ตอนที่ 500 หวั่นวิตก
หลู่จิ้นเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง รีบแย่งหนังสือสารภาพผิดมาอ่านอย่างละเอียด
หวังเซียงเซินเขียนในหนังสือสารภาพผิดว่าหวังคุนซึ่งบุตรชายคนเดียวของเขาชื่นชอบบุรุษรูปงามและเด็กชายถึงขั้นบ้าคลั่ง เขาทำร้ายร่างกายคนเหล่านั้นยามอยู่นอกจวนนับครั้งไม่ถ้วน หวังเซียงเซินจึงได้แต่ทำลายหลักฐานทิ้ง
บัดนี้หวังคุนเหิมเกริมขึ้นทุกวัน หวังเซียงเซินกลัวว่าหากทางการรู้เรื่องนี้เข้าจะปิดบังเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้ หวังคุนบอกว่าขอเพียงหวังเซียงเซินหาเด็กชายมาให้เขาเพลิดเพลินมากเพียงพอ เขาก็จะไม่ก่อปัญหาที่ด้านนอกอีก
ดังนั้นหวังเซียงเซิงจึงอ้างชื่อจวนเหลียงอ๋องคนเหล่านั้นเต็มใจช่วยหาเด็กชายมาให้บุตรชายของเขาเล่นที่จวน เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดโปง เขาจึงไม่มีหน้าอยู่บนโลกนี้ต่อไป ตัดสินใจทิ้งจดหมายสารภาพผิดไว้และชดใช้ความผิดด้วยชีวิต
เมื่อหลู่จิ้นอ่านจดหมายสารภาพผิดจบ เขานั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้พักใหญ่
การตายของหวังเซียงเซินเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป เขาเพิ่งมาสำนึกได้ในตอนนี้จึงชดใช้ความผิดด้วยชีวิตของคนทั้งตระกูลอย่างนั้นหรือ!
ต่อให้เรื่องนี้เป็นความผิดร้ายแรงแต่ก็รุนแรงไม่ถึงขั้นโดนประหารทั้งตระกูล เหตุใดหวังเซียงเซินจึงต้องให้ทั้งตระกูลชดใช้ความผิดเช่นนี้ด้วย
หลู่จิ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นยืนหนังสือสารภาพผิดให้ลูกน้อง “ให้คนตรวจสอบลายมือดูด้วยว่าใช่ลายมือของหวังเซียงเซินจริงหรือไม่”
เมื่อข่าวส่งไปถึงจวนรัชทายาท รัชทายาทซึ่งกำลังนั่งเอนกายอ่านฎีกาพลางทานองุ่นไปด้วยผุดลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างตกตะลึง “ว่าอย่างไรนะ! ฆ่าตัวตายชดใช้ความผิดอย่างนั้นหรือ!”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท!” ลูกน้องที่มารายงานตกใจจนได้แต่ก้มหน้า
ฟางเหล่าซึ่งเพิ่งรับรู้ข่าวเดินเข้ามาในศาลาซึ่งมีน้ำแข็งแขวนอยู่ทั้งสี่มุม ส่งสัญญาณให้ทหารองครักษ์ออกไป จากนั้นทำความเคารพรัชทายาท
“องค์ชาย ดูเหมือนว่าหากไม่ใช่เพราะฝ่าบาททรงต้องการปกป้องเหลียงอ๋องก็คงต้องเป็นเพราะว่าเหลียงอ๋องมีคนที่ยังเรียกใช้งานได้อยู่จึงสั่งให้ไปกำจัดตระกูลหวังแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทขบกรามแน่น “เราดูถูกเหลียงอ๋องเกินไปจริงๆ”
ฟางเหล่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น “หากเหลียงอ๋องมีคนเก่งที่เราไม่รู้อยู่ เรื่องนี้คงยุ่งยากมากกว่าเดิม ทว่า หากเป็นเพราะฝ่าบาททรงช่วยเหลือ…”
“หากเสด็จพ่อทรงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เรื่องยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่!” รัชทายาทรู้สึกไม่พอใจ
“เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้ปกป้องคนอย่างเหลียงอ๋องกันนะ!”
“หากฝ่าบาททรงยื่นมือเข้าช่วยเหลือเหลียงอ๋องก็แสดงว่าเหลียงอ๋องปรุงยาวิเศษนั่นให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
ฟางเหล่าประคองให้รัชทายาทนั่งลงบนเก้าอี้ เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ฝ่าบาทสั่งให้หน่วยตรวจเมืองล้อมจวนเหลียงอ๋องเอาไว้ ทว่า ไม่ได้สั่งให้เข้าไปตรวจค้นด้านใน! บัดนี้จวนเหลียงอ๋องไม่ได้มีเพียงองครักษ์ลับคอยคุ้มกัน ทว่า ยังมีหน่วยตรวจเมืองล้อมไว้อีกชั้น หากมีคนอยากบุกเข้าไปในจวนเหลียงอ๋องคงยากมากกว่าเดิมหลายเท่า ต่อให้มีคนอยากใช้แผนเดิมเผาทำลายหลักฐานทั้งหมดในจวนเหลียงอ๋องก็คงหาโอกาสลงมือได้ยากพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเสด็จทั้งต้องการจับตาดูและปกป้องเหลียงอ๋อง
ฟางเหล่าเห็นรัชทายาทมีสีหน้าบึ้งตึงจึงรีบกล่าวเสริม
“ความจริงการที่ฝ่าบาทปกป้องเหลียงอ๋องก็มีข้อดีเหมือนกันนะพ่ะย่ะค่ะ อยากน้อยก็แสดงให้เห็นว่าฝ่าบาททรงยินดีปกป้องโอรสของตนเอง องค์ชายคือรัชทายาท คือโอรสที่ฝ่าบาทรงโปรดปรานมากที่สุด หากวันหน้าองค์ชายทำผิดพลาด ฝ่าบาทย่อมทรงปกป้ององค์ชายแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
รัชทายาทรู้ดีว่าฟางเหล่ากล่าวเพื่อปลอบโยนเขา ทว่า เขาสงบลงมากกว่าเดิมจริงๆ เขาถอนหายใจออกมายาว มองไปทางฟางเหล่า “ฟางเหล่ามีแผนอื่นอีกหรือไม่”
“สามีที่ไปตีกลองเติงเหวินร้องทุกข์ถูกโบยจนเสียชีวิตแล้ว บัดนี้เหลือเพียงภรรยาคนเดียว หญิงกลางคนนั่นเห็นบรรดาเด็กที่ถูกช่วยเหลือออกมาจากจวนหวัง ทว่า ไม่เห็นบุตรชายทั้งสองของตัวเองจึงคิดว่าบุตรชายของนางถูกไฟผาตายอยู่ในจวนแล้ว นางเป็นลมหมดสติอยู่หน้าจวนหวัง หากบัดนี้มีคนบอกนางว่าบุตรชายของนางอาจอยู่ในจวนเหลียงอ๋อง องค์ชายคิดว่านางจะไปอาละวาดที่หน้าจวนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เพราะอย่างไรเสียจวนเหลียงอ๋องก็คือความหวังสุดท้ายของนาง”
รัชทายาทตะลึงกับคำกล่าวของฟางเหล่า รีบหันไปมองทางฟางเหล่า
“ฝ่าบาทคงอยากให้เรื่องจบอยู่ที่ตระกูลหวังแห่งซอยจิ่วชวีจึงได้ห้ามไม่ให้คนเข้าไปตรวจค้นในจวนเหลียงอ๋อง ทว่า หากองค์ชายบังเอิญผ่านไปเห็นหญิงกลางคนร้องไห้อ้อนวอนอยู่ที่หน้าจวนเหลียงเล่าพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายทรงมีเมตตา ไม่อาจทนเห็นหญิงสาวร้องไห้อ้อนวอนเช่นนั้นได้ ยิ่งไม่อยากให้น้องชายของตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัยจึงพาหญิงนางนั้นเข้าไปในจวนเหลียง ประการแรกเพื่อไปเยี่ยมน้องชาย อีกประการคือพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้เหลียงอ๋อง!”
รัชทายาทค่อยๆ หยัดแผ่นหลังตรง ดวงตาเป็นประกายวาว รู้สึกว่าวิธีนี้น่าจะได้ผล ทว่า เมื่อนึกถึงอำนาจของเสด็จพ่อ เขาก็หงอลงทันที “ทว่า หากเสด็จพ่อทรงคาดโทษขึ้นมา…”
“องค์ชาย หากฝ่าบาททรงคาดโทษองค์ชายก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องสิพะย่ะค่ะ! องค์ชายแค่สงสารหญิงกลางคนนางนั้น อีกทั้งต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้เหลียงอ๋อง ผู้ใดจะคิดว่าเหลียงอ๋องจะทำเรื่องเช่นนั้นจริงๆ ที่สำคัญเหลียงอ๋องปรุงยาให้ฝ่าบาทได้ เหตุใดองค์ชายจะปรุงยาให้ฝ่าบาทไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
รัชทายาทกำมือแน่น การปรุงยาวิเศษผิดต่อคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ
“เหลียงได้รับการโปรดปรานจากฝ่าบาทเพราะปรุงยาให้พระองค์ เดิมทีองค์ชายเป็นโอรสองค์โปรดที่สุดของฝ่าบาทอยู่แล้ว หากองค์ชายปรุงยาให้พระองค์ ฝ่าบาทจะไม่ยิ่งโปรดปรานองค์ชายหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฟางเหล่ากล่าวเสียงเบาหวิว เมื่อรวบรวมถ้อยคำได้จึงกล่าวต่อ
“องค์ชายไม่ต้องทรงกังวลเรื่องคำสั่งสอนของบรรพบุรุษหรอกพะย่ะค่ะ จักรพรรดิเป็นผู้กำหนดคำสั่งสอน บัดนี้ฝ่าบาทคือจักรพรรดิ ภายภาคหน้าองค์ชายก็จะกลายเป็นจักรพรรดิ มีสิ่งใดน่ากลัวกันพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อถูกฟางเหล่ายุยงเช่นนี้ รัชทายาทจึงพยักหน้าอย่างมั่นใจมากขึ้น กล่าวอย่างตัดสินใจแน่วแน่ “เช่นนั้นฟางเหล่ารีบไปจัดการเถิด เราจะให้เฉวียนอวี๋มาช่วยเราแต่งกาย จริงสิ ให้พระชายานำของว่างสองสามอย่างติดไปด้วย เราและพระชายาจะไปเยี่ยมเหลียงอ๋องที่น่าจะตกใจเสียขวัญอยู่แต่ในจวน”
ไป๋จิ่นซิ่วรู้สึกกระวนกระวาย หญิงสาวได้ยินว่าสามีที่ไปตีกลองร้องทุกข์ถูกโบยจนเสียชีวิตแล้ว ทว่า สตรีกลางคนไม่พบตัวบุตรชายทั้งสองของตัวเองที่จวนหวังแห่งซอยจิ่วชวี บัดนี้นางจึงไปอาละวาดที่หน้าจวนเหลียงอ๋อง
ทว่า คนของนางเข้าไปในจวนเหลียงอ๋องไม่ได้จริงๆ ด้านนอกมีหน่วยตรวจเมืองคุ้มกันแน่นหนา ด้านในมีองครักษ์ลับของราชวงศ์ บัดนี้ไป๋จิ่นซิ่วไม่รู้ว่าเด็กที่อยู่ด้านในเป็นเช่นไรบ้าง จึงรู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
อิ๋นซวงซึ่งถือไหเครื่องเคียงเข้ามาด้านในสั่งให้โรงครัวเล็กจัดใส่จานมาให้ไป๋จิ่นซิ่ว โรงครัวเห็นว่าวันนี้ไป๋จิ่นซิ่วรับประทานอาหารไปเพียงนิดเดียวจึงทำบะหมี่น้ำแกงไก่ให้อิ๋นซวงนำไปให้ไป๋จิ่นซิ่วด้วย เมื่อเห็นไป๋จิ่นซิ่วนั่งไม่ติดที่ อิ๋นซวงวางถาดอาหารสี่เหลี่ยมสีดำลงบนโต๊ะกลม จากนั้นเอ่ยเรียก
“คุณหนูรอง มีเครื่องเคียงและบะหมี่เจ้าค่ะ”
ไป๋จิ่นซิ่วร้อนรนใจเป็นที่สุด ทว่า ไม่อยากแสดงออกทางสีหน้าให้อิ๋นซวงเป็นกังวล จึงจับมือชุยปี้เดินไปนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง กล่าวยิ้มๆ
“กลิ่นหอมมาก อิ๋นซวงทานบะหมี่แทนข้าเถิด นำเครื่องเคียงจานนั้นมาให้ข้าทานก็พอ ข้าอยากทานมาหลายวันแล้ว!”
ชุยปี้ยิ้มให้อิ๋นซวง จากนั้นยกจานเครื่องเคียงไปวางบนโต๊ะตัวเล็ก ยื่นตะเกียบให้ไป๋จิ่นซิ่ว
อิ๋นซวงมองดูชามบะหมี่ตรงหน้า จากนั้นยกถือไปทางไป๋จิ่นซิ่ว วางชามลงข้างๆ จานผักดอง กล่าวกับไป๋จิ่นซิ่วด้วยท่าทีจริงจัง “แทนไม่ได้!”