ตู๋กูซิงหลันอธิบายมาตั้งมากมายขนาดนี้ แม้แต่ตัวนางเองยังแทบจะหลงเชื่อไปแล้ว
ดวงตาของนางเปล่งประกายรื่นเริง จดจ้องไปยังจีเฉวียน “ฝ่าบาท ใต้หล้านี้ มีแต่พระองค์เท่านั้นที่เหมาะสมและคู่ควรกับคำคำนี้เพคะ”
จีเฉวียนมองดูท่าทางที่หนักแน่นจริงจังของนาง ก็ชักจะเชื่อถือขึ้นมาบ้างแล้ว
“สุนัข เฒ่า บ้าอำนาจ” พระองค์ทวนสามคำนี้อีกรอบ อย่างไรก็ยังรู้สึกว่าไม่น่าฟังสักเท่าไหร่
“ฝ่าบาท คำเหล่านี้ขอแค่พระองค์ฟังไปสักหลายๆ รอบก็จะคุ้นหูไปเองเพคะ ยังน่าฟังกว่าลูกหมาน้อยอะไรนั่นตั้งเยอะ” ตู๋กูซิงหลันพูดปาวๆ ต่อไป “พระองค์ไม่ทรงเชื่อหม่อมฉันหรือเพคะ?”
เมื่อเห็นนางทำแก้มพองลม ท่าทางเสียอกเสียใจอย่างน่าสงสาร ไม่ว่าจะให้เป็นอะไรจีเฉวียนก็ทรงยอมแล้ว
พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกมา ลูบศีรษะของนางเบาๆ “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นอกจากเราแล้ว ห้ามเจ้าใช้คำนี้ไปชื่นชมใครอื่นอีก”
ตู๋กูซิงหลันผงกศีรษะติดๆ กันเป็นนกน้อยจิกข้าวสาร “แน่นอน เพคะ แน่นอน”
ฮ่องเต้อยากจะทรงเป็นสุนัขเฒ่าบ้าอำนาจ นางจะไปห้ามทำไม?
วิญญาณทมิฬรู้สึกว่าได้รับความรู้เพิ่มขึ้นอีกระดับ สตรีผู้นี้ไม่ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ใดก็ถือเป็นยอดฝีมือในการพูดจาเหลวไหล
จากนั้นมันก็รู้สึกว่าฮ่องเต้ออกจะใสซื่อบริสุทธิ์อยู่บ้าง
เพื่อให้เกิดความคุ้นหู ฝ่าบาทจึงทรงมีรับสั่งอีกครั้ง “ชมเราสักหลายๆ รอบหน่อย”
ตู๋กูซิงหลัน “สุนัขเฒ่าบ้าอำนาจ ฝ่าบาททรงเป็นสุนัขเฒ่าบ้าอำนาจจริงๆ สุนัขเฒ่าบ้าอำนาจอันดับหนึ่งไม่มีสอง”
คำสุนัขเฒ่าบ้าอำนาจชุดหนึ่งเข้าหูไป ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าชักจะฟังจนคุ้นเคยขึ้นมาบ้างแล้ว
สายพระเนตรของพระองค์อ่อนโยนขึ้นมาก ก่อนหน้านี้พระองค์รู้สึกว่านางชมเพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง ตอนนี้พอบังคับให้นางชมได้สำเร็จ ที่แท้ก็เป็นความรู้สึกอิ่มเอมเปรมปรีดิ์เช่นนี้เอง
“เมีย เมีย ~” เมียเมียกระพือปีกอย่างเห็นด้วย ฝ่าบาทของมันย่อมต้องเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว
ขณะที่มันสะบัดปีก ส่งเสียงร้องเมียเมียออกมาอีก ก็ร่อนไปทางสระสวรรค์
ก็เห็นว่าในตอนนั้น ไม้หนามที่ล้อมอยู่ภายนอกพากันขยับเข้ามา
หนามแหลมๆ เหล่านั้นคล้ายกับว่ามีชีวิตขึ้นมา พากันขดเป็นวง ค่อยๆ ขยับเข้าไปสู่ใจกลางสระสวรรค์ คิดจะผลักดันให้ผู้คนทั้งหมดตกลงไปในทะเลสาบ
และเหล่าคนที่ก่อนหน้านี้โดนหนามแหลมทิ่มตำ ก็พากันรู้สึกทั้งคันและปวดแผลขึ้นมา ขณะเดียวกันก็เริ่มมีหนามเล็กๆ สีดำแดงงอกเงย
“อ๊าก นี่มันคืออะไร?”
ในกลุ่มคน มีคนที่ตะโกนร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
“ข้า…ข้าก็มี ทำไมปากแผลถึงมีหนามงอกออกมาได้กัน?”
น้ำเสียงพึ่งจะดังขึ้นมา ผู้คนก็พากันแตกตื่นเสียยกใหญ่ เหล่าคนที่ถูกหนามแหลมทิ่มตำพากันตรวจดูบาดแผล ก็พบว่าบริเวณปากแผล มียอดอ่อนของต้นไม้หนามงอกออกมาจากใต้ผิวหนัง คล้ายกับว่าเกิดมาจากกระดูกและเลือดเนื้ออย่างไรอย่างนั้น
และที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือ ยอดอ่อนเหล่านั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ครู่เดียวก็แทงยอดสูงขึ้นมา
พอต้นไม้หนามเติบโตขึ้นมาหนึ่งชุ่น กล้ามเนื้อของพวกเขาก็เ**่ยวลงหนึ่งส่วน
ภาพที่น่าหวาดกลัวนี้ทำเอาผู้คนขนหัวลุก คนที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บก็รีบถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถูกต้นไม้หนามกดดันให้ขยับไปทางสระสวรรค์
มีจอมยุทธ์ผู้กล้าบางคน ไม่เชื่อถือในอาถรรพ์ ใช้ดาบเดียวสะบั้นตัดทิ้งไป
หนามแหลมเหล่านั้นมิได้แข็งแกร่ง พอคมดาบวาดผ่านก็สามารถตัดมันขาดกระเด็นลงพื้นไป
“ก็ไม่เท่าไหร่สักหน่อย พวกเราแต่ละคนล้วนเป็นขุมกำลังของแว่นแคว้น จะไปกลัวอะไร?” จอมยุทธ์ผู้นั้นถือดาบพลางกล่าวออกมา
พึ่งจะสิ้นเสียงไป ก็เห็นชิ้นหนามที่ตกลงไปบนพื้นเหล่านั้นขยับเขยื้อนขึ้นมา คล้ายกับเป็นหนอนแมลงสีเลือด กระโดดเข้าใส่เหล่าจอมยุทธ์ต่อหน้าต่อตาผู้คนทั้งหลาย
จากนั้นชิ้นหนามเหล่านั้นก็มุดลงไปใต้ผิวหนังของพวกเขา ผู้คนพากันตื่นตระหนกจนตาโต เห็นไม้หนามใช้ร่างมนุษย์เป็นที่อยู่อาศัย เริ่มเจริญงอกงามขึ้นมา
ไม้หนามเหล่านี้เติบโตอย่างบ้าคลั่ง เพียงแค่ครู่เดียวก็ดูดกลืนเลือดเนื้อของเหล่าจอมยุทธ์เข้าไปอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นพุ่มไม้หนามที่แน่นขนัด
จอมยุทธ์สิบกว่าคน กลายเป็นต้นไม้หนามสิบกว่าต้น ยอดหนามแหลมๆ แทงทะลุเสื้อผ้าของจอมยุทธ์เหล่านั้นออกมา
ภาพที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ทำเอาผู้คนทั้งหลายแทบลืมหายใจไปแล้ว
เหล่าคนที่ปากแผลเริ่มมียอดหนามงอกเงยก็พากันร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมา
“ขุมสมบัติยังไม่ทันหาเจอ พวกเราก็ต้องมาตายไปเช่นนี้แล้วหรือ?”
“ข้ายังไม่อยากตาย ฮือ ฮือ ฮือ….”
มีบางคนทรุดลงไปนั่งบนพื้น ฉี่ราดออกมาแล้ว
ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นมา “เฮอะ เฮอะ น่าเสียดายที่พวกเจ้าอุตส่าห์ตามหาสระสวรรค์จนเจอ กลับมีความกล้าน้อยนิดเหมือนกับหนูสกปรก?”
ผู้คนพากันหันไปตามเสียง ก็เห็นใต้ต้นไม้หนามที่ไกลออกไป มีสาวน้อยในชุดสีเขียวผู้หนึ่งเดินออกมา
นางมีรูปโฉมงดงาม ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้กลับไม่หวาดกลัว ดวงตาที่งามดั่งเมล็ดซิ่งคู่นั้นยามมองมายังพวกเขายังมีแววเยาะเย้ยเสียด้วยซ้ำ
ที่ข้างกายของนาง มีบุรุษชุดสีม่วงผู้หนึ่ง บุรุษผู้นั้นสวมใส่หน้ากากสีเงิน เปิดให้เห็นเพียงดวงตาที่งดงามดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วงคู่หนึ่ง
ถึงแม้ว่าไม่อาจจะมองเห็นใบหน้าได้ทั้งหมด แต่จากรูปร่างและท่าทางก็ดูโดดเด่นน่าดึงดูด นี่จะต้องเป็นผู้ที่มีฝีมือผู้หนึ่งแน่นอน
ที่ด้านหลังของสาวน้อย มีเหล่านักพรตที่สวมใส่ชุดสีขาวราวกับแสงจันทร์อยู่กลุ่มหนึ่ง
สีที่ขาวดั่งแสงจันทรา ดูไปแล้วยังสง่างามกว่าสีขาวธรรมดาอีกขั้นหนึ่ง อีกบนผ้าปักด้วยด้ายเงินเป็นลวดลายดั่งเมฆคล้อยก็ยิ่งทำให้ดูสูงส่งกว่าเดิม
ตู๋กูเจวี๋ย หยวนเฟยและหลงเซียวพากันมองตามไป
“เหยียนเฉียวหลัว?” ตู๋กูเจวี๋ยไม่ได้แปลกใจสักเท่าไร เพียงแต่มองดูเหล่านักพรตที่อยู่ด้านหลังของนางอย่างแปลกใจอยู่บ้าง
ความรู้สึกคุ้นเคยที่เขาได้รับเมื่อครู่ คล้ายกับว่าจะออกมาจากสตรีที่สวมใส่ชุดสีขาวราวแสงจันทร์
และตอนนี้ สตรีผู้นั้นก็ยืนอยู่ด้านหลังของเหยียนเฉียวหลัวพอดี
เขาลืมตากว้างมองดูสตรีผู้นั้นอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตหญิงวัยกลางคน มองซ้ายมองขวาก็แล้ว แต่ไม่เห็นเงาของชือหลีแม้แต่น้อย
นี่เขาคิดมากไปจริงๆ ใช่หรือไม่?
เขากอดแขนของตนเองเอาไว้ หนาวจนริมฝีปากเป็นสีม่วง ยังดีที่หลงเซียวถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนเองให้เขาคลุมเอาไว้
ตู๋กูเจวี๋ยนับว่าเป็นคนที่ชะตาแข็งกล้า ถูกเหล่านักพรตของแคว้นฉินช่วยเหลือขึ้นมายังไม่ทันไร ก็ดูท่าจะต้องเจอดีเข้าอีกแล้ว
นักพรตที่คิดจะเล่นงานเขา ก็คือคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเหยียนเฉียวหลัวอีกคนนั่นเอง
ดูท่า….คงจะเป็นเพราะองค์หญิงแคว้นเหยียนถูกฝ่าบาทปฏิเสธจึงเปลี่ยนจากรักเป็นแค้น เลยคิดจะก่อเรื่องขึ้นมา
พอได้ยินชื่อของเหยียนเฉียวหลัว ผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันมีปฏิกริยาขึ้นมา
สาวน้อยในชุดกระโปรงสีเขียวตรงหน้า คือพระธิดาองค์เล็กที่ฮ่องเต้แคว้นเหยียนโปรดปรานที่สุด
ฟังว่า….ช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่พำนักอยู่ในแคว้นต้าโจวองค์หญิงผู้นี้ถึงกับก่อเรื่องฆ่าพระเชษฐาเพื่อใส่ร้ายฮ่องเต้ต้าโจวมาแล้ว
ยังดีที่รัชทายาทของต้าเหยียนผู้นั้นมิได้ตาย ที่น่ากลัวที่สุดคือมีเทพออกมาช่วยเหลือถึงได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย และเปิดเผยแผนการชั่วร้ายขององค์หญิงแคว้นเหยียน
คิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายแล้วองค์หญิงแคว้นเหยียนก็ถูกแคว้นเหยียนไถ่ตัวกลับไป ไม่เพียงไถ่ตัวกลับไป แต่ยังมอบหมายหน้าที่สำคัญให้กับนาง ให้นางมาที่นี่เพื่อตามหาขุมทรัพย์
เห็นได้ชัดเลยว่าฮ่องเต้แคว้นเหยียนโปรดปรานองค์หญิงผู้นี้จนถึงขั้นเสียสติไปแล้ว
เหยียนเฉียวหลัวยืนตัวตรงดุจพู่กัน มองดูผู้คนทั้งหลายด้วยรอยยิ้ม “ไม้หนามพวกนี้ล้วนเกิดจากกระดูกและเลือดเนื้อของผู้คน หากว่าโชคไม่ดีถูกทิ่มตำเข้าละก็ ร่างกายก็จะกลายเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงใหม่ของมัน เพียงไม่นานร่างทั้งหมดก็จะกลายเป็นต้นไม้หนาม”
คำพูดนี้ไม่ต้องให้นางกล่าวออกมา ผู้คนทั้งหลายต่างก็ทราบอยู่แล้ว เมื่อครู่พวกเขายังตื่นตระหนกตกใจจนขวัญหนีอยู่เลย
“แต่ว่าพวกเจ้าวางใจได้ องค์หญิงอย่างข้าย่อมมีวิธีการช่วยเหลือพวกเจ้า”
ขณะที่เหยียนเฉียวหลัวกล่าวต่อไป อาจารย์ของนางผู้อาวุโสหยู่ซั่งก็ส่งถุงใบหนึ่งมาให้นาง