ตอนที่ 478 ไม่มีวันผิดสัญญา
เมื่อต่งถิงเจินกลับมา หญิงสาวยังอยากอุ้มไป๋หวั่นชิงต่อ ไป๋หวั่นชิงเป่าฟองน้ำลายในปากออกมา ดวงตากลมโตใสแจ๋วจ้องไปที่พู่ปิ่นปักผมบนศีรษะของต่งถิงเจินเขม็ง ต่งถิงเจินรีบดึงออกมาให้ไป๋หวั่นชิงเล่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความรัก
คงเป็นเพราะไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อกลับมาแล้ว บรรยากาศภายในจวนไป๋จึงเต็มไปด้วยความสุข ใบหน้าของบ่าวรับใช้ทุกคนในจวนไป๋เต็มไปด้วยรอยยิ้ม สาวใช้ที่เดินตามหมัวมัวเข้าออกเรือนเสาหวา เมื่อสวนทางกันต่างยิ้มให้กันอย่างยิ้มแย้ม กล่าวว่าบรรดาเจ้านายกำลังสนทนากันอย่างมีความสุข บรรยากาศชื่นมื่นยิ่งนัก
ม่านผืนบางซึ่งแขวนอยู่บนม่านไม้ไผ่สะบัดพลิ้วขึ้นเล็กน้อยตามแรงลม กระดิ่งทองแดงซึ่งแขวนอยู่บนตะขอเหล็กส่งเสียงดังเป็นระยะ
สาวใช้ทยอยถือกาน้ำชาและอาหารเข้าไปในเรือนเสาหวาภายใต้การนำของหมัวมัว จากนั้นแยกย้ายกันนำผลไม้สดและของว่างขึ้นไปบนชั้นสองโดยใช้บันได้ทางฝั่งขวาและซ้าย
วันนี้ต่งซื่ออารมณ์ดีจึงสั่งให้คนเตรียมเหล้ากุหลาบไว้ให้ต่งถิงเจินจิบเพื่อสร้างบรรยากาศ
เมื่อเห็นว่ามีเนื้อสัตว์มาวาง ต่งถิงเจินเริ่มไม่สบายใจ ตระกูลไป๋กำลังไว้ทุกข์อยู่ จะดูแลนางเป็นพิเศษเพราะเป็นแขกไม่ได้เด็ดขาด
ฮูหยินห้าฉีซื่อตบหลังมือของต่งถิงเจินเบาๆ
“องค์หญิงใหญ่ตรัสว่าแสร้งไว้ทุกข์ไม่ทานเนื้อสัตว์ให้คนนอกเห็นเท่านั้น หากให้เด็กๆ ทานมังสวิรัติติดต่อกันสามปี ร่างกายของพวกนางคงรับไม่ไหวก่อน ทำพอเป็นพิธีเมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกก็พอ เจ้าไม่ใช่คนนอก พวกเรารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ร่างกายแข็งแรง บรรพบุรุษถึงจะมีความสุขอย่างแท้จริง!”
ต่งถิงเจินได้ยินเช่นนี้จึงสบายใจ
หญิงสาวมองดูบรรดาคุณหนูตระกูลไป๋นั่งล้อมวงสนทนาเรื่องสงครามที่เป่ยเจียงอยู่ด้วยกัน อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ แม้ตระกูลสูงศักดิ์มากมายในเมืองหลวงจะรับรู้ว่าตระกูลไป๋ปฏิบัติต่อบุตรอนุเป็นอย่างดี ทว่า พวกเขาไม่มีทางรู้ว่าตระกูลไป๋จะครื้นเครงถึงเพียงนี้!
ยกตัวอย่างตัวนางเอง แม้นางกับน้องสาวบุตรอนุทั้งสองจะเข้ากันได้ดี ทว่า นางเป็นบุตรของภรรยาเอก รู้ดีว่าตนแตกต่างจากบุตรสาวที่เกิดจากอนุเช่นไร นางจึงมักตีค่าตัวเองสูงกว่าน้องสาวทั้งสอง
ทว่า บุตรทุกคนของตระกูลไป๋รวมใจเป็นหนึ่งเดียว นางมองออกว่าพี่น้องทุกคนรักและจริงใจต่อกันจริงๆ ในแววตาไม่มีการเสแสร้งหรือทระนงตัวแม้แต่น้อย
ต่งถิงเจินรู้สึกอิจฉาอยู่พักหนึ่ง ทว่า ไม่นานก็คิดได้ ทุกตระกูลมีกฎระเบียบของตัวเอง ตระกูลไป๋เป็นตระกูลนักรบที่เจริญรุ่งเรืองมานับร้อยปี พวกเขาต้องการให้บุตรหลานทุกคนรักและสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว เช่นนี้เมื่อทำสงครามทุกคนร่วมใจเป็นหนึ่งช่วยกันขับไล่ศัตรูที่มารุกรานแคว้นออกไป
ทว่า ท่านปู่ของนางคือขุนนางฝ่ายบัณฑิต ย่อมให้ความสำคัญกับความแตกต่างระหว่างบุตรภรรยาเอกและบุตรอนุ
ต่งถิงเจินอยู่ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคนในตระกูลไป๋ หญิงสาวจึงค่อยๆ ลืมเรื่องของเหลียงอ๋องและมีความสุขขึ้นไม่น้อย
ฮูหยินห้าฉีซื่อขอตัวพาบุตรสาวกลับไปพักผ่อนก่อน เมื่อจากไปได้ไม่นาน ใบหน้าของต่งถิงเจินซึ่งดื่มเหล้ากุหลาบเขาไปสองสามจอกเริ่มแดงระเรื่อ แววตาเลื่อนลอย
ต่งซื่อยิ้มแล้วลุกขึ้นไปประคองต่งถิงเจิน พาหลานสาวกลับไปส่งที่เรือน ไป๋ชิงเหยียนตามมารดาไปด้วย
เมื่อส่งต่งถิงเจินกลับไปถึงเรือน ต่งซื่อมองดูสาวใช้อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและปรนนิบัติต่งถิงเจินเข้านอนเสร็จจึงเดินจากไปพร้อมไป๋ชิงเหยียน
คงเป็นเพราะแปลกถิ่น ต่งถิงเจินที่เมื่อครู่ดื่มเหล้าหนักจนลืมตาไม่ขึ้น บัดนี้ได้สติขึ้นมาทันที
หญิงสาวลุกขึ้นพลางแหวกมุ้งสีเรียบออก เห็นฉากกั้นไม้หนานมู่ซึ่งประดับด้วยอัญมณีมากมายซึ่งต่งซื่อได้มาจากสินเดิมก่อนแต่งงาน ได้กลิ่นหอมที่นางชอบลอยออกมาจากกระถางธูปหอมสีทองแดง เป็นกลิ่นหอมจางๆ ทว่า คงทน แค่ดมก็รู้ว่าเป็นของชั้นเลิศ
ไม่เพียงบิดามารดาที่เห็นนางเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า แม้แต่ท่านอาและญาติผู้พี่ก็ยังดีต่อนางถึงเพียงนี้ เหตุใดนางต้องมานั่งเสียใจให้กับบุรุษที่คิดหลอกใช้นางด้วย
ไป๋ชิงเหยียนเกาะแขนมารดาเดินไปตามระเบียงทางเดินซึ่งทั้งสองข้างทางมีม่านผืนบางแขวนประดับอยู่ ตลอดทางเดินเต็มไปด้วยแสงสว่างจากโคมไฟ ฉินหมัวมัวพาบรรดาสาวใช้เดินตามหลังไปห่างๆ ไม่รบกวนบทสนทนาของแม่ลูก
“วันนี้แม่ยังไม่มีเวลาถามเจ้าเลยว่าเหตุใดจึงพาถิงเจินมาที่นี่ด้วย เกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ” ต่งซื่อจูงมือบุตรสาวเดินขึ้นไปบนบันไดของระเบียงทางเดิน
“จะมีเรื่องอันใดเล่าเจ้าคะ ใกล้จะถึงวันเกิดของท่านแม่แล้ว อาเป่าจึงพาถิงเจินมาอวยพรวันเกิดให้ท่านแม่เจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนประคองมารดาขึ้นไปบนบันได
“เจ้าอย่ามาหลอกแม่! ตอนที่เจ้าเขียนจดหมายมาบอกว่าจะพาถิงเจินมาด้วย แม่ก็รู้สึกสงสัยแล้ว หากไม่ใช่การตัดสินใจกะทันหัน ท่านป้าของเจ้าคงส่งจดหมายมาบอกแม่นานแล้ว! ที่สำคัญถิงเจินมาซั่วหยางครั้งนี้ไม่ได้พาไห่ถัง สาวใช้ข้างกายของนางมาด้วย เจ้าคิดว่าจะปิดบังแม่ได้อย่างนั้นหรือ”
ต่งซื่อถลึงตาใส่ไป๋ชิงเหยียน “ยังไม่รีบบอกความจริงมาอีก!”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดเจ้าค่ะท่านแม่ ใต้เท้าเฉินเชิญแม่สื่อไปสู่ขอต่งถิงเจินให้เฉินเจาลู่ ทว่า ต่งถิงเจินไม่ค่อยเต็มใจจึงหงุดหงิดใจ ข้าจึงพานางมาผ่อนคลายที่นี่เจ้าค่ะ!” ไป๋ชิงเหยียนกุมมือต่งซื่อพลางกล่าวยิ้มๆ
“ท่านแม่ก็รู้ว่าถิงเจินขี้อาย อย่าไปซักถามสิ่งใดจากนางเลยนะเจ้าคะ รอให้เวลาผ่านไปแล้วนางค่อยๆ คิดได้เองดีกว่าเจ้าค่ะ”
“แม่จำได้ว่าหลานชายของราชครูเฉินเป็นบุรุษรูปงามที่เก่งกาจมากนี่นา” ต่งซื่อก้มหน้าใช้ความคิด
“ถิงเจินมีคนที่ชอบแล้วอย่างนั้นหรือ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ท่านแม่ห้ามถามถิงเจินเด็ดขาดนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นถิงเจินอาจคิดว่าอาเป่าเป็นพวกชอบนินทาคนลับหลังได้เจ้าค่ะ”
ต่งซื่อหลุดขำกับคำกล่าวของบุตรสาว ยกมือขึ้นเขกศีรษะนางเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ไปเป่ยเจียงลำบากมากหรือไม่ ถงหมัวมัวรายงานว่าเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บ เจ้าสั่งให้นางรายงานเช่นนี้หรือเป็นเรื่องจริง”
“ไม่ได้รับบาดเจ็บจริงๆ เจ้าค่ะ!” ไป๋ชิงเหยียนไม่อยากให้มารดาเป็นห่วงจึงกล่าวขึ้น
“ครั้งนี้อาเป่ามีหน้าที่วางแผนให้แม่ทัพใหญ่หลิวหงเท่านั้น อาเป่ารับปากว่าจะพาเสี่ยวซื่อกลับมาอย่างปลอดภัย อาเป่าไม่มีทางผิดสัญญากับท่านแม่แน่นอนเจ้าค่ะ”
ต่งซื่อกุมมือไป๋ชิงเหยียนแน่น พยักหน้ายิ้มๆ ความปลอดภัยของบุตรสาวสำคัญต่อนางมากกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น
ไป๋ชิงเหยียนส่งต่งซื่อกลับเรือนชิงเหอ เมื่อเดินออกมาจากเรือนชิงเหอก็เห็นชุนจือวิ่งมาจากเรือนปัวอวิ๋นอย่างรีบร้อน เมื่อทำความเคารพเสร็จจึงกล่าวขึ้น
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูรองส่งจดหมายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ถงหมัวมัวให้บ่าวมาตามคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
ใจของชุนเถากระตุกวูบ วันนี้คุณหนูใหญ่ได้รับจดหมายจากคุณหนูรองหนึ่งฉบับแล้ว เหตุใดจึงส่งมาอีกหนึ่งฉบับ หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่เมืองหลวงกัน!
ไป๋ชิงเหยียนนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นเร่งฝีเท้าเดินไปยังเรือนปัวอวิ๋นพร้อมกับชุนจือ เมื่อเข้าไปในเรือนก็เห็นถงหมัวมัวซึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงเดินตรงเข้าไปช่วยประคองไป๋ชิงเหยียน กล่าวกับชุนเถา
“เจ้าไปได้แล้ว ชุนเถาดูแลคุณหนูใหญ่คนเดียวก็พอ”
ชุนจือทำความเคารพแล้วเดินจากไป
ถงหมัวมัวหยิบจดหมายออกมาจากอกยื่นส่งให้ไป๋ชิงเหยียน
“คุณหนูใหญ่ คนส่งจดหมายเร่งเดินทางนำจดหมายมาส่งโดยไม่ได้หยุดพัก หลูผิงไม่อยู่ บ่าวและชุนจือได้รับจดหมายฉบับนี้พร้อมกันจึงปิดบังชุนจือไม่ได้เจ้าค่ะ!”
“มิเป็นอันใด ถือโอกาสนี้ทดสอบชุนจือไปในตัว หากใช้ได้ วันหลังจะได้เรียกนางมาใช้งานข้างกาย”
ไป๋ชิงเหยียนถือจดหมายเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ เปิดจดหมายออกอ่านท่ามกลางแสงตะเกียง