ตอนที่ 578 อย่าใจร้อน
ที่สำคัญไปกว่านั้น…เด็กในครรภ์ของฮองเฮาคือกวางศักดิ์สิทธิกลับชาติมาเกิด หากฮองเฮาอยากแย่งชิงบัลลังก์ขึ้นมาจริงๆ คงมีคนมาสังหารเขาระหว่างที่เขาเดินทางกลับไปเมืองหลวงแน่
รัชทายาทซ่อนมือที่สั่นเทาไว้ในแขนเสื้อ กลัวว่าผู้อื่นจะรับรู้ว่าเขากำลังหวาดกลัว
เขาคือรัชทายาท เขากลัวได้ ทว่า ห้ามให้ผู้อื่นเห็นเป็นอันขาด
รัชทายาทพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ครั้งนี้กองทัพเติงโจวเสียหายอย่างหนัก หากเขาให้กองทัพเติงโจวกลับเมืองหลวงไปพร้อมเขา เมืองเติงโจวจะไร้คนคุ้มครองทันที กองทัพที่สามารถเคลื่อนย้ายได้มีเพียงกองทัพจากค่ายผิงอันเท่านั้น
ไป๋ชิงเหยียนส่ายหน้าทันทีที่รัชทายาทกล่าวจบ เอ่ยขึ้น “ขบวนรถม้าช้าเกินไปเพคะ ให้เฉวียนอวี๋กงกงนำขบวนรถม้าเดินทางล่วงหน้าไปก่อน องค์รัชทายาทและเหยียนขี่ม้าเร็วไปยังค่ายผิงอัน ป้องกันสายลับในเมืองเติงโจวล่วงหน้าไปเคลื่อนทัพทหารผิงอันก่อนองค์ชายโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของฝ่าบาทเพคะ หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาอาจทำอันตรายต่อองค์ชายได้ ต่อให้เหยียนและองค์ชายขี่ม้าเร็วไปตอนนี้ เหยียนยังรู้สึกว่าช้าเกินไปเลยเพคะ เราอย่ามัวรีรออีกเลยเพคะ”
“เช่นนั้น…องค์หญิงเจิ้นกั๋วไปก่อนเถิด” รัชทายาทกล่าว
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” ต่งชิงเยว่กล่าวขัดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “องค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ใช่องค์รัชทายาท ต่อให้มีคำสั่งของพระองค์ แม่ทัพฝูก็คงไม่กล้ามอบกำลังทหารให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายต้องเสด็จไปด้วยพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”
ลำคอของรัชทายาทร้อนผ่าว แววตาเหม่อลอยเล็กน้อย ทว่า ไม่นานก็ควบคุมสติได้ สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ไป๋ชิงเหยียนซึ่งยังคงมีท่าทีสงบเหมือนทุกครั้ง รู้สึกร้อนและอึดอัดใจราวกับอยู่ในฤดูที่ร้อนที่สุด ทว่า จู่ๆ เขาก็รู้สึกราวกับสายฟ้าฟาด มีสติขึ้นทันที
บัดนี้ไม่ใช่เวลาท้อแท้ใจ เป็นดั่งที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าว หากเขาไม่รีบเดินทางไปควบคุมกองทัพผิงอัน หากเมืองหลวงยัดเยียดข้อหากบฏให้เขา เขาไม่เพียงแต่จะปกป้องตัวเองเอาไว้ไม่ได้ พระชายาเอกและโอรสของเขาก็คงพลอยเดือดร้อนไปด้วย
เขาต้องมีกำลังทหารอยู่ในมือ คนที่เมืองหลวงจึงจะรู้สึกหวาดระแวงเขาอยู่บ้าง พวกนั้นถึงจะรอให้เขาหลับไปเมืองหลวงอย่างสงบ ฮองเฮาและเหลียงอ๋องจึงจะไม่กล้ายัดเยียดข้อหากบฏให้เขา ทว่า หากพวกเขาคิดทำเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยเขาก็ยังมีโอกาสรอดอยู่
“ตกลง! พวกเราขี่ม้าเร็วไปเดี๋ยวนี้!” รัชทายาทพยักหน้า
เมื่อเห็นรัชทายาทตัดสินใจได้ ต่งชิงเยว่จึงตะโกนขึ้น “เตรียมม้า!”
ไป๋ชิงเหยียนหันไปกล่าวกับต่งชิงเยว่ “ท่านน้าชาย สถานการณ์คับขัน ข้าจะติดตามองค์รัชทายาทกลับเมืองหลวงทันที ไม่กลับไปที่จวนต่งแล้ว ท่านน้าชายช่วยขอขมาท่านยายแทนเหยียนด้วยนะเจ้าคะ”
ต่งชิงเยว่สบกับดวงตาดำขลับและสงบนิ่งของไป๋ชิงเหยียน ไม่นานก็เข้าใจความหมายของหลานสาว เมื่อไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบ ต่งชิงเยว่หันไปกล่าวกับรัชทายาททันที “หากองค์ชายเดินทางไปยังค่ายทหารผิงอันแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เกรงว่าองค์ชายอาจตกอยู่ในอันตรายได้ เอาอย่างนี้พ่ะย่ะค่ะ…ฉางเม่า!”
ต่งชิงเยว่หันไปเรียกต่งฉางเม่า
“ท่านพ่อ!” ต่งฉางเม่าก้าวขึ้นไปทำความเคารพ
“เจ้าพาทหารสามพันนายคุ้มกันองค์รัชทายาทไปส่งที่ค่ายผิงอัน หากค่ายผิงอันเกิดการเปลี่ยนแปลงจงปกป้ององค์รัชทายาทถอยกลับมายังเติงโจวด้วยชีวิต!”
ไม่รอให้ต่งฉางเม่ากล่าวตอบ ไป๋ชิงเหยียนชิงกล่าวขึ้นก่อน “ท่านน้าชาย บาดแผลของฉางเม่ายังไม่หายดี ร่างกายของเขาทนต่อการเดินทางไม่ไหวแล้ว ท่านน้าชายต้องอยู่คุ้มกันเมืองเติงโจว เผื่อว่าแม่ทัพหน้ากากผีจะบุกมาอีกครั้ง หากค่ายทหารผิงอันเกิดการเปลี่ยนแปลงดั่งที่ท่านน้าชายกล่าวจริงๆ ฉางเม่าที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะยิ่งทำให้องค์รัชทายาทตกอยู่ในอันตรายเจ้าค่ะ หากท่านน้าชายเชื่อใจหลูผิง ให้หลูผิงนำทหารสามพันนายไปแทนเถิดเจ้าค่ะ หากเหตุการณ์ที่ค่ายผิงอันราบรื่น ให้หลูผิงนำทหารสามพันนายกลับมาคืนที่เติงโจว ทว่า ท่านน้าชายควรเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลานะเจ้าคะ อย่างน้อยต้องให้องค์รัชทายาทมีกองทัพเติงโจวไว้เป็นกำลังเสริม หากมีเวลาค่อยเรียกกองทัพไป๋จากหนานเจียงมาเสริมทัพอีกทีเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างรวดเร็วและมั่นคง แสดงให้เห็นว่าหญิงสาววางแผนไว้หมดแล้ว รัชทายาทจึงรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
“กระหม่อมและหลูผิงเคยอยู่ในกองทัพไป๋มาด้วยกัน กระหม่อมเชื่อใจหลูผิง องค์รัชทายาททรงมีความเห็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” ต่งชิงเยว่มองไปทางรัชทายาทพลางเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
หลูผิงก้าวไปด้านหน้า กำหมัดคาราวะรัชทายาท
“ทำตามที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วสั่ง!” รัชทายาทมองไปทางไป๋ชิงเหยียน กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เราเชื่อใจองค์หญิงเจิ้นกั๋วและใต้เท้าต่ง!”
ไป๋ชิงเหยียนและต่งชิงเยว่โค้งกายคำนับรัชทายาท พวกเขารู้ดีว่ารัชทายาทไม่ได้เชื่อใจพวกเขาทั้งคู่ ทว่า สถานการณ์บังคับให้รัชทายาทจำเป็นต้องเชื่อใจ
ต่งชิงเยว่กำดาบที่เอวแน่น ก้าวขึ้นไปบันไดพลางตะโกนลั่น “เป่าแตร! จัดทัพ!”
เสียงแตรทุ้มดังขึ้นบนแท่นสูงซึ่งมีไว้สำหรับจัดทัพ
ม้าศึกสีดำหลายตัวทะยานออกมาจากมุมหนึ่งของค่ายทหารภายใต้การนำของคนเพียงคนเดียว ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
ทั่วทั้งค่ายทหารดุเดือดขึ้นมาภายในชั่วพริบตา เมื่อทหารในชุดเกราะได้ยินเสียงแตร ต่างรีบหยิบโล่และหอกของตัวเองขึ้นมา จากนั้นไปรวมตัวกันที่สนามฝึกซ้อมอย่างมีระเบียบ
รัชทายาทกลืนน้ำลายลงคอ มองดูฝุ่นที่ฟุ้งกระจายเต็มสนามฝึก เหล่าทหารที่วิ่งมารวมตัวกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
แม้รัชทายาทจะเคยนำทัพไปออกรบที่หนานเจียงมาแล้ว ทว่า ตอนนั้นเขาอยู่เบื้องหลัง ผู้ที่นำทัพออกรบที่ด่านหน้าคือไป๋ชิงเหยียน เขาไม่เคยเห็นภาพบรรยากาศเช่นนี้ แค่ปรายตามองก็เห็นเหล่าทหารวิ่งไปรวมตัวกันกลางสนามฝึกท่ามกลางฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย เสียงฝีเท้า เสียงโห่ร้อง เสียงม้าและแตรผสมปนเปกันจนหูอื้อไปหมด ราวกับหากเขาอ้าในตอนนี้ ปากของเขาคงเต็มไปด้วยก้อนกรวดและเม็ดทราย
รัชทายาทเห็นภาพตรงหน้า เขากลัวว่าม้าศึกที่ทะยานเข้ามาจะเผลอทำร้ายเขาเข้าจึงก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว ในใจรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ เขามองไปทางไป๋ชิงเหยียน เห็นหญิงสาวกำลังปรึกษาเรื่องการส่งกำลังไปช่วยเหลือหากค่ายทหารผิงอันเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่กับต่งชิงเยว่อย่างเคร่งเครียด
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับต่งชิงเยว่ “ท่านน้าชายเตรียมกำลังรอไว้ให้พร้อมนะเจ้าคะ หากค่ายผิงอันเกิดการเปลี่ยนแปลง ท่านน้าชายต้องนำทัพไปช่วยองค์รัชทายาทและควบคุมกองทัพผิงอันให้ได้ เมืองหลวงกำลังวุ่นวาย เราจะปล่อยให้ชายแดนของต้าจิ้นวุ่นวายตามไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นทั้งแคว้นต้องตกอยู่ในอันตรายแน่เจ้าค่ะ”
ต่งชิงเยว่พยักหน้า “จุดไฟเป็นสัญญาณ! ข้าจะให้คนสังเกตความเคลื่อนไหวของค่ายผิงอันตลอดเวลา!”
ม้าศึกหลายสิบตัววิ่งเข้ามาในค่ายทหาร ผู้นำม้าก้าวลงมาจากหลังม้า คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น กำหมัดคาราวะ “องค์ชาย องค์หญิง ท่านแม่ทัพ ม้าพร้อมแล้วขอรับ!”
“ฝากท่านน้าชายด้วยนะเจ้าคะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบก็คว้าเชือกม้าตัวหนึ่งเอาไว้ หันไปมองรัชทายาทที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ “องค์ชาย ขึ้นม้าเพคะ!”
รัชทายาทรับคำอย่างหวาดกลัว ก้าวไปจับเชือกม้าเอาไว้ ไม่รู้เป็นเพราความประหม่าหรือไม่ เท้าที่เหยียบขึ้นไปบนโกลน[1]ม้าของรัชทายาทจึงอ่อนแรงจนลื่นตกลงมา
“องค์ชาย!” ไป๋ชิงเหยียนรีบจับแขนของรัชทายาทไว้ มองดูท่าทีหวาดหวั่นของรัชทายาท หญิงสาวบีบแขนของรัชทายาทแน่น ช่วยประคองเขา “องค์ชาย พระองค์คือรัชทายาท ยิ่งสถานการณ์วุ่นวายมากเท่าใด องค์ชายก็ยิ่งต้องมีสติมากเท่านั้นเพคะ เหยียนจะคุ้มครององค์ชายด้วยชีวิต องค์ชายเชื่อพระทัยเหยียน เชื่อพระทัยท่านราชครูถานและท่านย่าเถิดเพคะ พวกท่านสามารถควบคุมสถานการณ์รอองค์ชายกลับจัดการเรื่องทุกอย่างที่เมืองหลวงได้แน่เพคะ”
รัชทายาทกลืนน้ำลายลงคอ พยักหน้าน้อยๆ ปล่อยให้ไป๋ชิงเหยียนประคองเขาขึ้นไปบนหลังม้า
“หลูผิงอยู่จัดทัพที่นี่ ข้าและองค์รัชทายาทจะล่วงหน้าไปเตรียมการก่อน เจ้าพาทหารตามมาทีหลัง!” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยสั่ง
“หลูผิงน้อมรับบัญชาขอรับ!” หลูผิงกำหมัดรับคำ
“องครักษ์ไป๋ขึ้นม้า!” ไป๋ชิงเหยียนตะโกนเสียงดังลั่น จากนั้นก้าวขึ้นบนหลังม้า
องครักษ์ของรัชทายาทก้าวขึ้นหลังม้าเช่นเดียวกัน
“พี่หญิง!” จู่ๆ ต่งฉางเม่าก็ตะโกนเรียกไป๋ชิงเหยียน เขายื่นหอกเงินหงอิงที่สั่งให้คนไปหยิบมาให้ไป๋ชิงเหยียน
ไป๋ชิงเหยียนรับหอกเงินหงอิงมาไว้ในมือ มองไปทางต่งฉางเม่า
[1]โกลน ห่วงที่ห้อยลงมาจากอานม้าทั้งสองข้าง สำหรับสอดเท้าเวลาขึ้นม้าหรือขี่ม้า