงระฆังที่ดังขึ้นเป็นระยะ หญิงสาวเห็นฉินซ่างจื้อยืนมองหลังคาสูงของจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่อยู่หน้าโถงรับรองอย่างเหม่อลอย
สายตาเหลือบเห็นไป๋ชิงเหยียนเดินเข้ามาพร้อมบรรดาสาวใช้ ฉินซ่างจื้อจึงได้สติหันไปทำโค้งกายทำความเคารพหญิงสาว
ไม่ได้เจอกันนาน ฉินซ่างจื้อดูผอมซูบลงไปไม่น้อย เสื้อผ้าหลวมลงมาก ขอบตาดำคล้ำ แววตาไม่สดใสราวกับคนป่วย
“เหตุใดฉินเซียงเซิงถึงผอมซูบเช่นนี้เจ้าคะ” ไป๋ชิงเหยียนผายมือเชิญฉินซ่างจื้อเข้าไปด้านใน
ฉินซ่างจื้อเดินตามไป๋ชิงเหยียนเข้าไปด้านในโถงรับรอง เม้มปากไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น ไป๋ชิงเหยียนโบกมือไล่ชุนเถาและบ่าวคนอื่นๆ ออกไป ฉินซ่างจื้อจึงกล่าวขึ้น
“องค์รัชทายาททรงเชื่อคำแนะนำของฟางเหล่า ส่งคนไปก่อความวุ่นวายให้เหลียงอ๋องที่เยี่ยนว่อ ชาวบ้านเริ่มประท้วงแล้วขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนกระชับมือที่ถือถ้วยชาแน่น ก้มมองใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วยชา ปิดฝาถ้วยชาลงตามเดิมจากนั้นมองไปทางฉินซ่างจื้อ
“หลังจากที่องค์รัชทายาทส่งข้าจากไป พระองค์ได้ปรึกษาท่านเรื่องนี้บ้างหรือไม่”
“ปรึกษาขอรับ…” สีหน้าของฉินซ่างจื้อสลดลง
“ทว่า สุดท้ายแล้วพระองค์ก็ทรงยังเชื่อฟางเหล่า เดิมทีข้าต้องการจะยื้อไว้จนกว่าจวิ้นจู่จะกลับมา นึกไม่ถึงเลยว่าองค์รัชทายาทจะส่งคนไปยังเยี่ยนว่อตั้งแต่คืนนั้นแล้ว”
“วันที่องค์รัชทายาทมาส่งข้า ข้าโน้มน้าวพระองค์ไปแล้ว” ไป๋ชิงเหยียนวางถ้วยชาลง ได้แต่หวังว่าอาเจวี๋ยจะชิงพาชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนอพยพไปยังโยวหวาเต้าได้เร็วกว่า
“หากฉินเซียนเซิงมาเพราะเรื่องนี้ ข้าจนปัญญาจริงๆ เจ้าค่ะ”
ฉินซ่างจื้อค่อนข้างประหลาดใจ เขาคิดว่าอย่างน้อยไป๋ชิงเหยียนคงยอมไปโน้มน้าวรัชทายาทอีกครั้ง แม้รัชทายาทจะไม่ทำตาม ทว่า ด้วยใจที่รักชาวบ้านของไป๋ชิงเหยียน หญิงสาวต้องส่งคนไปขัดขวางแน่นอน ต่อให้เรื่องนี้จะทำให้นางและรัชทายาทต้องบาดหมางกันก็ตาม
ฉินซ่างจื้อเม้มปากแน่น มองไปทางไป๋ชิงเหยียนด้วยสีหน้าจริงจัง
“ยังมีอีกเรื่องขอรับ เหตุใดคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างหลี่เม่าถึงได้ยอมถอยให้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ขอรับ จวิ้นจู่กุมความลับของหลี่เม่าไว้หรือขอรับ”
คนฉลาดย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่เม่า
“ไม่ใช่ความลับอันใดหรอก…” ไป๋ชิงเหยียนหลุบตาลงพลางกล่าวขึ้น “เรื่องเลวร้ายที่บุตรชายของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายกระทำลงไปถูกเปิดโปงขึ้น อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายทอดทิ้งบุตรชายของตัวเองเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตระกูลไว้และเพื่อขอความเมตตาฮ่องเต้ให้ไว้ชีวิตบุตรชายของเขาเท่านั้นเอง”
ฉินซ่างจื้อไม่ใช่ไม่เชื่อคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียน ทว่า เขารู้สึกว่ามันยังมีสิ่งใดแปลกๆ…
“ทว่า ครั้งนี้จวิ้นจู่วู่วามเกินไปหน่อยนะขอรับ หลี่เม่าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น วันหน้าจวิ้นจู่ต้องระวังให้มากนะขอรับ” ฉินซ่างจื้อเตือนด้วยความหวังดี
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับน้องสี่ของข้า หากหลี่เม่าไม่รีบร้อนให้ฮูหยินของตัวเองเข้าวังไปทูลขอให้ฮองเฮาพระราชทานสมรส หวังจะบีบให้น้องสาวของข้าแต่งงานกับสวะอย่างบุตรชายของเขา ข้าก็คงไม่ต้องทำถึงขั้นนี้หรอก โอรสแท้ของฮองเฮาอย่างซิ่นอ๋องถูกปลดเป็นเพียงสามัญชน ไม่มีทางได้กลับมาเมืองหลวงอีกเพราะตระกูลไป๋ ข้าจึงทำได้เพียงทำให้ทุกคนได้รับรู้ว่าข้าไม่ถูกกับหลี่เม่า เช่นนี้ฮ่องเต้และฮองเฮาจะได้เกรงกลัวคำครหาของชาวบ้าน ไม่กล้าพระราชทานสมรสในครั้งนี้” ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองฉินซ่างจื้อ น้ำเสียงสงบนิ่ง
“คำคนน่ากลัวเป็นสิ่งที่ฉินเซียนเซิงสอนข้าเองนี่เจ้าคะ!”