ตู๋กูซิงหลันถูกเขาหยอดจนเสียวฟันไปหมดแล้ว
ไม่รู้จริงๆ ว่าคารมหวานๆ ของฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ไปร่ำเรียมมาจากใครกัน
พูดกันตามจริงนะ นางไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเลยสักนิด คิดจะอยากหัวเราะด้วยซ้ำ
“ได้ ได้ ได้เพคะ ฝ่าบาททรงยอดเยี่ยมที่สุด” นางกลัวว่าจีเฉวียนจะพูดมากอีก จึงรีบยกนิ้วโป้งชื่นชมเขาเสียก่อน จากนั้นก็เก็บแผ่นยันต์ในมือกลับไป
ในตอนนั้นเอง ศพแห้งซึ่งอยู่ภายนอกที่พยายามบุกเข้ามาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ พวกมันจึงเริ่มเปลี่ยนเป้าหมาย
ในบรรดาแคว้นเล็กๆ อีกเจ็ดแคว้นย่อมมีผู้ที่คิดจะเข้ามาแอบอิงใบบุญ จึงตั้งกระโจมอยู่ใกล้ๆ กับพวกเขา เพียงแค่ครู่เดียวกระโจมเหล่านี้ก็ตกเป็นเป้าหมายใหม่ของบรรดาศพแห้ง
ยังมีพวกที่ไม่กลัวตายที่ปรากฏตัวขึ้นมาชมความครึกครื้น พอได้กลิ่นมนุษย์ที่มีชีวิต ศพแห้งเหล่านั้นก็พากันกระโจนเข้าไปหาอย่างคลุ้มคลั่ง
เพียงแค่ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงร่ำร้องโหยหวนดังขึ้นมา ปะปนกับเสียงเนื้อแผ่นหนังที่ถูกฉีกออก
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งขึ้นไปในอากาศ คาวจนเสียดแทงจมูกอย่างรุนแรง
ในตอนนั้น ท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นมืดมิดจนสนิทแล้ว
พายุทรายที่โหมขึ้นไปจนครอบคลุมท้องฟ้า อยู่ๆ ก็พลันสงบลง แม้แต่เมฆดำบนฟ้าก็กระจายหายไปจนหมด
ทั้งๆ ที่เป็นยามกลางวันอยู่ แต่เพราะดวงอาทิตย์ถูกกลืนกินจนหมด ทั่วทั้งท้องฟ้าจึงปรากฏหมู่ดาวขึ้นมา
เมื่อประกอบกับภาพที่มีศพแห้งนับพันนับหมื่นอยู่ทั่วทะเลทราย จึงทำให้เกิดเป็นภาพที่ให้ความรู้สึกลี้ลับชั่วร้ายกว่าเดิม
อีกด้านหนึ่ง อิ๋งฉีและเหล่านักพรตจากแคว้นฉินยังคงมิได้เคลื่อนไหว
“คุณชาย ศพแห้งเหล่านี้คือประสกนิกรชาวเซอปี่ซือที่ตายไป” เหล่านักพรตต่างพากันตาโต ไม่กล้ากระทำการใดๆ
“ตอนนี้พวกมันได้กลิ่นเลือด เกรงว่าพวกมันคงจะเปลี่ยนเป็นโหดเ**้ยมกว่าเดิม ขอคุณชายอย่าผลีผลามกระทำการใดด้วยตนเอง”
“หากว่าคุณชายเกิดพลาดพลั้งไปละก็ มิรู้ว่าฝ่าบาทจะเจ็บปวดพระทัยถึงเพียงไหน”
พอได้ยินพวกนักพรตเอ่ยถึงฮ่องเต้แคว้นฉิน อิ๋งฉีที่เมื่อครู่มีท่าทีแข็งกร้าวอยู่ก็เปลี่ยนเป็นโอนอ่อนลง
“ข้าจะต้องรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อนำยาอายุวัฒนะกลับไปให้พระเชษฐาให้จงได้”
เขาตั้งใจอย่างแน่วแน่ จับตามองดูพวกศพแห้งที่คลุ้มคลั่งเหล่านั้นอยู่ตลอด พอคิดว่าพระเชษฐากำลังรอเขาอยู่ที่แคว้นต้าฉิน ในใจก็ปราศจากความหวาดกลัวอีก
ที่จริง หากเปรียบเทียบกับจีเฉวียนแล้ว พวกศพแห้งเหล่านี้นับเป็นอะไรกัน?
ตอนนั้น…..หนุ่มน้อยผู้นั้นอาศัยกำลังของเขาเพียงผู้เดียวเข่นฆ่าสัตว์อสูรและปีศาจดุร้ายไปนับพัน เขาสังหารเสียจนกระทั้งฮ่องเต้แคว้นเหยียนและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต่างพากันหวาดผวา
ในเมื่อเขาสามารถเกลี้ยกล่อมจีเฉวียนได้แล้ว ศพแห้งเหล่านั้นก็มิใช่ปัญหาอีกต่อไป
รอจนไปถึงแคว้นเซอปี่ซือ นั่นจึงจะเป็นการเริ่มบททดสอบที่แท้จริง
…………………
ในมุมมืด ด้านหน้าของอันหร่วนจัดวางข้าวของเอาไว้อย่างมากมาย
นางคุกเข่าอยู่ข้างโต๊ะ ปากก็ท่องบทคาถาบางอย่าง จากนั้นก็นำเลือดไก่และเลือดสุนัขทีตระเตรียมเอาไว้เทลงไปบนค่ายกลแห่งหนึ่ง
ค่ายกลที่ดูลึกลับใต้ฝ่าเท้าของนางเต็มไปด้วยลวดลายของอักขระที่ซับซ้อน
หลังจากที่เติมเลือดลงไปตามลายเส้นจนเต็ม ก็เห็นนางเผาบางสิ่งที่วางเอาไว้ตรงมุมตะวันออก ตะวันตก เหนือ และใต้ทั้งสี่มุม จากนั้นก็ร่ายคาถาอย่างยืดยาว
ผ่านไปครู่หนึ่งค่ายกลนั้นก็เปล่งแสงสว่างขึ้นมา
หลุมทรายดูดใต้ค่ายกลพลันเคลื่อนไหวดึงดูดผืนทรายทั้งสองด้านลงไป ในที่สุดก็เปิดเผยเส้นทางขึ้นมาเส้นหนึ่งใต้ฝ่าเท้าของนาง
ทรายดูดขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นางก็ไม่สนใจอะไรให้มากความอีกแล้ว นางเงยหน้าขึ้นหันไปคำนับองค์ชายน้อยที่อยู่ข้างกายครั้งหนึ่ง “ฝ่าบาท อันหร่วนไม่เสียทีที่ได้มอบหมายภารกิจมา เปิดทางเข้านี้ได้สำเร็จ ท่านจะเป็นคนแรกที่เข้าไปในแดนสมบัติลับแห่งนี้ โอกาสทั้งหมดจะเป็นของท่าน”
องค์ชายน้อยได้ยินแล้ว ก็พยักพักตร์เบาๆ
ที่ด้านข้างของเขามีอินทรีดำขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง บนหลังของอินทรีแบกเหยียนเฉียวหลัวเอาไว้
ที่จริงเหยียนเฉียวหลัวรู้สึกตัวแล้ว นางนั่งอยู่บนหลังอินทรีโดยมิได้ส่งเสียงร่ำร้อง หากแต่สายตาของนางเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
องค์ชายน้อยผงกเศียรครั้งหนึ่ง ก็พลิกร่างลงไปในหลุมทรายดูด
นกอินทรีตัวนั้นก็พาเหยียนเฉียวหลัวติดตามไปด้านหลัง
“ครื่นนนน!”
พวกเขาพึ่งจะกระโดลงไป ก็ได้ยินรอบกายเกิดเสียงดังสั่นขึ้นมา จากนั้นก็เกิดพายุทรายพัดขึ้นฟ้าอีกครั้ง
คราวนี้เอง พายุทรายพัดพาเอาทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นไปบนฟ้า ราวกับว่าในอากาศมีแรงดึงดูดมหาศาลบางอย่าง ที่สามารถถูกเอาผืนทรายทั้งหมดเข้าไป
กระโจมขนาดใหญ่กลางทะเลทรายก็ถูกพลิกตลบ
กลุ่มของแคว้นเล็กๆ และขุมอำนาจต่างๆ พากันตกตะลึงไปหมด พวกเขายังไม่ทันจะตั้งสติได้จากเรื่องของศพแห้งด้วยซ้ำไป ตอนนี้แต่ละคนกลับถูกพัดขึ้นฟ้าจนกระจัดกระจายกันไปหมดแล้ว
แต่ละคนสีหน้าซีดขาว พวกเขาไม่น่าโผล่ออกมาชมดูความครึกครื้นเลย
พอหันหน้ากลับไปดู ก็เห็นกระโจมของฮ่องเต้แคว้นต้าโจวยังคงมิได้เคลื่อนไหว ราวกับว่ามันงอกเงยขึ้นมาจากบนพื้น
แคว้นยิ่งใหญ่สมเป็นแคว้นยิ่งใหญ่ แม้แต่กระโจมก็ยังเหนือชั้นจนทิ้งห่างจากพวกเขานับพันลี้
ขณะที่หัวใจของผู้คนกำลังตกอยู่ในความตื่นตระหนก ก็เห็นผืนทรายบนพื้นเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง พายุทรายพัดขึ้นจนครอบคลุมท้องฟ้า บนตาพายุที่สูงขึ้นไปเกิดแสงสว่างขึ้นมากลุ่มหนึ่ง แสงสว่างนั้นกลายเป็นศูนย์กลาง ในขณะที่ทุกสิ่งโดยรอบกำลังพังทลายลงไป
เหล่าศพแห้งเหล่านั้นก็ถูกพัดพาเข้าไปด้วย ผู้คนที่หลบหนีไม่ทันก็ถูกดูดขึ้นไปเช่นกัน
สถานการณ์ในยามนี้ราวกับว่ามันคือวาระสุดท้ายของโลก
หยวนเฟยเคร่งเครียดเสียจนบนศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อชื้นๆ นางตัดสินใจคว้าแขนของตู๋กูเจวี๋ยเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“พระสนมพะยะค่ะ ท่านอย่าสั่นสิ ฝ่าบาทยังไม่ได้สวรรคตเสียหน่อย นี่ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
หยวนเฟย “…….” นางสมควรจะชื่มว่าเขามองโลกในแง่ดี หรือด่าว่าเขาไม่รู้จักกลัวตายกันแน่?
“ไม่เป็นไรหรอกพะยะค่ะ พวกเราน่ะชะตาแข็งอยู่แล้ว คิดดูสิตอนนั้น กระหม่อมถูกเทพธิดาแห่งสายน้ำลี่เหอกักขังเอาไว้ตั้งครึ่งเดือน ทุกวันได้แต่ดื่มน้ำเปล่าและกินหญ้าก็ยังอดทนจนรอดออกมาได้ นี่ก็แค่มีอะไรก็กินอย่างนั้น ทำอะไรได้ก็ทำไปเหมือนเดิมเท่านั้นเองมิใช่หรือ?”
“เอ๋ ที่ด้านนอกยังมีเจ้าติ๊งต๊องของน้องเล็กนั่งกกอยู่บนพื้นอยู่เลย ท่านดูสิเมื่อครู่มันองอาจกล้าหาญเพียงไหน เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจมันก็จิกตีศพแห้งพวกนั้นไปแล้วนับสิบ จิกหัวพวกมันลงมา ท่านลองว่ามาซิ น้องเล็กของข้าเลี้ยงไก่เอาไว้ตัวหนึ่งก็แข็งแกร่งขนาดนี้ เช่นนั้นน้องเล็กจะไม่เก่งได้ยังไงกัน?”
“ต่อให้ฝ่าบาททรงสิ้นไป น้องเล็กของข้าก็ยังคงไม่พ่ายแพ้อยู่ดี นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย”
ตู๋กูเจวี๋ยเคยเห็นน้องสาวของตนเองควบคุมเทพมาแล้ว จึงมีความมั่นอกมั่นใจในตัวนางอย่างยิ่ง
ดวงตาทั้งสองข้างของหยวนเฟยเปียกชื้น พูดกันตามจริงเลยนะ นางยินดีเผชิญหน้าแมลงนับพันตัว แต่ขอไม่ต้องมาอยู่ร่วมกับตู๋กูเจวี๋ยจะได้ไหม คราวนี้ต้องตายแน่แล้ว
ไม่เห็นหรือว่าฝ่าบาททรงปกป้องคุ้มครองไทเฮาราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าถึงเพียงไหน? เกรงว่าก้าวต่อไปฮ่องเต้คงจะทรงสนพระทัยกับการปกป้องไทเฮา ไม่มีทางหันมาใส่ใจมองดูพวกนางสักนิดเป็นแน่
หากยังคิดว่าฮ่องเต้และไทเฮาจะทรงช่วยเหลือพวกเขาอีก? ฝันไปเถอะ
ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น แผ่นดินถล่มก็ยิ่งเคลื่อนตัวมาทางด้านหน้าของพวกนาง
คราวนี้ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทรงเคลื่อนไหวบ้างแล้ว
พระองค์หงายพระหัตถ์แสดงปางมือ [1] ด้วยหัตถ์เดียว ในกลางพระหัตถ์ปรากฏไอหยินกลุ่มหนึ่ง
ทันทีที่ไอหยินนี้พวยพุ่งขึ้นมา สีหน้าของตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง นางขมวดหัวคิ้วแนบแน่น หันไปมองดูจีเฉวียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ไม่รอให้นางได้กล่าวอะไร ใต้ฝ่าเท้าพลันกลายเป็นความว่างเปล่า
ความเย็นสุดขั้วขุมหนึ่งห่อหุ้มอยู่รอบกาย รอบด้านมีแต่ความมืดมิด เสียงลมเคลื่อนผ่านริมใบหูดังอู้อยู่ตลอดเวลา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงไหน กว่าจะได้เห็นแสงสว่างในที่สุด
แสงสว่างอ่อนจาง
ถึงแม้ว่าร่างจะยังตกลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ส่วนเอวก็ยังถูกคนโอบกอดเอาไว้อย่างแนบแน่น ดังนั้นแม้แต่ยามที่ตกลงถึงพื้น นางจึงไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย
แสงสว่างที่อ่อนจางนั้น อยู่ๆ ก็กระจ่างสว่างขึ้นกว่าเดิม
เบื้องหน้าเป็นผืนหญ้าที่เขียวทั่วทั้งแถบ เหนือศีรษะเป็นต้นไม้เขียวสดสูงใหญ่ ราวกับว่ามันพึ่งจะผ่านฝนตกมาหยกๆ บนใบจึงมีหยดน้ำหยดโตๆ หล่นตามลงมา
เสียงเปาะแปะดังขึ้น หยดลงบนใบหน้าของนางพอดี
น้ำเย็นจัดราวน้ำแข็ง ราวกับว่าเป็นไอเย็นที่ออกมาจากร่างของจีเฉวียนอย่างไรอย่างนั้น
ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเบาๆ นางถามออกไปคำหนึ่ง “ฝ่าบาท ท่านกับหยกสรรพชีวิตเกี่ยวข้องอะไรกัน?”
——
[1] 结印 : ปางมือ หรือมุทรา= การใช้มือเป็นสัญลักษณ์แทนองค์เทพเพื่อประทับทรงหรือร่ายคาถา