ตอนที่ 400 ท่านพี่
คราวที่แล้วที่ไป๋ชิงเหยียนกลับมาที่ซั่วหยาง หญิงสาวเคยพักในเรือนปัวอวิ๋นแล้ว รู้สึกพอใจกับทุกอย่างในเรือนนี้
ชุนเถาวางชุดเครื่องชาลายดอกบัวสีน้ำเงินแกมขาวที่ไป๋ชิงเหยียนใช้เป็นประจำลงบนโต๊ะกลม เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นไป๋ชิงเหยียนเอนกายพิงหมอนสีดอกขมิ้นอ่านตำราอยู่ ชุนเถาจึงแหวกม่านเดินออกไปสั่งงานกับบ่าวรับใช้ซึ่งมีหน้าที่ทำความสะอาดลานหญ้าด้านนอกด้วยเสียงแผ่วเบา
ถงหมัวมัวเดินเข้ามาในเรือนปัวอวิ๋น แหวกม่านเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว ทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่ คนมาแล้วเจ้าค่ะ…”
ถงหมัวมัวหมายถึงไป๋ชิงผิง
ไป๋ชิงเหยียนวางตำราในมือลงบนโต๊ะ “ข้าจะไปหาพบเขาสักหน่อย”
“บ่าวเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้คุณหนูเจ้าค่ะ” ถงหมัวมัวกล่าวพลางเดินไปเตรียมชุด
“ไม่ต้องหรอก ไปเช่นนี้นี่แหล่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
ไป๋ชิงผิงนั่งรออยู่ที่โถงรับรองอย่างกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าเหตุใดไป๋ชิงเหยียนถึงเรียกเขามาพบเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ ทว่า เขารู้ดีว่าเป็นเพราะเขาช่วยดูแลหย่าเหนียงเพราะความรู้สึกผิด ไป๋ชิงเหยียนจึงเห็นความเมตตาที่ไม่มีในตัวของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ในตัวของเขา
ทว่า เขาไม่ได้ทำสิ่งใดที่น่ายกย่องชื่นชม เขาแค่ทำในสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปควรทำเท่านั้น
เพราะเข้าใจในเหตุผลข้อนี้ดี ไป๋ชิงผิงจึงยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้ดีว่าไป๋ชิงเหยียนผิดหวังในตัวของตระกูลบรรพบุรุษไป๋มากเพียงใด
เหลือบเห็นไป๋ชิงเหยียนในชุดเรียบง่ายสำหรับอยู่ใส่ในเรือนเดินเข้ามาด้านใน ไป๋ชิงผิงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นรีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “คาราวะจวิ้นจู่ขอรับ!”
วันนี้ไป๋ชิงเหยียนแตกต่างจากทุกวันที่เขาเคยเห็น คราวที่แล้วไป๋ชิงเหยียนนั่งรถม้าประจำตำแหน่งของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่กลับมายังซั่วหยาง แต่งกายหรูหราสมฐานะ เดินไปไหนมาไหนโดยมีสาวใช้คอยประคองดั่งเช่นสตรีตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลต่างๆ ในเมืองหลวง ทว่า คงเป็นเพราะไป๋ชิงเหยียนเคยไปออกรบในสนามรบ ร่างของนางจึงมีไอสังหารและรัศมีที่น่ายำเกรง เขานึกว่านั่นคือตัวตนที่แท้จริงของไป๋ชิงเหยียน
ทว่า บัดนี้หญิงสาวสวมเครื่องแต่งกายธรรมดาเรียบง่าย ไป๋ชิงผิงถึงได้เข้าใจว่าคนที่มีไอสังหารอยู่ในจิตวิญาณเป็นเช่นไร ทั้งๆ ที่ใบหน้าของหญิงสาวสงบราบเรียบ ทว่า กลับให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
“ไม่ต้องมากพิธี นั่งเถิด…”
เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนเดินตรงไปนั่งยังที่นั่งประมุข ไป๋ชิงผิงจึงค่อยๆ นั่งลงตาม
“ฮ่องเต้และองค์รัชทายาททรงทราบเรื่องการฝึกฝนชาวบ้านเพื่อปราบปรามโจรป่าแล้ว เดี๋ยวคงสั่งให้ทางการมาช่วยเหลือตระกูลไป๋ ทำให้เรื่องนี้สำเร็จลุล่วง เจ้ามีความคิดเห็นอันใดในเรื่องนี้บ้างหรือไม่”
สาวใช้ถือถาดสี่เหลี่ยมสีดำเข้ามาด้านใน วางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างเบามือ จากนั้นถอยออกไปตามเดิม
“ไม่กล้าปิดบังจวิ้นจู่ ตระกูลบรรพบุรุษไป๋คิดว่าจวิ้นจู่จะกลับมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงยังไม่ได้ทำสิ่งใด รอคำสั่งของจวิ้นจู่อยู่ขอรับ”
ไป๋ชิงผิงกล่าวด้วยความประหม่าเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้ถามถึงความเห็นของคนในตระกูล ข้าถามความเห็นของเจ้า…”
ไป๋ชิงผิงเงยหน้าขึ้น สบกับดวงตาล้ำลึกและสงบนิ่งของไป๋ชิงเหยียนเข้าพอดี
“จวิ้นจู่หมายความว่าจะให้ข้าเป็นคนจัดการดูแลเรื่องนี้หรือขอรับ ทว่า ข้าอายุยังน้อย เกรงว่าอาจทำได้ไม่ดี…”
“เด็กชายอายุสิบขวบของตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงยังไปออกรบในสนามรบจริงแล้ว เจ้ายังเด็กอยู่หรือ”
ไป๋ชิงเหยียนถามอย่างไม่รีบร้อน
แม้ไป๋ชิงเหยียนจะไม่ได้วางมาดสูงส่งใส่ไป๋ชิงผิง ทว่า อาจเป็นเพราะตระกูลบรรพบุรุษไป๋ทำเรื่องผิดพลาดมากมาย ไป๋ชิงผิงจึงรู้สึกไม่กล้าสู้หน้าไป๋ชิงเหยียน
“ไป๋ชิงผิงรู้สึกละอายขอรับ”
“ไม่ต้องรีบร้อนยอมรับผิด ข้าไม่ได้กล่าวโทษเจ้า หากเป็นลูกหลานตระกูลธรรมดา เจ้าอาจจะยังเด็กไป ทว่า พวกเราไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลธรรมดาทั่วไป พวกเราเป็นทายาทของตระกูลไป๋”
ไป๋ชิงเหยียนมองดูญาติผู้น้องร่วมตระกูลเดียวกันที่ยังคงนั่งก้มหน้าอยู่ เอ่ยเสียงแผ่วเบา “คนเราเกิดมาไม่ได้ทำได้ทุกอย่าง ทว่า พวกเราสามารถค่อยๆ ฝึกฝน ค่อยๆ เรียนรู้ไปได้ อย่าดูถูกว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี นี่ไม่ใช่นิสัยของคนตระกูลไป๋ คนตระกูลไป๋…คนตระกูลไป๋ไม่เคยขี้ขลาดยอมแพ้ ต่อให้ทำผิดหรือทำได้ไม่ดีก็หาทางแก้ไขให้ถูกต้องเท่านั้นเอง”
ไป๋ชิงผิงมองดูไป๋ชิงเหยียนที่กำลังสั่งสอนเขาอย่างใจเย็น ขอบตาของชายหนุ่มร้อนผ่าว
ตั้งแต่เขาจำความได้ ไม่ว่าท่านปู่ ท่านย่าหรือแม้แต่ท่านแม่ล้วนบอกว่าเขายังเด็กอยู่ เด็กไม่ควรยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ เขาไม่เคยได้ยินผู้ใดกล่าวเช่นนี้กับเขามาก่อน
“เจ้ายินดีจะลองหรือไม่” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนอ่อนโยน
ไป๋ชิงผิงขบกรามแน่น ลุกขึ้นยืนคำนับไป๋ชิงเหยียนอย่างนอบน้อม “ท่านพี่ได้โปรดชี้แนะข้าด้วยขอรับ!”
จู่ๆ ได้ยินคำว่า “ท่านพี่” มือของไป๋ชิงเหยียนสั่นเทาเล็กน้อย อดนึกถึงอาอวี๋ขึ้นมาไม่ได้
หญิงสาวเงยหน้ามองดูเด็กหนุ่มหน้าตาคมคายตรงหน้า ดวงตาไหววูบเล็กน้อย เมื่อกล่าวขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงอ่อนโยนมากกว่าเดิม
“ตระกูลบรรพบุรุษมีที่นาจำนวนไม่น้อย เจ้าเริ่มจากคนที่ทำนาในที่เราก่อนก็ได้ ครอบครัวใดส่งชายหนุ่มฉกรรจ์มาฝึกฝน จะได้ลดค่าเช่านาและตระกูลบรรพบุรุษไปจะให้เงินเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง เช่นนี้ย่อมมีคนยินดีมาลองแน่นอน ทุกอย่างล้วนยากลำบาก ทว่า ขอเพียงเริ่มต้น วันหน้ามันจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง”
ไป๋ชิงผิงฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้าตาม ครุ่นคิดว่านอกจากคนทำนา ชาวบ้านกลุ่มอื่นอาจจัดการยากกว่า
“ท่านพี่มอบหมายเรื่องที่ให้ข้าจัดการ ข้าจะทำให้เต็มที่ที่สุดขอรับ หากมีตรงไหนทำได้ไม่ดี ข้าจะมาขอคำแนะนำจากท่านพี่ขอรับ” ไป๋ชิงผิงกล่าว
“เจ้ารับผิดชอบโน้มน้าวใจผู้คน ไป๋จิ่นจื้อและหลูผิงจะพาองครักษ์ของตระกูลไป๋ไปฝึกฝนชาวบ้านเอง หากเงินที่อดีตประมุขไป๋ยักยอกไปไม่เพียงพอ เจ้าจงมาบอกข้า ข้าจะหาวิธีเอง” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ!” ไป๋ชิงผิงกล่าว
มองส่งไป๋ชิงผิงจากไป ไป๋ชิงเหยียนยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมลุกขึ้น
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดสนิทลง สาวใช้ทยอยเดินจุดไฟในโคมไฟดอกบัวสิบหกดอกซึ่งแขวนประดับอยู่ตามระเบียงทางเดินสองข้างทางของโถงรับรองจนสว่างไสว
แสงไฟส่องสว่างเข้าไปในห้องโถงด้านใน ชุนเถาเดินเข้าไปกระซิบข้างหูไป๋ชิงเหยียน
“คุณหนูใหญ่ ฉินหมัวมัวมาเชิญคุณหนูใหญ่ไปรับประทานอาหารกับฮูหยินเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนได้สติขึ้นมา จับมือชุนเถาลุกขึ้นยืน
หญิงสาวก้าวออกไปจากโถงรับรอง เอื้อมมือไปสัมผัสโคมไฟหกฉากลายดอกบัวที่สว่างไสว แสงไฟนวลส่องกระทบพื้นกระเบื้องหิน และเสาเคลือบน้ำมันสีแดงบริเวณระเบียงทางเดิน ม่านไม้ไผ่ถูกปลดลงมาปกคลุมบริเวณทางเดิน กั้นแมลงที่ชอบบินเล่นไฟไม่ให้บินเข้ามาในระเบียงทางเดิน
หญิงสาวเดินทอดยามตามระเบียงทางเดินไปยังเรือนของมารดา ได้ยินเสียงลมพัดกระดิ่งดังขึ้นเป็นระยะๆ เช่นเดียวกับที่นางหยุดคิดถึงอาอวี๋ไม่ได้
อาอวี๋ เจ้าติดค้างหินโลหิตนกพิราบที่สวยที่สุดในใต้หล้ากับพี่อยู่นะ
ที่จริงนางยังคงแอบหวังอยู่ตลอดว่าอาอวี๋ยังมีชีวิตอยู่ เขาอาจถูกขังอยู่ที่ใดที่หนึ่งหรือถูกคนช่วยชีวิตไว้เหมือนอาเจวี๋ยและอาอวิ๋น
นางรู้ว่ามารดาก็คิดถึงอาอวี๋ ทว่า พวกนางกลัวอีกฝ่ายจะเสียใจ จึงไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้
ต่งซื่อให้ฉินหมัวมัวเตรียมอาหารง่ายๆ ที่ไป๋ชิงเหยียนชอบทาน ขณะรับประทานอาหารก็ปรึกษากับไป๋ชิงเหยียนเรื่องงานเลี้ยงที่จะจัดในวันที่หก
“เมื่อครู่ฟางซื่อ ภรรยาของของประมุขไป๋ไป๋ฉีเหอส่งคนมาบอกว่าพวกเราเพิ่งกลับมาถึงซั่วหยาง อาจยังไม่คุ้นเคยกับผู้คนที่นี่ หากมีสิ่งใดที่นางพอช่วยได้ นางยินดีช่วยเต็มที่”
ต่งซื่อคีบขาหมูใส่ในจานของไป๋ชิงเหยียน ก้มหน้าทานโจ๊กไก่ฉีกของตัวเองต่อ
“ฟางซื่อผู้นี้คงไม่ธรรมดาเหมือนกัน นางคงอยากอาศัยตระกูลไป๋สร้างหน้าตาให้ตัวเอง”