ตอนที่ 489 เหนียวแน่น
หิ่งห้อยบินวนอยู่บนต้นไม้ ไม่ก็เกาะอยู่ตามใบไม้สีเขียว จักจั่นส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว ช่างดูเงียบสงบและอบอุ่นยิ่งนัก
ไป๋ชิงเหยียนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเสื้อผ้าไหมสีเขียวปักลายดอกบัวสีเงินสลับซับซ้อนสวยงาม สวมกระโปรงสีน้ำตาล หญิงสาวเดินไปตามระเบียงทางเดินซึ่งจุดไฟสว่างไปจนถึงเรือนชิงเหอ
ภายในห้อง ต่งถิงเจินนั่งจัดกระถางธูปหอมทรงสัตว์มงคลสามขาอยู่ริมหน้าต่าง วันนี้หญิงสาวตั้งใจปรุงเครื่องหอมผ่อนคลายจิตใจให้ต่งซื่อ อธิบายกับต่งซื่ออย่างละเอียดว่าใช้ส่วนผสมใดบ้าง
ไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่กลางเรือน มองไปยังหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง หญิงสาวเห็นต่งถิงเจินนั่งถือช้อนทองแดงคันเล็กอยู่ภายใต้แสงไฟ ตักเครื่องหอมใส่ลงไปในกระถางธูปอย่างประณีต ปิดฝากระถางธูป จากนั้นส่งให้ต่งซื่อดมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ต่งซื่อชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ ถลกแขนเสื้อของตัวเองขึ้นเล็กน้อย ใช้มือพัดกลิ่นหอมมาให้ลอยมาทางตัวเองเบาๆ กล่าวชมยิ้มๆ “เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ หอมมาก”
“หากท่านอาชอบ ข้าจะเขียนสูตรไว้ให้เจ้าค่ะ หากท่านอาไม่ยากทำเอง ถิงเจินจะทำให้…” ต่งถิงเจินวางช้อนเล็กลงด้านข้างพลางกล่าวยิ้มๆ
“คุณหนูใหญ่มาแล้วหรือเจ้าคะ” ฉินหมัวมัวเห็นไป๋ชิงเหยียนจึงรีบแหวกม่านออกไปต้อนรับ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินกำลังสนทนากับคุณหนูต่งเรื่องเครื่องหอมอยู่เจ้าค่ะ เมื่อก่อนฮูหยินเก่งกาจเรื่องปรุงเครื่องหอมเช่นกัน แต่พอเจอคุณหนูต่งเข้า ฮูหยินได้แต่ถอนหายใจยอมแพ้เจ้าค่ะ!”
ฉินหมัวมัวกล่าวชมต่งถิงเจินไปในตัว เพราะตั้งแต่ที่ตระกูลไป๋เกิดเรื่องขึ้น ฮูหยินแทบไม่เคยยิ้มเลย ครั้งนี้คุณหนูต่งเดินทางมายังซั่วหยาง ต่งซื่ออารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย มันทำให้นางนึกถึงเหตุการณ์เยาว์วัยครั้งอยู่ที่ตระกูลต่ง
ท่านแม่มีฝีมือและชื่นชอบด้านนี้ ทว่า หลังจากรับหน้าที่ดูแลจวนไป๋ ท่านจึงไม่มีเวลาทำสิ่งเหล่านี้อีก
บัดนี้ตระกูลไป๋ย้ายกลับมาอยู่ซั่วหยาง ไม่ได้วุ่นวายเหมือนตอนอยู่เมืองหลวงอีกแล้ว ต่งถิงเจินมาอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ปรุงเครื่องหอม ดีดพิณผ่อนคลายจิตใจก็ดีเหมือนกัน
ฉินหมัวมัวแหวกม่านให้ไป๋ชิงเหยียนยิ้มๆ หญิงสาวเดินเข้าไปทำความเคารพมารดา ต่งถิงเจินรีบลุกขึ้นยืนทักทายญาติผู้พี่ของตนเอง
ต่งซื่อยังคงสนใจเรื่องเครื่องหอมอยู่ ชี้นิ้วไปยังของว่างสองสามอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ “หากอาเป่าหิวก็ทานของว่างรองท้องไปก่อน วันนี้ฉินหมัวมัวอยากให้พวกเราทานอาหารที่มีความละเอียดอ่อนจึงต้องรออีกสักพัก”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” ฉินหมัวมัวยกกาน้ำชาซึ่งอยู่ในถาดสี่เหลี่ยมสีดำที่สาวใช้เดินถือเข้ามา รินน้ำชาให้ไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่อดทนรอสักครู่นะเจ้าคะ บ่าวได้ยินหญิงชราในจวนกล่าวถึงอาหารประจำเมืองซั่วหยางสองสามชนิดนี้ แม้วิธีการทำจะยุ่งยากไปสักหน่อย ทว่า บ่าวคิดว่าแปลกใหม่ดีเจ้าค่ะ บ่าวอยากให้ฮูหยินและคุณหนูทั้งสองได้ลองอาหารใหม่ๆ บ้างเจ้าค่ะ”
“ผู้ที่อยู่มาสามสมัยรู้เรื่องเครื่องแต่งกายเป็นอย่างดี ผู้ที่อยู่มาห้าสมัยรู้เรื่องอาหารเป็นอย่างดี ท่านยายเชี่ยวชาญเรื่องอาหารรสเลิศเป็นที่สุด” ไป๋ชิงเหยียนนั่งลงบนเก้าอี้กลม รับชาที่ฉินหมัวมัวส่งให้มายิ้มๆ “ฉินหมัวมัวติดตามรับใช้ข้างกายท่านยายมาตั้งแต่เล็ก ย่อมเก่งมากเช่นเดียวกัน…”
ฉินหมัวมัวคือบ่าวรับใช้ที่ติดตามมากับสินเดิมของต่งซื่อ คือคนของตระกูลต่ง
“ไม่ว่าพี่หญิงจะเอ่ยชมท่านย่า ตระกูลต่ง หรือฉินหมัวมัว ถิงเจินก็พลอยได้เกียรตินั้นไปด้วย…ข้ารู้สึกภูมิใจยิ่งนักเจ้าค่ะ!” ต่งถิงเจินใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากลอบยิ้ม
เพิ่งกล่าวถึงตระกูลต่งจบ บ่าวรับใช้ซึ่งอยู่ด้านนอกเรือนชิงเหอก็นำจดหมายของตระกูลต่งจากเติงโจวมาให้
ฉินหมัวมัวเดินออกไปรับจดหมาย จากนั้นยื่นให้ต่งซื่อ ต่งซื่ออ่านพลางบอกกับไป๋ชิงเหยียน “ท่านน้าชายของเจ้ากล่าวว่าฉางหลานจะมาซั่วหยาง ท่านยายของเจ้าจึงฝากให้เขานำของมาให้พวกเราด้วย”
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของท่านอาแล้ว ท่านย่ากับท่านอารองส่งพี่ฉางหลานมาเยี่ยมท่านอาหญิงแน่เลยเจ้าค่ะ” ต่งถิงเจินเดาจุดประสงค์ที่ตระกูลต่งส่งต่งฉางหลานมาที่ซั่วหยางได้ทันที
ปีนี้ตระกูลไป๋อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ต่งซื่อไม่คิดจะจัดงานฉลองวันเกิด ขอเพียงบุตรสาวอยู่ข้างกายของนาง อยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนนางก็พอแล้ว ทว่า ในฐานะมารดา ต่งเหล่าไท่จวินคิดถึงบุตรสาวอยู่เสมอ
ใบหน้าของต่งซื่อเต็มไปด้วยรอยยิ้ม วนอ่านจดหมายที่ต่งชิงเยว่เขียนมาซ้ำอยู่หลายรอบ เมื่อคำนวณจนแน่ใจว่าต่งฉางหลานจะมาถึงซั่วหยางในวันที่ยี่สิบเอ็ด เดือนเจ็ด ต่งซื่อจึงหันไปทางฉินหมัวมัว “ฉางหลานและภรรยาของเขาจะมาถึงในวันมะรืน หมัวมัวสั่งคนไปทำความสะอาดจวินจื้อเซวียนให้เรียบร้อย เมื่อฉางหลานมาถึงให้เขาพักที่นั่น”
บัดนี้ตระกูลไป๋มีแต่สตรี ต่งซื่อกำลังคิดว่าจะให้ผู้ใดมาอยู่เป็นเพื่อนฉางหลานดี ไป๋ชิงเหยียนวางถ้วยชาในมือลง “เดี๋ยวข้าจะบอกให้ชิงผิงมาอยู่เป็นเพื่อนฉางหยวนเจ้าค่ะ หรือท่านแม่อยากให้ตามลูกพี่ลูกน้องมาอีกสองสามคนดีเจ้าคะ”
“ท่านพี่ฉางหยวนไม่ใช่คนนอก ไม่จำเป็นต้องตามผู้อื่นมาอยู่เป็นเพื่อนเขามากมายเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ” ต่งถิงเจินไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย ตระกูลต่งรู้สถานการณ์ของตระกูลไป๋ดี อีกทั้งพอรู้กระทำของตระกูลบรรพบุรุษไป๋อยู่บ้าง
เมื่อต่งซื่อนึกถึงคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา ตอนนี้มีเพียงไป๋ชิงผิงที่ดูเป็นเด็กดีอยู่คนเดียว นางจึงโบกมือ “ถิงเจินกล่าวถูกแล้ว ฉางหยวนไม่ใช่คนนอก เรียกชิงผิงมาคนเดียวก็พอ”
อาหารที่หมัวมัวสั่งให้นำขึ้นโต๊ะอาหารในวันนี้คือเต้าหู้ห้าวาสนา วิธีการทำค่อนข้างซับซ้อน หมักเต้าหู้ในซอสเข้มข้นซึ่งปรุงรสด้วยเนื้อสัตว์จนเข้าเนื้อ จากนั้นนำไปตากจนสะเด็ดน้ำแล้วนำไปทอดจนทั้งสองด้านเป็นสีเหลืองสวยงาม ใช้มีดหั่นเต้าหู้ให้เท่ากันในขนาดพอดีคำ ทาด้วยน้ำผึ้งกุหลาบ จากนั้นนำไปรมควันด้วยผลไม้ รับประทานคู่กับน้ำจิ้มบ๊วย ด้านนอกกรอบ ด้านในชุ่มฉ่ำ ได้รสสัมผัสของผลไม้ ละลายทันทีที่เข้าปาก เป็นรสชาติที่เลอค่ายิ่งนัก
อาหารท้องถิ่นของเมืองซั่วหยางมีมากมาย ทว่า ฉินหมัวมัวถูกใจอยู่เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น ฉินหมัวมัวลองชิมเต้าหู้ห้าวาสนาแล้วรู้สึกว่ารสชาติไม่เลวจึงกล้านำมาขึ้นโต๊ะอาหาร
เมื่อรับประทานอาหารที่เรือนชิงเหอของต่งซื่อเสร็จ ต่งถิงเจินเดินออกมาจากเรือนพร้อมกับไป๋ชิงเหยียน เมื่อก้าวออกจากประตูเรือน ก้าวไปยังระเบียงเดิน ต่งถิงเจินจึงย่อกายคำนับไป๋ชิงเหยียนอย่างจริงจัง
“ถิงเจิน เจ้าทำอันใด” ไป๋ชิงเหยียนนึกว่าต่งถิงเจินมีเรื่องจะขอร้องนางจึงรีบพยุงน้องสาวให้ลุกขึ้น “หากเจ้ามีเรื่องให้พี่ช่วยก็กล่าวมาได้เลย”
ต่งถิงเจินส่ายหน้า เงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “โชคดีที่พี่หญิงออกหน้าช่วยเหลือเรื่องเหลียงอ๋อง ทว่า ถิงเจินกลับอคติมองพี่หญิงในแง่ร้าย หากไม่ได้พี่หญิง ถิงเจินคงยังจมปรักอยู่กับคำหลอกลวง ถูกเขาหลอกใช้แล้วยังคิดว่าเขารักถิงเจินมาก”
“เจ้าคือญาติผู้น้องของพี่ แม้ต่างสกุลกัน ทว่า สายเลือดคือความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นที่สุดบนโลกใบนี้ พี่คือญาติผู้พี่ของเจ้า ย่อมต้องปกป้องเจ้า!” ไป๋ชิงเหยียนยิ้มให้ต่งถิงเจิน
สายเลือดคือความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นที่สุดบนโลกใบนี้…
ต่งถิงเจินได้ยินคำกล่าวนี้ของไป๋ชิงเหยียนก็อดนึกถึงคำกล่าวของท่านพ่อขึ้นมาไม่ได้ ท่านยอมให้ทั้งตระกูลตกอยู่ในอันตรายเพื่อทำให้นางสมหวังกับเหลียงอ๋อง ตอนนั้นนางไม่คิดแม้แต่จะออกไปห้ามบิดา นางเอาทุกคนในครอบครัวของนางไปไว้ที่ใดกัน
ยิ่งคิดต่งถิงเจินก็ยิ่งรู้สึกผิด น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย ไม่รู้ว่าท่านพ่อท่านแม่จะผิดหวังในตัวนางสักเพียงใด
“พอเถิด!” ไป๋ชิงเหยียนยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ต่งถิงเจิน “ขอเพียงเจ้ากลับตัวกลับใจได้ ท่านลุงและท่านป้าสะใภ้ไม่โกรธเจ้าหรอก ช่วงนี้เจ้าพักผ่อนให้สบายใจ เมื่ออากาศเย็นลง หากอยากออกไปเที่ยวเล่นที่ใดก็ให้เสี่ยวอู๋และเสี่ยวลิ่วไปเป็นเพื่อนเจ้า พวกนางชอบเล่นสนุกกับเจ้าที่สุด!”
ต่งถิงเจินพยักหน้า ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา เอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “ได้ยินว่าวันนี้จิ่นจื้อออกเดินทางอีกแล้วหรือเจ้าคะ”