ตอนที่ 637 ป้องกันศัตรู
พวกเขาก้าวขึ้นหลังม้า ควบทะยานไปตามถนนยาวที่ไร้เงาของมนุษย์สักคน มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศตะวันออก
ประตูเมืองบานใหญ่ของทิศตะวันออกเปิดกว้าง ไป๋ชิงเหยียนที่กำธนูเซ่อรื้ออยู่ในมือขี่ม้าเข้าไปในเมืองช้าๆ หยาดฝนหยดกระทบลงบนชุดเกราะของหญิงสาวจนติดเป็นหยาดน้ำเม็ดเล็ก ฝูรั่วซีที่แขนขาดข้างหนึ่งและทหารค่ายผิงอันจำนวนสองหมื่นนายขี่ม้าตามหลังไป๋ชิงเหยียนเข้าไปด้านในอย่างเอิกเกริก พวกเขาเต็มไปด้วยไอสังหารที่ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าต่อกรด้วย
แม่ทัพค่ายผิงอันที่เพิ่งออกมาจากศาลต้าหลี่กระตุกบังเหียนม้าให้หยุดลงอย่างกะทันหัน ม้าหยุดนิ่งอยู่กับที่
หลิ่วผิงเกาแม่ทัพระดับสี่ของกองทัพผิงอันกำบังเหียนในมือแน่น ม้าศึกหมุนวนไปมาอยู่หลายรอบจึงสงบนิ่งอยู่กับที่ เขาเบิกตาโพลงมองไปด้านหน้า…
สตรีในชุดเกราะบนหลังม้าศึกที่อยู่ด้านหน้าสุดของขบวนเต็มไปด้วยไอสังหารและความดุดัน แม้สตรีผู้นั้นจะผอมเพรียว ทว่า ความแข็งแกร่งของนางได้มาจากการฝึกฝนในสนามรบจริงไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ความแข็งแกร่งของนางมาจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณ หญิงสาวดูอาจหาญและสง่างาม จนผู้คนไม่กล้ามองข้าม
ไม่รู้ว่าเขาเปียกฝนจนรู้สึกหนาวเหน็บหรือไม่ บัดนี้เขาถึงรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาเช่นนี้ แม่ทัพหลิ่วผิงเกาตะโกนเสียงดังลั่น “นั่นคือองค์หญิงเจิ้นกั๋วและแม่ทัพฝู! นั่นแม่ทัพฝู!”
บรรดาแม่ทัพค่ายผิงอันมองเห็นร่างของฝูรั่วซีผ่านสายฝนที่ตกลงมา ความรู้สึกของพวกเขาเอ่อล้นขึ้นมาทันที
“แม่ทัพฝูจริงๆ ด้วย!” แม่ทัพค่ายผิงอันตะโกนไปยังทิศที่แม่ทัพฝูอยู่ “แม่ทัพฝู! องค์หญิงเจิ้นกั๋วเป็นคนช่วยแม่ทัพฝูไว้อย่างแน่นอน”
“ตอนนี้ซิ่นอ๋องบุกเข้าวังไปก่อกบฏ องค์หญิงเจิ้นกั๋วให้แม่ทัพฝูนำทัพค่ายผิงอันไปช่วยเหลือฝ่าบาท ทำความดีลบล้างความผิด แม่ทัพฝูของพวกเราจะมีโอกาสรอดแล้วใช่หรือไม่”
“ไป พวกเรารีบไปเถิด!” หลิ่วผิงเกาควบม้าทะยานเข้าไปหากองทัพที่กำลังเดินทางเข้ามาในประตูเมืองทิศตะวันออกอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลิ่วผิงเกาเห็นไป๋ชิงเหยียนยกมือส่งสัญญาณให้กองทัพหยุดเคลื่อนที่ เขารีบกระโดดลงจากหลังม้าโดยไม่รอให้ม้าหยุดสนิท จากนั้นคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น กำหมัดคารวะ “คารวะองค์หญิงเจิ้นกั๋ว แม่ทัพฝู!”
“ท่านแม่ทัพ!” แม่ทัพค่ายผิงอันบางคนขอบตาร้อนผ่าว
ไป๋ชิงเหยียนมองดูบรรดาแม่ทัพค่ายผิงอันที่ต่างคุกเข่าหันหน้าไปทางฝูรั่วซีท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำ หญิงสาวนึกถึงกองทัพไป๋ขึ้นทันที…
บนโลกนี้ นอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาในสนามรบคือความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและผูกพันกันที่สุด
ตอนที่หลิวฮ่วนจางทรยศท่านปู่ ไป๋ชิงเหยียนเคยคิดว่าถ้อยคำนี้ของท่านปู่ไม่ใช่ความจริง ทว่า เมื่อนางได้พบกับบรรดาแม่ทัพและทหารของกองทัพไป๋ นางจึงรู้ว่าท่านปู่กล่าวถูกแล้ว
บัดนี้เมื่อเห็นบรรดาทหารกองทัพผิงอันจงรักภักดีต่อฝูรั่วซีถึงเพียงนี้ ไป๋ชิงเหยียนยิ่งรู้สึกว่านางไม่ควรสงสัยในความจริงใจของสหายร่วมกองทัพเพียงเพราะหลิวฮ่วนจางเพียงคนเดียว ใต้หล้านี้ยังมีคนที่ซื่อสัตย์และจริงใจอย่างเสิ่นคุนหยาง เว่ยจ้าวเหนียน กู่เหวินชัง เสิ่นเหลียงอวี้และหลิ่วผิงเกาอยู่อีกมากมาย แน่นอนว่าย่อมมีคนเช่นหลิวฮ่วนจางอยู่เช่นเดียวกัน
คนจริงใจย่อมมีมากกว่าคนถ่อย มิเช่นนั้นเหตุใดในกองทัพไป๋จึงมีคนเช่นหลิวฮ่วนจางอยู่เพียงคนเดียว แม่ทัพคนอื่นล้วนสละชีพเพื่อบ้านเมือง เพื่อปกป้องคุณชายของตระกูลไป๋
ฝูรั่วซีกระตุกม้าให้ก้าวไปด้านหน้าเล็กน้อยจนอยู่เคียงข้างกับไป๋ชิงเหยียน “วันนี้ทุกคนของค่ายผิงอันจงฟังคำสั่งขององค์หญิงเจิ้นกั๋ว ติดตามองค์หญิงเจิ้นกั๋วเข้าไปช่วยเหลือฝ่าบาทและองค์รัชทายาทในวังหลวง!”
“ขอรับ!”
บรรดาทหารค่ายผิงอันตะโกนลั่น “ติดตามรับใช้องค์หญิงเจิ้นกั๋วด้วยชีวิต!”
เมื่อแม่ทัพคุ้มกันประตูเมืองเห็นไป๋ชิงเหยียนลงมาจากหลังม้า เขาจึงเริ่มกังวลขึ้นมาอีกครั้ง องค์หญิงเจิ้นกั๋วผู้นี้ยังไม่รีบเข้าไปช่วยเหลือองค์รัชทายาทในวังอีกหรือ เหตุใดจึงลงมาจากหลังม้าอีก!
ฝูรั่วซีลงมาจากหลังมาเช่นเดียวกัน เขารีบตามหลังไป๋ชิงเหยียนไปติดๆ
บรรดาแม่ทัพค่ายผิงอันรีบขยับเข้าไปใกล้ไป๋ชิงเหยียน
ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ดูร้อนรน ดูเหมือนว่ายิ่งอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานก็ยิ่งมีสติ หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงรวดเร็วและมั่นคง “แม่ทัพหลิ่วผิงเกานำทหารสองพันนายควบคุมประตูวังทิศตะวันออกเอาไว้ แม่ทัพพานเจี้ยนเหล่ยนำทหารสองพันนายไปควบคุมประตูวังทิศตะวันตก ข้าและแม่ทัพฝูรั่วซีจะพาทหารบุกเข้าไปทางประตูอู่เต๋อเพื่อรับมือกับพวกกบฏ!”
หลิ่วผิงเกาพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “ประตูทิศเหนือเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“พระราชวังตั้งอยู่ทางทิศเหนือหันหน้าไปทางทิศใต้ แม่ทัพฟ่านอวี๋ไหวต้องพาทหารรักษาพระองค์และหน่วยตรวจเมืองไปคุ้มกันอยู่หน้าตำหนักของฮ่องเต้แน่นอน พวกกบฏไม่มีทางหนีออกไปทางประตูทิศเหนือแน่!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างมั่นใจ “ฝากแม่ทัพทั้งสองควบคุมประตูทิศตะวันออกและทิศตะวันตกด้วย”
หลิ่วผิงเกาและพานเจี้ยนเหล่ยกำหมัดรับคำ
ทุกคนก้าวขึ้นหลังม้า มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงอย่างฮึกเหิม ไม่ได้ดูร้อนใจอยากรีบเข้าไปช่วยฮ่องเต้แม้แต่น้อย
ไป๋ชิงเหยียนกำลังรอ…รอเวลาที่ซิ่นอ๋องซึ่งอ้างว่านำทัพหนานตูเข้าไปช่วยเหลือฮ่องเต้ต่อสู้กับกองกำลังรักษาพระองค์ของซิ่นอ๋องสักระยะหนึ่งแล้ว หญิงสาวค่อยนำทัพไปจับกุมตัวพวกเขาทั้งหมด เช่นนี้จะได้ลดโอกาสบาดเจ็บและล้มตายของทหารค่ายผิงอันด้วย
ประตูอู่เต๋อ
เวลานี้คนของซิ่นอ๋องควบคุมประตูอู่เต๋อที่ถูกทำลายไว้ได้แล้ว ประตูเก่าแก่ถูกกระแทกและฟันจนเกิดรอยมากมาย ประตูบานหนึ่งถูกกระแทกจนเกือบหลุดออกมา ไม่สามารถปิดสนิทได้อีกแล้ว
หน้าประตูวังหลวงเต็มไปด้วยศพที่ถูกธนูปักเต็มร่าง เลือดสดไหลปะปนกับน้ำฝนออกมาจากด้านในประตูวัง ไหลลงไปในคูน้ำเป็นสาย ในน้ำเลือดมีเศษไม้และตอไม้ปะปนอยู่ด้วย
น้ำฝนที่ตกลงบนพื้นบริเวณกลองเติงเหวินทำให้เลือดที่เปื้อนอยู่บนพื้นสาดไปโดนด้านหน้าของกลองจนกลายเป็นสีแดงสด
น้ำฝนชะล้างเลือดที่ปกคลุมไปทั่ววังหลวงออกไม่หมด ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
ทหารกองทัพหนานตูที่กำลังเก็บกวาดบนกำแพงเมืองโยนร่างของทหารรักษาพระองค์ลงจากกำแพง บนพื้นเต็มไปด้วยเลือดสด
แม่ทัพหนานตูซึ่งอยู่บนกำแพงมองผ่านสายฝนเห็นกองทัพมากมายกำลังมุ่งหน้ามาทางวังหลวงราวกับน้ำป่าที่ไหลหลากท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำมาแต่ไกล เสียงกีบม้า เสียงเท้าคนและเสียงเกราะดังระงมท่ามกลางสายฝนราวกับวัตถุหนักที่ร่วงลงบนพื้นดิน แม่ทัพหนานตูรู้สึกว่ากำแพงเมืองที่เขายืนอยู่เริ่มสั่นคลอนเล็กน้อย
แม่ทัพผู้นั้นก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าว สองมือกำกำแพงเมืองเก่าแก่แน่น เบิกตาโพลง จากนั้นตะโกนขึ้นอย่างหวาดหวั่น “เตรียมตัว! พลธนูเตรียมพร้อม! เร็ว! รีบส่งคนไปรายงานเสียนอ๋อง…มีกองทัพจำนวนมากบุกมาโจมตี! เร็ว รีบใช้ของหนักกั้นประตูเมืองเอาไว้ เร็วเข้า!”
ทหารหนานตูที่กำลังเก็บกวาดอยู่บนกำแพงเมืองรีบหยิบธนูขึ้นมาอย่างร้อนรน พวกเขาง้างสายธนูเล็งไปทางล่างกำแพงนิ่ง
ทว่า เมื่อกองทัพหนานตูเห็นขบวนกองทัพที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ได้ยินเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นของพวกเขา ทหารหนานตูก็รู้ทันทีว่ากองทัพมีจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นนาย เสียนอ๋องทิ้งทหารหนานตูไว้เฝ้าประตูเมืองเพียงห้าร้อยนายเท่านั้น พวกเขาจะต้านทานคนพวกนั้นได้อย่างไรกัน!
ยังไม่ทันเผชิญหน้า กองทัพหนานตูก็เริ่มหวาดกลัวเสียแล้ว พวกเขาจะป้องกันศัตรูได้อย่างไรกัน!
แม่ทัพหนานตูมองเห็นลางๆ ว่าผู้ที่นำทัพทหารเหล่านี้เข้ามาคือสตรีร่างผอมเพรียวในชุดเกราะ เขานึกถึงองค์หญิงเจิ้นกั๋วขึ้นมาทันที!
หากองค์หญิงเจิ้นกั๋วมา นางต้องพาทหารสองหมื่นนายของค่ายผิงอันมาด้วยแน่ๆ
สองหมื่น…
เมื่อคิดถึงจำนวนนี้ แม่ทัพหนานตูขาอ่อนขึ้นมาทันที เขารีบใช้มือยันกำแพงถึงจะพยุงร่างของตัวเองเอาไว้ได้ ในใจรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ที่กำลังจะมาเยือน
กองทัพหนานตูเข้ามาในเมืองหลวงแค่หนึ่งหมื่นนาย ก่อนหน้านี้เสียนอ๋องคิดว่าเมื่อซิ่นอ๋องและองค์รัชทายาทพ่ายแพ้ย่อยยับทั้งคู่ ทหารหนึ่งหมื่นนายเพียงพอที่จะจัดการกับคนที่เหลือในวังหลวงแล้ว
ผู้ใดจะคิดว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วจะออกจากเมืองไปนำทัพค่ายผิงอันเข้ามาได้สำเร็จ!
เสียงฝีเท้าที่ดังสนั่นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แม่ทัพหนานตูเครียดจนเส้นเลือดปูด