ตอนที่ 550 บุคคล
ต่งชิงเยว่มองไป๋ชิงเหยียน “ข้าไม่กล้าให้ต้าเยี่ยนและเป่ยหรงอยู่ในเติงโจว พวกเราจะประมาทต้าเยี่ยนและเป่ยหรงไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้าเยี่ยน หลายปีมานี้พวกเขาลอบสร้างความแข็งแกร่ง ผลิตคนมีความสามารถออกมามากมาย ที่สำคัญเขากล้ามอบโอรสไว้เป็นตัวประกันที่ต้าจิ้น แสดงให้เห็นว่าพวกนั้นไม่ธรรมดาแน่ๆ”
ต่งชิงเยว่มองออกว่าต้าเยี่ยนในตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว บัดนี้ต้าเยี่ยนเป็นเสือซ่อนคม ไม่ว่าเผชิญปัญหาใดก็ล้วนผ่านพ้นมาได้ หากกล่าวว่าเป็นเพราะโชคช่วยเพียงอย่างเดียว ต่งชิงเยว่ไม่มีทางเชื่อโดยเด็ดขาด
“จัดโรงเตี้ยมไว้หลังหนึ่ง เชิญเป่ยหรงไปรอที่นอกเมือง เหลือไว้เพียงต้าเยี่ยนแค่แคว้นเดียว ระหว่างที่องค์หญิงหมิงเฉิงพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ ต้าเยี่ยนเข้าออกได้โดยมีกองทัพเติงโจวของเราคอยประกบดูแล สามารถเพิ่มข้อเสนอในการช่วยรักษาองค์หญิงหมิงเฉิงไปก่อนเป็นการชั่วคราวได้ว่าระหว่างนี้ห้ามพวกเขาเดินทางไปที่ใดโดยพลการเด็ดขาด บอกว่าหากพวกเขายอมรับข้อเสนอนี้ ท่านน้าชายจะถวายฎีกาไปขออนุญาตจากฮ่องเต้ ทว่า หากฮ่องเต้ทรงไม่พระราชทานอนุญาต ต้าเยี่ยนและเป่ยหรงต้องเดินทางออกจากเติงโจวทันที หากต้าเยี่ยนและเป่ยหรงอยากช่วยชีวิตขององค์หญิงหมิงเฉิงจริงๆ พวกเขาย่อมตอบตกลงแน่นอนเจ้าค่ะ ทว่า หากพวกเขาไม่ตกลง ท่านน้าชายจะได้เขียนไปในฎีกาได้ชัดเจนกว่าเดิมเจ้าค่ะ”
“นั่นสิ! หากพวกเขาไม่ยอมรับข้อตกลงก็แสดงว่าพวกเขาต้องการเข้ามาสำรวจแคว้นต้าจิ้น ท่านพ่อไม่ยอมให้องค์หญิงอยู่รักษาตัวที่นี่ก็ถือเป็นเรื่องสมควรแล้วขอรับ!” แววตาของต่งฉางหลานเคร่งขรึม “ท่านพ่อ บัดนี้ฮ่องเต้ทรงเลอะเลือนไปแล้ว เพื่อความปลอดภัยของพวกเรา มีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นขอรับ”
คนที่อยู่ในห้องหนังสือล้วนเป็นคนที่ไว้ใจได้ ฮ่องเต้เลอะเลือน…นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขากล่าวเช่นนี้ในห้องหนังสือ
ที่ปรึกษาทั้งสองพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เวลากระชั้นชิด บัดนี้ไม่มีวิธีใดเหมาะสมไปกว่าวิธีที่ไป๋ชิงเหยียนเสนอมาอีกแล้ว
เพราะหากมัวแต่ยื้อเวลาแล้วองค์หญิงหมิงเฉิงเสียชีวิตอยู่ในเติงโจว ฮ่องเต้อาจคาดโทษต่งชิงเยว่ได้
เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ต่งชิงเยว่จึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
ต่อมา เป่ยหรงเดินทางออกจากเมืองเติงโจว ทหารทุกคนที่แม่ทัพเผยแห่งต้าเยี่ยนพามาในเมืองเติงโจวถอดเกราะและปลดอาวุธออกมา พักอยู่ในโรงเตี้ยมที่ต่งฉางหลานจัดไว้ให้ ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมดูแลของกองทัพเติงโจว
เมื่อต่งชิงเยว่เห็นว่าต้าเยี่ยนตอบตกลงโดยไม่ลังเล เขารู้สึกนับถือมาก คิดไม่ถึงเลยว่าแคว้นต้าเยี่ยนจะยอมทำเพื่อองค์หญิงที่เดินทางไปแต่งงานเชื่อมไมตรีถึงเพียงนี้
ต้าเยี่ยนให้ความร่วมมือเช่นนี้ ต่งชิงเยว่จึงให้คนไปเสาะหาหมอทั่วทั้งเมืองติงโจวและเมืองใกล้เคียงมารักษาองค์หญิงหมิงเฉิงอย่างเต็มที่
เซียวหรงเหยี่ยนรับรู้ข่าวจึงโล่งใจและรู้สึกขอบคุณไป๋ชิงเหยียนมาก
ในเวลาเดียวกัน หลูผิงพาคนปลอมตัวเข้าไปในหนานหรง
เมืองหลวงของหนานหรงในตอนนี้คือสถานที่ที่เป็นพระราชวังเดิมของอ๋องแห่งหรงตี๋ รอบๆ พระราชวังเต็มรายล้อมไปด้วยกระโจมที่พักของแม่ทัพหนานหรง ชั้นนอกสุดคือกระโจมของชาวบ้านธรรมดาทั่วไป
กลุ่มของหลูผิงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดของชาวหรงตี๋ ปลอมตัวเป็นคนในคาระวานพ่อค้าของเซียวหรงเหยี่ยนที่เดินทางมาแลกเปลี่ยนข้าวของกับชาวหนานหรง พวกเขาถูกคนหนานหรงซักถามตามธรรมเนียม เมื่อชาวหนานหรงได้ยินว่าพวกเขานำเสบียงอาหารมาแลกกับเครื่องหนังของหรงตี๋จึงยอมปล่อยพวกเขาเข้าไปในเมือง
คนที่หลูผิงพามาด้วยมีคนที่กล่าวภาษาหรงตี๋ได้ ขณะที่แลกเปลี่ยนเสบียงอาหาร พวกเขาลอบสืบตำแหน่งที่ตั้งของกระโจมแม่ทัพหน้ากากผีจนรู้ว่ากระโจมของเขาคือกระโจมใหญ่สุดที่ตั้งอยู่ใกล้พระราชวังมากที่สุด
อย่าว่าแต่บริเวณนี้มีทหารเฝ้าเวรอยู่ตลอดเวลาจนพวกเขาไม่อาจเข้าใกล้กระโจมแม่ทัพหน้ากากผีเลย แม้แต่กระโจมของแม่ทัพยศต่ำที่สุดต่างก็มีทหารเฝ้าเวรอย่างแน่นหนา
หากส่งสัญญาณกู่เซ่าในตอนกลางวันอาจส่งไปไม่ถึงหูของแม่ทัพหน้ากากผี หลูผิงใช้เสบียงอาหารแลกกับกระโจมที่พักของชาวบ้านที่อยู่ใกล้กระโจมของบรรดาแม่ทัพมากที่สุด เมื่อถึงเวลากลางคืนเขาจะส่งสัญญาณกู่เซ่าหยั่งเชิงว่าแม่ทัพหน้ากากผีคือคุณชายของตระกูลไป๋จริงหรือไม่
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดสนิทลง เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ชาวหนานหรงจะอยู่แต่ในกระโจมของตัวเอง ไม่ออกไปเดินเพ่นพ่านด้านนอก ไม่เหมือนกับหรงตี๋ที่หลูผิงเคยพบเห็น
ตอนนั้นแม้ท้องฟ้าจะมืดสนิทลงแล้ว ทว่า ชาวหรงตี๋ยังคงนั่งสนทนาล้อมรอบกองไฟ บ้างดื่มเหล้า บ้างทานเนื้อสัตว์ บ้างเต้นระบำ หากพบเจอคนที่ถูกใจก็จะเชิญออกไปเต้นรำด้วย บุรุษและสตรีนั่งสนทนากันอย่างมีความสุข หากถูกใจกัน…อาจตกลงปลงใจเป็นสามีภรรยากันในคืนนั้นเลย เป็นการกระทำที่เปิดเผยตรงไปตรงมามาก
หลูผิงได้ยินชาวหนานหรงซึ่งให้พวกเขายืมกระโจมพักกล่าวว่าอ๋องแห่งหนานหรงตั้งกฎว่าห้ามออกมาเพ่นพ่านยามวิกาล ให้ชาวบ้านหนานหรงพักผ่อนแต่วัน วันรุ่งขึ้นจะได้มีสติไปเก็บเสบียงมากักตุนสำหรับฤดูหนาวได้อย่างเต็มที่
หลูผิงรู้สึกประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าชาวหรงตี๋จะรู้จักการเตรียมพร้อมล่วงหน้า ก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปวันๆ วันนี้มีเหล้าก็ดื่มจนเมา หากไม่มีเหล้าก็ขี่ม้าไปขโมยที่ชายแดนต้าจิ้นหรือต้าเหลียง พวกเขาเริ่มรู้จักการเตรียมพร้อมล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อใดกัน
ตกดึก พวกเขาไม่อาจออกไปด้านนอกได้ หลูผิงนั่งอยู่ในกระโจมมองดูเปลวไฟในเตาผิงที่ลุกโชนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด พักหนึ่งจึงกล่าวขึ้น “พวกเจ้ารออยู่ด้านในกระโจม ข้าจะลอบออกไปสำรวจบริเวณนี้สักหน่อย เดี๋ยวจะรีบกลับมา”
หกคนที่เหลือพยักหน้า “ระวังตัวด้วยขอรับใต้เท้า!”
หลูผิงค่อยๆ แอบย่องออกมาจากกระโจม หลบทหารหน่วยลาดตระเวนของหนานหรงอยู่ด้านหลังกระโจมอีกหลังหนึ่ง มองไปทางกระโจมของแม่ทัพหน้ากากผีที่มีทหารเฝ้าคุ้มกันอย่างแน่นหนา
หลูผิงหยิบกู่เซ่าซึ่งแขวนอยู่ที่คอออกมา เมื่อเห็นทหารลาดตระเวนถือคบเพลิงเดินมาทางเขา เขาจึงรีบย่อตัวเดินอ้อมไปทางอีกด้านของกระโจม จากนั้นจึงหยิบกู่เซ่าออกมาเป่า
แม่ทัพหน้ากากผีนั่งคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ถือพู่กันไว้ในมือ เขาไม่ได้สวมหน้ากากจึงเผยให้เห็นใบหน้าที่โดนไฟเผาจนเสียโฉมไปครึ่งซีก บาดแผลลุกลามไปจนถึงบริเวณลำคอของเขา
เปลวไฟในเตาผิงสะท้อนใบหน้าสมบูรณ์แบบอีกครึ่งซีกของชายหนุ่ม ดวงตาคมโต จมูกคมสัน ริมฝีปากบางเฉียบ เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนนี้แม่ทัพหน้ากากผีเป็นบุคคลที่รูปงามมากเพียงใด
เมื่อแม่ทัพหน้ากากผีที่กำลังวาดแผนที่อยู่บนหนังแกะได้ยินเสียงสัญญาณกู่เซ่า เขาเงยหน้าขึ้นทันที
“องครักษ์ตระกูลไป๋ขอพบคุณชายตระกูลไป๋”
บ่าวรับใช้ซึ่งขาพิการข้างกายของแม่ทัพหน้ากากผีที่กำลังรินน้ำชาให้แม่ทัพตกใจจนเกือบทำน้ำชาหกใส่แม่ทัพหน้ากากผี เมื่อรวบรวมสติได้ เขารีบเบิกตาโพลงหันไปมองแม่ทัพหน้ากากผีทันที “ท่านแม่ทัพ…”
แม่ทัพหน้ากากผีนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาได้พบกับพี่หญิงที่ชายแดนของต้าจิ้นและหนานหรง ขอบตาของชายหนุ่มร้อนผ่าวขึ้นทันที
ต่อให้เขากลายเป็นเช่นนี้ พี่หญิงก็ยังจำเขาได้!
นั่นคือพี่หญิงของเขา เหตุใดนางจะจำเขาไม่ได้กัน!
ดังนั้นพี่หญิงจึงส่งคนมาตามหาเขา
มือที่จับพู่กันของแม่ทัพหน้ากากผีสั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำมองไปนอกกระโจมด้วยแววตาหนักแน่น เขากลายสภาพเป็นเช่นนี้…จะให้พี่หญิงรับรู้ได้อย่างไรกัน หากพี่หญิงรู้ ไม่รู้ว่านางจะเสียใจมากเพียงใด
มือที่สั่นเทาของไป๋ชิงอวี๋เอื้อมไปสัมผัสใบหน้าครึ่งซีกที่เสียโฉมของตัวเอง ดวงตาแดงก่ำรุนแรงกว่าเดิม
“คุณชาย!” บ่าวรับใช้ขาพิการมองไปทางไป๋ชิงอวี๋อย่างตื่นเต้น “คุณชาย ข้าออกไปพบ…”
“ไม่!” ไป๋ชิงอวี๋กล่าวขัดบ่าวรับใช้ จับพู่กันวาดแผนที่อย่างตั้งใจอีกครั้ง จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “ไม่ต้อง! พรุ่งนี้เจ้าส่งคนไปสืบดูว่ามีคนต่างถิ่นเข้ามาในหนานหรงบ้างหรือไม่ จับพวกเขามาให้หมด บอกว่าข้าได้ยินเสียงประหลาดตอนกลางคืน ต้องการจับพวกเขามาสอบสวน”