ตอนที่ 399 สละเวลา
“คุณชายหลู่วางใจได้ขอรับ ข้าจะเรียนให้จวิ้นจู่ทราบขอรับ!” องครักษ์คารวะกลุ่มของหลู่หยวนเผิง จากนั้นก้าวขึ้นหลังม้า ขี่กลับไปรวมกับขบวนของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ โน้มกายกล่าวสิ่งใดบางอย่างกับไป๋ชิงเหยียนที่อยู่ในรถม้า
แม้วันนี้หลู่หยวนเผิงจะไม่ได้พบหน้าพี่สาวไป๋ ทว่า เขาก็ไม่ได้รีบร้อนจากไป มองส่งขบวนรถม้าของจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ค่อยๆ จากไป ในใจรู้สึกโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก
“เหตุใดข้าจึงรู้สึก…แปลกๆ เช่นนี้นะ” หลู่หยวนเผิงกล่าวกับซือหม่าผิง
ซือหม่าผิงยืนเอามือไขว้หลัง เงียบไปครู่ใหญ่จากนั้นกล่าวขึ้น “คงเป็นเพราะราชวงศ์ที่เคยรุ่งเรืองกำลังจะเสื่อมลงแล้วกระมัง!”
“หืม?” หลู่หยวนเผิงไม่ค่อยเข้าใจ
“กลับกันเถิด!” ซือหม่าผิงยิ้มน้อยๆ แล้วก้าวขึ้นไปบนหลังม้า
ขบวนรถม้าขบวนใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ค่อยๆ เคลื่อนที่มุ่งหน้าไปยังซั่วหยางอย่างไม่รีบร้อน
ภายในรถม้าที่ค่อนข้างโคลงเคลง ไป๋จิ่นจื้อใช้มือข้างหนึ่งยันศีรษะ มองดูกระถางธูปทรงสัตว์มงคลซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเล็กอย่างเบื่อหน่าย กล่าวกับฮูหยินสามผู้เป็นมารดา “ไม่ให้ข้าขี่ม้าเอง เช่นนั้นให้ข้าไปนั่งรถม้าของพี่หญิงใหญ่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้านั่งอยู่ที่นี่เถิด! ให้พี่หญิงใหญ่ของเจ้าได้พักผ่อนบ้าง…เอาแต่บ่นโน่นบ่นนี่ทั้งวัน ไม่มีความเป็นกุลสตรีสักนิด! เจ้าดูเจ้าสิ กลับมาจากหนานเจียงยังไม่ทันจะหายคล้ำ ไปซั่วหยางมาอีกสองวันก็ดำขึ้นอีกแล้ว ดำกว่าองครักษ์ของจวนเราเสียอีก!” ฮูหยินสามเปิดฝากระถางธูปออก ใช้เข็มเงินเขี่ยในกระถาง จากนั้นเพิ่มผงหอมลงไป
ไป๋จิ่นจื้อมองดูมารดาของตัวเองทำสิ่งเหล่านี้อย่างเบื่อหน่าย แหวกม่านมองดูบรรยากาศนอกรถม้า
หนทางค่อนข้างราบเรียบ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี ทุกครั้งที่ไป๋จิ่นจื้อติดตามไป๋ชิงเหยียนไปยังซั่วหยาง สาวน้อยขี่ม้าไปเองทุกครั้งจึงคุ้นเคยกับหนทางเส้นนี้ดี
ตอนนี้นางรู้สึกอยากออกไปขี่ม้ามาก
“ท่านแม่!”
“นั่งอ่านตำราไปเงียบๆ พี่หญิงใหญ่ของเจ้าก็นั่งพักผ่อนอยู่บนรถม้าเหมือนกัน เหตุใดเจ้าไม่หัดเรียนรู้เอาไว้บ้าง!” ฮูหยินสามตัดสินใจจะดัดนิสัยของบุตรสาวอย่างจริงจัง จึงยืนกรานไม่ปล่อยไป๋จิ่นจื้อออกไปจากรถม้า
ไป๋จิ่นจื้อแก้มป่องด้วยความโมโห เอนกายพิงหมอนหนุน หยิบตำราขึ้นมาอ่านเลียนแบบท่าทางของไป๋ชิงเหยียน
ฮูหยินสามหลี่ซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากยิ้ม กล่าวชมบุตรสาวของตัวเองอยู่ในใจ “แบบนี้ถึงจะดูเข้าท่าหน่อย”
กระทั่งหมัวมัว บ่าวรับใช้ข้างกายของหลี่ซื่อก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ในที่สุดวันที่สาม เดือนห้า ไป๋จิ่นจื้อซึ่งโดนมารดาของตัวเองบังคับให้นั่งอยู่แต่ในรถม้าสามวันติดก็ถูกมารดาปล่อยตัวลงมาจากรถม้าเมื่อเห็นประตูเมืองซั่วหยางอยู่ไม่ไกล
เจ้าเมืองพานายอำเภอโจวมารอต้อนรับคนของตระกูลไป๋ที่นอกเมือง คนจากตระกูลบรรพบุรุษก็ออกมารอต้อนรับกลุ่มของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ภายใต้การนำของประมุขชั่วคราวอย่างไป๋ฉีเหอเช่นเดียวกัน
มองเห็นขบวนรถม้าของจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่มาแต่ไกล แค่จำนวนของบ่าวรับใช้ก็มากจนคนที่พบเห็นตกตะลึงแล้ว
ฟางซื่อ ภรรยาของไป๋ฉีเหอกำมือของตัวเองแน่น เดิมทีนางอยากส่งบ่าวรับใช้ของตัวเองไปให้จวนบรรพบุรุษไป๋เพื่อผูกมิตรกับไป๋ชิงเหยียน ทว่า ดูเหมือนว่าไป๋ชิงเหยียนจะพาคนรับใช้ทั้งหมดของจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่มาจากเมืองหลวงแล้ว เช่นนี้นางคงต้องคิดหาวิธีอื่นแทน
ไป๋ชิงผิงเงยหน้ามองดูมารดาที่ยืนกำผ้าเช็ดหน้าแน่น กล่าวขึ้นเสียงแผ่วเบาอย่างอดไม่ได้ “ท่านแม่ ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงไม่เหมือนกับตระกูลบรรพบุรุษไป๋ พวกเขาเป็นทายาทสายหลักของตระกูลอย่างแท้จริง ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาสะดวกสบาย แม้แต่ของใช้ในชีวิตประจำของพวกเขาก็ล้วนมีอายุนับร้อยปี ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนรับใช้ข้างกายเลยขอรับ คนรับใช้ของพวกเขาล้วนเกิดและเลี้ยงดูในตระกูลไป๋ หากท่านแม่อยากส่งคนเข้าไปในจวน เกรงว่าคงไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปแม้แต่ประตูของจวนหลังหรอกขอรับ”
ฟางซื่อถูกจี้แทงใจดำ ใจเต้นรัวขึ้นมาทันที นางหันไปมองรอบกาย จากนั้นจึงกล่าวกับบุตรชาย “แม่ไม่ได้คิดเช่นนั้น!”
“ไม่ว่าท่านแม่จะคิดเช่นนั้นหรือไม่ ข้าก็ไม่สนับสนุนให้ท่านเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าคนของตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงขอรับ เราควรหลีกเลี่ยงเป็นดีที่สุด ท่านแม่อย่าลืมกรณีของท่านปู่นะขอรับ บัดนี้ท่านพ่อได้ครองตำแหน่งประมุขไป๋ชั่วคราว ถือเป็นโชคดีของพวกเรา ที่สำคัญท่านพ่อจะได้ดำรงตำแหน่งนี้ต่อไปหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ทั้งสิ้น” ไป๋ชิงผิงเอ่ยเสียงต่ำ
ไป๋ชิงผิงรู้ดีแก่ใจว่ามารดาของตนคิดสิ่งใด เพราะรู้ดี เขาจึงต้องเอ่ยเตือน
ตระกูลบรรพบุรุษไป๋จะเกิดปัญหาขึ้นไม่ได้อีกแล้ว บุรุษของตระกูลไป๋จากเมืองหลวงเสียชีวิตลงหมดแล้ว หากตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่เจริญรุ่งเรืองมานับร้อยปีไม่เกาะเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไว้ให้แน่น ไม่สามัคคีกลมเกลียว เกรงว่าพวกเขาคงจะเป็นรุ่นสุดท้าย หลังจากนี้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋แห่งซั่วหยางคงถูกเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ขับไล่ออกจากตระกูลจนเกลี้ยง เช่นนั้นตระกูลบรรพบุรุษไป๋แห่งซั่วหยางก็จะเป็นเหมือนกับตระกูลเซี่ยแห่งชิงโจว ที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงหรือความสำคัญกับตระกูลอีกต่อไป
เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่สืบทอดนิสัยมาจากเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงและเจิ้นกั๋วกงไป๋ฉีซาน ขอเพียงตระกูลบรรพบุรุษไป๋ไม่ทำสิ่งใดเกินขอบเขต ไป๋ชิงเหยียนไม่มีทางทอดทิ้งตระกูลบรรพบุรุษแน่นอน
ชุนเถาแหวกม่านมองดูด้านนอกแวบหนึ่ง จากนั้นหันไปกล่าวกับไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่ ดูเหมือนว่าคนจากตระกูลบรรพบุรุษไป๋จะมากันหมดเลยเจ้าค่ะ ทางการของซั่วหยางก็มาเจ้าค่ะ ข้าเหมือนจะเห็นคนใส่ชุดขุนนางยืนอยู่”
ไป๋ชิงเหยียนวางม้วนไม้ไผ่ในมือลง คิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นหันไปกล่าวกับถงหมัวมัว “หมัวมัว เดี๋ยวท่านจงลงไปบอกตระกูลบรรพบุรุษไป๋กับทางการของซั่วหยางหน่อยว่าข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย จะมุ่งหน้าไปยังจวนไป๋เลย ขอบคุณที่พวกเขามารอต้อนรับ อีกไม่นานตระกูลไป๋จะจัดงานเลี้ยง ถึงเวลานั้นหวังว่าพวกเขาจะสละเวลามาร่วมงานได้”
“ให้คนไปบอกท่านแม่และบรรดาท่านอาสะใภ้ด้วยว่าไม่ต้องลงมาจากรถ เดินทางเหนื่อยมากแล้ว เดี๋ยวต้องกลับไปจัดการจวนไป๋อีก พวกท่านไม่จำเป็นต้องมาเหนื่อยกับเรื่องพวกนี้อีก”
สิ้นเสียงของไป๋ชิงเหยียน ชุนเถาสั่งให้คนไปแจ้งต่งซื่อและฮูหยินคนอื่นๆ
สายตาของไป๋ชิงเหยียนหยุดอยู่ที่ตำราบนหน้าตักของตัวเองอีกครั้ง หญิงสาวนึกถึงเจ้าเมืองขึ้นมา รู้สึกว่าอาจเรียกใช้เขาในการฝึกทหารครั้งนี้ได้
ไป๋ชิงเหยียนลูบขอบม้วนไม้ไผ่อย่างใช้ความคิด จากนั้นกล่าวขึ้น “ให้เฉิงซ่านหรูลอบส่งข่าวให้ไป๋ชิงผิงมาพบข้าที่จวนบรรพบุรุษในอีกสองชั่วยาม”
เมื่อเจ้าเมือง นายอำเภอโจวและตระกูลบรรพบุรุษไป๋รับรู้ก็ทักทายตามมารยาทอีกสองสามประโยค จากนั้นหลีกทางให้ขบวนของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่
ชาวบ้านพากันวิพากษ์วิจารณ์และรู้สึกตื่นเต้นมาก พวกเขายังไม่ลืมว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เคยกล่าวไว้ว่าจะนำเงินที่ประมุขไป๋ยักยอกไปจากตระกูลบรรพบุรุษมาใช้ในการปราบโจรป่า
โจรป่าเหล่านั้นอาละวาดหนักขึ้นทุกวัน กล้าปล้นแม้กระทั่งขบวนรถม้าของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ ชาวบ้านกลัวว่าพวกโจรป่าจะบุกเข้ามาทำร้ายคนหรือเผาทำลายบ้านเมืองในหมู่บ้าน กระทั่งบุกเข้ามาในตัวเมืองซั่วหยาง
ทางราชสำนักไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ชาวบ้านก็ยิ่งหวั่นวิตกมากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่กลับรู้สึกตื่นเต้นดีใจในการกลับมาของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ เพราะเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เป็นแม่ทัพที่รบชนะกองทัพของซีเหลียง มีบุคคลเช่นนี้อยู่ในซั่วหยางทำให้พวกเขารู้สึกอุ่นใจมาก
ก่อนที่ขบวนของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่จะเดินทางมาถึงจวนไป๋ กู่เหล่าจัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพแล้ว เขาให้คนขนย้ายข้าวของที่ใช้เป็นประจำของเจ้านายทุกคนเข้าจัดเรียงในเรือน หากเจ้านายไม่พอใจการตกแต่งในตัวเรือน พรุ่งนี้ค่อยให้คนมาเปลี่ยน