ความคิดนี้ทำเอาเหยียนเฉียวหลัวตกตะลึงไปแล้ว
เมื่อมองดูใบหน้าที่คล้ายคลึงกับใบหน้าของตู๋กูซิงหลันอย่างที่สุด หัวใจของนางก็เกิดอาการเย็นวาบขึ้นมา
นางคิดมาตลอดว่า นังคนนี้ก็คือตัวแทนของตู๋กูซิงหลัน แต่คิดไม่ถึงว่า…..มันก็คือตู๋กูซิงหลัน!
คืนที่อยู่ในตำหนักหยู่เฉียนกงของต้าโจวนั้น ตู๋กูซิงหลันถูกล่อออกมา ….สตรีที่เกือบจะฆ่าศพคืนชีพเฒ่าผู้นั้นทิ้งไปก็คือตู๋กูซิงหลัน
จีเฉวียนเป็นคนพานางกลับไปพระตำหนักตี้หัวกงด้วยพระองค์เอง
ทำไมนางถึงได้คิดว่า ‘คนที่’ ถูกประคบประหงมอยู่ในตำหนักตี้หัวกงก็คือคนโปรดคนใหม่?
พอคิดมาถึงตรงนี้ นางก็หันกลับไปถลึงตาใส่เหยียนหยุนครั้งหนึ่ง
นางเข้าใจผิดไปตั้งแต่แรกแล้ว
เป็นเหยียนหยุนที่มาบอกนางเรื่องที่ว่าตำหนักตี้หัวกงมีคนโปรดคนใหม่
เหยียนหยุนมิได้สนใจสายตาของนาง น้องสาวที่มีพิษร้ายเช่นนี้ ไม่มีก็ถือว่าไม่เป็นไร
เหยียนเฉียวหลัวกำหมัดของตนเองแน่นด้วยความผิดหวัง นางคำรามออกมาด้วยหัวใจที่เจ็บช้ำแหลกสลาย “ตู๋กูซิงหลัน! เป็นเจ้า! เป็นเจ้าใช่หรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลันเอียงคอ ทำสีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา จากนั้นค่อยแสดงความหงุดหงิดปนงุนงงออกมา “เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน? ไทเฮาของพวกเราประทับอยู่ในเมืองหลวงอย่างสุขสบายต่างหากเล่า”
เหยียนเฉียวหลัวอยากจะเข้าไปกระชากใบหน้าของนาง นังนี่คือนังคนตอแหล!
นังคนน่าอายที่คิดจะเชิดหน้าชูคอขึ้นมา
นางได้แต่กัดริมฝีปากตนเองเอาไว้ จนกระทั่งมีเลือดไหลออกมา นางตกหลุมพลางอีกครั้งเสียแล้ว เป็นเพราะนังคนนี้!
ผู้คนทั้งหลายเมื่อได้ยินเสียงของเหยียนเฉียวหลัว ก็อดไม่ได้ที่จะมองดูตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง
ไทเฮา? แม่นางตุ๊กตาที่เหิมเกริมผู้นี้น่ะรึ? เป็นไปไม่ได้ละมั้ง!
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้เห็นตัวจริงมาก่อน แต่ก็รู้ว่าไทเฮาน้อยแห่งต้าโจวคือยอดโฉมงามที่อ้อนแอ้น นางคือสตรีที่งดงามจนทำให้อดีตฮ่องเต้เห็นแล้วต้องสิ้นไป
แม่นางตุ๊กตาผู้นี้ถึงแม้ว่าจะงดงาม แต่ว่ารูปร่างหน้าตาก็ออกจะไปในทางน่ารักน่าเอ็นดูมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น มีไทเฮาที่ไหนจะไม่รู้จักกาลเทศะ ใส่ชุดนางกำนัลออกมาวิ่งวุ่นวายอยู่ภายนอก เกรงว่าแม้แต่จีเฉวียนเองก็คงจะไม่ยินยอมให้ไทเฮาของแคว้นตนทำเช่นนั้นเป็นแน่
เหยียนเฉียวหลัวผู้นั้นคงจะถูกบีบคั้นจนร้อนรน ถึงได้เที่ยวกัดเขาไปทั่ว
แต่ว่าเหล่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต่างก็เกิดความลังเลขึ้นมา ไม่กล้าต่อต้านเหยียนเฉียวหลัวอย่างง่ายๆ เนื่องเพราะแม้ว่าพวกเขาจะได้กินยาระงับพิษเข้าไปแล้ว แต่ว่ารากหนามที่อยู่ในร่างกายยังไม่ถูกถอนออกมา
หากว่าเหยียนเฉียวหลัวเกิดตายไป ….พวกเขาก็คงจะต้องร่วมกลบฝัง
ภายใต้การบีบบังคับของเหยียนเฉียวหลัว พวกเขาจึงได้แต่แข็งขืนต่อต้านฮ่องเต้แห่งต้าโจว
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เคลื่อนไหว ก็เห็นตู๋กูซิงหลันกระตุกชายฉลองพระองค์ของจีเฉวียน กล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า
“ฝ่าบาทเพคะ ถึงอย่างไรบรรพบุรุษของข้าก็เป็นผู้ที่ถนัดขุดๆ ปลูกๆ พืชพรรณมาก่อน หนามแหลมที่อยู่ในร่างของเหล่าผู้กล้าในแผ่นดินทั้งหลายยังไม่ได้ถอนออกไป ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาไพศาลประทานอนุญาตให้บ่าวถอนหนามให้พวกเขาได้ไหมเพคะ?”
จีเฉวียนไหนเลยจะยอมให้นางไปลำบากลำบนเช่นนั้นได้กัน
“พอดีเลยบรรพบุรุษของนักพรตอู๋เจินก็เป็นพวกที่ชอบปลูกต้นไม้เหมือนกัน เรื่องนี้ก็มอบให้เขาจัดการเถอะ”
จากนั้นก็หันพระพักตร์ไปทอดพระเนตรอู๋เจิน “?”
ตายโหง…. เขาไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยแท้ๆ ….อยู่ดีๆ ทำไมความโชคร้ายถึงได้หล่นใส่หัว
ด้วยวิชาอาคมน้อยนิดของเขาจะไปจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร?
“โอ้ เง็กเซียนบนสวรรค์ ฝ่าบาทตรัสอย่างมีเหตุผล บรรพบุรุษของอู๋เจินทั้งสามรุ่นเป็นผู้ที่ชอบปลูกพืชจริงๆ งานหนักเช่นนี้มอบให้บุรุษไปกระทำย่อมเหมาะสมยิ่งแล้ว แม่นางน้อยผู้นั้นเพียงแต่คอยดูแลฝ่าบาทและพระสนมหยวนเฟยให้ดีก็พอแล้ว” นักพรตเคราขาวอู๋เทียนเจ้าอารามเทียนเก๋อกวนก้าวออกมา ทั้งยังผลักอู๋เจินออกไปด้านหน้า
อู๋เจินอยากจะหลั่งน้ำตา …..นับตั้งแต่ที่ท่านเจ้าอารามได้ทราบว่าไทเฮาน้อยเป็นสุดยอดท่านเซียนขึ้นมานั้น ก็ครุ่นคิดแต่จะหาวิธีอัญเชิญไทเฮาน้อยไปประทับที่อาราม
นี่ก็เห็นชัดเลยว่า คิดจะขายคนกันเองทิ้งไปง่ายๆ
อู๋เจินได้แต่ฝืนยิ้มออกมา “ใช่แล้วๆ เรื่องนี้ข้านักพรตถนัดอย่างยิ่ง”
ว่าแล้ว เขาก็ก้มหน้าก้มตาเดินออกไป ก่อนที่จะเดินไปอู๋เทียนก็รั้งเอาไว้ ส่งถุงมือไหมสีดำให้เขาคู่หนึ่ง แม้อู๋เจินจะสวมถุงมือเอาไว้ แต่ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร
เขานำเหล่าลูกศิษย์หน้าละอ่อนออกไปด้วย เริ่มให้ความช่วยเหลือถอนหนามให้กับคนที่ได้รับบาดเจ็บ
เมื่อมียันต์อยู่เป็นปึกๆ ประกอบกับถุงมือที่ท่านเจ้าอารามประทานมาให้ เรื่องราวก็คล้ายจะไม่ยากสักเท่าไหร
ผ่านไปครู่หนึ่งก็สามารถถอนหนามอันแรกออกมาได้
เหล่าผู้ได้รับบาดเจ็บเห็นดังนั้น ต่างก็พากันหันเหออกจากเหยียนเฉียวหลัว รุมเข้าไปหาอู๋เจินราวกับฝูงผึ้ง วิงวอนขอความช่วยเหลือ
ถึงตอนนี้สถานการณ์ทั้งหมดก็ชัดเจนออกมาแล้ว ในเมื่อไม่จำเป็นจะต้องเป็นศัตรูกับฮ่องเต้แคว้นต้าโจว พวกเขาย่อมไม่เอาด้วยอย่างแน่นอน
เหยียนเฉียวหลัวเห็นดังนั้น ก็โกรธเกรี้ยวแทบเป็นแทบตาย!
ทำไมนางถึงได้ไม่รู้มาก่อน ว่าอารามเทียนเก๋อกวนก็สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้เหมือนกัน?
“ครั้งนี้เป็นเพราะว่าฮ่องเต้ของพวกเราทรงมีพระเมตตา พวกเจ้าก็อย่าได้ทำตัวเป็นหมาจิ้งจอกตาขาว” ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้านข้างว่าต่อไป “นักพรตอู๋เจินของพวกเราความทรงจำดีมาก วันนี้ได้ทำการรักษาให้ผู้ใดไปบ้าง เขาย่อมต้องจดจำได้อย่างชัดเจน ถึงเวลาหากยังมีใครกล้าหาเรื่องขึ้นมา คนนั้นย่อมเป็นคนต่ำช้าอกตัญญูไม่รู้บุญคุณ ที่ใครๆ ก็สามารถจัดการได้”
“แม่นางกล่าวได้อย่างถูกต้อง พวกเราได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท ย่อมต้องจดจำเอาไว้ ภายหน้าหากว่าฮ่องเต้ต้าโจวมีพระบัญชาลงมา พวกเราก็พร้อมตอบสนอง” เหล่าผู้บาดเจ็บต่างรับคำ เวลาเช่นนี้ไหนเลยจะยังกล้าเผชิญหน้าได้อีก
ดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ พลังอำนาจของแคว้นต้าโจวได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้ว ดูท่าทางแผ่นดินอันกว้างใหญ่แห่งนี้คงจะต้องตกเป็นของแคว้นต้าโจวในไม่ช้าก็เร็ว
พวกเขายังจะต่อสู้อย่างไร้ประโยชน์ไปอีกทำไม?
เห็นชัดอยู่แล้วว่าสถานการณ์ทั้งหมดในตอนนี้ ถูกจีเฉวียนควบคุมเอาไว้หมดแล้ว
นางกำนัลน้อยผู้เหิมเกริมที่ยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ ก็ราวกับเป็นเจ้าของวังหลังตัวจริง
หากมิใช่ว่านางเจ้าเนื้อไปทั้งตัว ผู้คนทั้งหลายก็คงคิดว่านางกับไทเฮาน้อยจะต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน
ยามนี้ผู้คนต่างก็พากันให้ความเคารพยำเกรงนางขึ้นมา นางกำนัลน้อยที่ฮ่องเต้แห้งต้าโจวทรงโปรดปรานอย่างที่สุดผู้นั้น นับตั้งแต่วินาทีที่ปรากฏตัวขึ้นมา สายพระเนตรของฝ่าบาทก็ไม่เคยคลาดไปจากตัวนางเลย
สายพระเนตรที่แสดงถึงความโปรดปรานนั้น ชัดเจนอย่างยิ่ง
เหยียนเฉียวหลัวใกล้จะระเบิดเป็นควันออกมาอยู่แล้ว มือข้างหนึ่งของนางเกาะกุมท้องเอาไว้ ซี่โครงหักไปแล้ว แม้จะเจ็บมากเพียงไร ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับความเจ็บใจที่นางได้รับ
นางหลงชอบจีเฉวียนมานานหลายปี อุทิศตนไปเพื่อเขาไปตั้งมากมาย เขากลับไม่เคยมองมาที่นางเลยสักนิด
แต่ว่าสายพระเนตรที่เปี่ยมไปด้วยความโปรดปรานนั้น….กลับเป็นของนังนั่นทั้งหมด!
นางกำหมัดทั้งสองอย่างแนบแน่น สายตาเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น
ในขณะที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ในทะเลสาบที่อยู่ด้านหลังของนาง มีหมอกดำกำจายออกมาสายหนึ่ง มันค่อยๆ คืบคลานจากปลายเท้าของนางเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ
เหยียนเฉียวหลัวที่เดิมที่ก็มีแต่ความคับข้องใจอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว ยามนี้ความแค้นทั้งหมดยิ่งทวีกำลังขึ้นมา
เสียงกระดูกสันหลังของนางลั่นดังกรอบแกรบ เส้นเลือดดำที่ลำคอก็ปูดโปนเป็นสีดำคล้ำขึ้นมา
ในสมองมีเสียงหนึ่งดังขึ้นภายใน “เกลียดสิ…เกลียดให้มากๆ …พวกมันล้วนสมควรตาย”
เหยียนเฉียวหลัวโคลงศีรษะ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าในร่างกายมีพละกำลังมหาศาลขึ้นมา
พลังนั้นเอ่อท้นไปทั่วทั้งร่าง
นางสบัดมือออกไป ก็เกิดเสียงลมฟาดออกมา พลันมีดาบสีดำเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นจากใจกลางฝ่ามือของนาง
ดาบสีดำเล่มนั้นเปี่ยมไปด้วยไอดำที่เข้มข้น ดาบนี้ถึงกับงอกออกมาจากใจกลางฝ่ามือของนาง
พอนางเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างก็กลายเป็นสีแดงดุจเลือด
ในดวงตาของนางมองเห็นแต่เพียงตู๋กูซิงหลันผู้เดียวเท่านั้น
ในขณะที่ผู้คนทั้งหลายยังไม่ทันได้รู้สึกตัว ดาบเล่มนั้นก็พุ่งเข้าใส่ตู๋กูซิงหลัน
ความเร็วนี้เสมือนดั่งสายฟ้าฟาด เพียงวูบเดียวก็พุ่งถึงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน