“อ้ายโย่ว!” วิญญาณทมิฬตกใจจนตาถลน มันรู้สึกขนลุกไปทั้งร่างจนต้องใช้มือสั้นๆ ของมันตะครุบปากเอาไว้
ตู๋กูซิงหลันเองก็ยังไม่ทันได้มีปฏิกริยาใดๆ สำหรับจีเฉวียนแล้ว ตัวนางยังมีค่ามากกว่าสมบัติที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้เหล่านั้นอีกหรือ?
“ตู๋กูซิงหลัน เจ้ารับปากเราเอาไว้แล้ว ว่าจะไม่ไปจากเราแม้แต่ครึ่งก้าว” จีเฉวียนยึดนางเอาไว้อย่างแน่นหนา ดวงพักตร์ที่หมดจดงดงามนั้นก็มิได้เย็นชาเป็นภูเขาน้ำแข็งอีกต่อไป
เขาดูเหมือนจะตื่นตระหนกเข้าแล้ว
เนื่องเพราะใช้พละกำลังมากเกินไป ปากแผลตรงหัวไหล่จึงยิ่งฉีกมากกว่าเดิม เลือดไหลออกมาไม่ยอมหยุด
ตู๋กูซิงหลันเห็นดวงเนตรทั้งสองของเขามีแต่เส้นเลือดแดงเต็มไปหมด ก็ถึงขนาดพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“เดิมทีนางก็ไม่ใช่คนของที่นี่ ไยเจ้าจะต้องรั้งเอาไว้?” ในตอนนั้นเอง เสินฟางที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้นมา
พอเขาส่งเสียงก็พุ่งมาถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน เมื่อสะบัดชายแขนเสื้อครั้งหนึ่งก็เชื่อมช่องแตกบนฝาโลงทองแดงกลับเข้ามา
หมอกสีดำรอบกายของเขาพากันเคลื่อนไหว ดอกพลับพลึงแดงล่องลอยอยู่กลางสายหมอกดำ คล้ายจะต้องการดึงตู๋กูซิงหลันเข้าไปกักขังเอาไว้
เขาคิดไม่ถึงว่าในโลกใบนี้จะมีผู้ที่สามารถบุกเข้ามาถึงด้านในได้
ทะเลสาบแห่งนี้เดิมทีก็เป็นแดนต้องห้าม บนร่างของบุรุษผู้นี้ไม่มีลูกแก้ววารี ทั้งยังได้รับบาดเจ็บมาก่อน ที่สามารถทนมาได้จนถึงตอนนี้ก็ต้องนับว่าเกินกว่าคนปกติไปมากแล้ว
ดวงตาสีขาวของเสินฟางมองดูจีเฉวียนอย่างพิจารณา เขายื่นมือออกไป คิดจะดึงตัวตู๋กูซิงหลันกลับมา
เขารอคอยอยู่ในโลงทองแดงใต้ทะเลสาบแห่งนี้มาตั้งนาน ก็เพื่อจะได้กลับไปยังโลกปัจจุบัน
ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ใครก็ตามมาทำลายโอกาสทิ้ง
ทันทีที่เสินฟางเอ่ยวาจา จีเฉวียนก็หันไปมองเขาครั้งหนึ่ง สายพระเนตรที่กวาดออกไปนี้เย็นยะเยือกสุดขีด
แทบจะผนึกอากาศโดยรอบของเขาให้แข็งค้างไปด้วย ราวกับว่าพระองค์เองก็คือขุมนรกที่เหน็บหนาวที่สุดแห่งหนึ่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เสินฟางหรี่ดวงตาลง ยามที่มองดูใบหน้าของพระองค์ ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย ในสมองของเขาคล้ายจะมีภาพบางอย่างผ่านเข้ามา
แต่เพียงแค่แวบเดียว ภาพนั้นก็สลายตัวไป
“เจ้าคือตัวอะไร?” จีเฉวียนยังคงคว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
เพียงแต่สายตาที่มองไปยังเสินฟางเปี่ยมไปด้วยแววอันตราย
พระองค์มิได้ประหลาดใจที่ก้นในทะเลสาบปรากฏบุรุษผิวขาวโฉมงามศีรษะโล้นและยังมีดอกพลับพลึงผลิบานอยู่บนร่าง
เพียงว่าหากเจ้านั่นคิดจะแตะต้องตู๋กูซิงหลัน ก็อย่าได้คิดฝัน
“ข้ามีนามว่าเสินฟาง เป็นหนึ่งในสิบยมราช” เสินฟางแนะนำตนเอง “ตอนนี้เจ้าได้รู้จักฐานะของข้าแล้ว ยังไม่รีบซุกหัวหลบหนีไปอีก”
ไม่ต้องถามให้มากความก็สามารถทราบได้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นคนสำคัญของตู๋กูซิงหลัน
ตอนนี้เขาไม่ต้องการให้เกิดประเด็นอะไรมากกว่าเดิม ขอเพียงตู๋กูซิงหลันใช้พลังของหยกสรรพชีวิตเปิดเส้นทางกลับไปยังโลกปัจจุบันได้ก็เป็นพอ
ดังนั้นกับคนที่นางไปรู้จักมักคุ้นในโลกใบนี้ เขาก็ใจกว้างพอที่จะมีเมตตาปลดปล่อยไปสักครั้ง
หากว่าคนผู้นั้นมีปฏิกริยารวดเร็วพอ รู้จักหลบหนีให้ไว ก็คงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้
พอได้ฟังประโยคนั้น ร่างของฮ่องเต้ก็สาดรังสีสังหารออกมา
พระองค์เอาตัวเข้าขวางอยู่ระหว่างตู๋กูซิงหลันกับเสินฟาง ใช้ร่างของพระองค์เองบดบังตู๋กูซิงหลันเอาไว้ทั้งหมด แทนที่จะตรัสอะไรออกมา กลับขยับปลายพระหัตถ์วูบหนึ่ง ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ‘วูบวาบ’ ครั้งหนึ่ง
ดาบน้ำแข็งเหินเข้ามาจากรอยแตกบนฝาโลง หล่นลงบนพระหัตถ์
ปลายดาบของจีเฉวียนชี้ไปที่ลำคอของเสินฟาง เมื่อดาบอยู่ในพระหัตถ์ก็สร้างละอองหิมะออกมา ละอองหิมะเหล่านั้นขวางหมอกดำจากเสินฟางเอาไว้ ทันใดนั้นหมอกสีดำก็เริ่มจับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง
หิมะที่หนาวเย็นกำจายออกไป ทำให้ดอกพลับพลึงแดงของเสินฟางเริ่มจับตัวแข็ง เพียงแค่ขยับพระหัตถ์เบาๆ ก็ทำให้ดอกไม้ที่กลายเป็นน้ำแข็งเหล่านั้นหักสะบั้นกลายเป็นเศษน้ำแข็งไป
“เราคือโอรสสวรรค์แห่งต้าโจว ผู้ที่จะปกครองแผ่นดินทั้งหมดนี้ในอนาคต ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเทพเซียนจากสวรรค์ชั้นเก้า หรือจอมมารจากนรก สำหรับเราแล้ว ก็ต้องรับใช้เราดั่งขุนนางอยู่ดี!”
ตรัสแล้วดาบของพระองค์ก็แทงลึกเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง เจาะเข้าไปในลำคอของเสินฟางเล็กน้อย
เสินฟางเป็นถึงจอมมารผู้หนึ่ง เขาอยู่ในโลงทองแดงมาเกือบหนึ่งปี ถึงแม้ว่ายังไม่อาจฟื้นฟูจนมีพลังเหมือนดั่งในโลกก่อน แต่ก็สามารถฟื้นคืนมาได้ห้าหกส่วนแล้ว
แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยหวาดกลัวความเย็น โดยเฉพาะความเย็นที่มากับไอหยิน
แต่ว่าครั้งนี้ เขาถึงกับรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แทรกซึมเข้าไปถึงแก่นกระดูก
เสินฟางชักจะประหลาดใจแล้ว สายตาที่มองไปยังจีเฉวียนยิ่งทวีความลึกล้ำกว่าเดิม ต้องมีความมั่นอกมั่นใจถึงเพียงไร ถึงได้ทำให้เขาสามารถกล่าววาจาจองหองเช่นนี้ออกมาได้?
จะให้จอมมารมาเป็นขุนนางของตน? ฮ่องเต้ที่เป็นเพียงคนธรรมดากลับกล้าพูดแบบนี้ก็เป็นเพียงแค่คนโง่ที่ฝันกลางวันเท่านั้น
“หึ หึ คำพูดสวยหรู ไม่ว่าใครก็สามารถกล่าวออกมาได้” เสินฟางพูดพลางยื่นมือออกมาคว้าดาบน้ำแข็งของจีเฉวียนเอาไว้
นิ้วของเขาขาวราวหิมะ เสมือนกับว่ามีหิมะเกาะอยู่ ทันทีที่สัมผัสถูกดาบน้ำแข็งของจีเฉวียนก็เกิดเสียงบาดแก้วหูออกมา
เสียงนั้นเหมือนกับโลหะกระทบกันอย่างไรอย่างนั้น
พอปลายนิ้วสัมผัสลงไป มือของเสินฟางก็ยิ่งปรากฏหมอกสีดำที่มืดครึ้มออกมา จากปลายดาบก็ค่อยๆ กลืนกินดาบของจีเฉวียนเข้าไปทีละนิ้วๆ
ในเมื่อคนผู้นี้มาหาเรื่องตายเอง เขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต่อไป
เขาคือจอมมาร ไม่ใช่ผู้ใจบุญ ให้โอกาสไปครั้งหนึ่งก็ต้องถือว่าเป็นเมตตาอันยิ่งใหญ่แล้ว ในเมื่อให้โอกาสแล้วยังไม่ต้องการ เขาก็จะไม่มีทางมอบให้เป็นครั้งที่สองอีก
สีพระพักตร์ของจีเฉวียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง บาดแผลบริเวณหัวไหล่ยิ่งฉีกกว้างกว่าเดิม เลือดสดมากมายไหลออกมาไม่ยอมหยุด แทบจะย้อมหัวไหล่ของเขาไปทั้งหมด
ไอ้หนุ่มหน้าขาวในโลงศพใต้ทะเลสาบ นับว่ามีฝีมือร้ายกาจทีเดียว
อย่างน้อยๆ ….ก็ต้องนับว่าติดอันดับในบรรดาผู้ที่เขาเคยประมือด้วยแล้ว
เขากำดาบเอาไว้แน่น กลางฝ่ามือปรากฏหมอกดำออกมาเช่นกัน ในขณะที่หมอกดำของเสินฟางกำลังคืบคลานเข้ามา หมอกดำของจีเฉวียนก็พุ่งเข้าปะทะกับเขาเช่นกัน
“ตูม!”
ภายในโลงศพเกิดเสียงก้องกังวาน ยามที่หมอกดำทั้งสองปะทะกัน ทั่วทั้งโลงทองแดงก็ระเบิดเสียงกึกก้องบาดหูออกมา
ในขณะที่ด้านนอกของโลงศพ น้ำในทะเลสาบที่พึ่งจะสงบลงไป ก็เกิดคลื่นอีกครั้ง เกิดเป็นน้ำหมุนวนรอบแล้วรอบเล่าผุดขึ้นจากใจกลางทะเลสาบ ฉีกทึ้งทุกสิ่งที่มันดูดกลืนเข้าไป
เหล่านักพรตที่ลงไปในน้ำ ตอนนี้ต่างก็ไม่กล้าเคลื่อนไหววู่วาม
สถานการณ์ใต้น้ำสับสนวุ่นวายอย่างมาก ….ฮ่องเต้ต้าโจวและนางกำนัลน้อยผู้นั้นคงจะจบสิ้นไปแล้วล่ะมั้ง?
ผู้คนต่างก็คิดกันไป
มีแต่เหล่าทหารและนักพรตจากต้าโจวเท่านั้นที่ยังคงไม่ยอมเลิกลา
อิ๋งฉีและนักพรตจากต้าฉินยังคงติดตามกลุ่มของแคว้นต้าโจว ไม่กล้าคลายความระมัดระวัง
………………
ภายในโลงทองแดง หลังจากที่ขุมพลังของทั้งสองปะทะกันแล้ว กลีบดอกพลับพลึงบนใบหน้าของเสินฟางก็ถูกเขย่าจนกลีบร่วงลงมาส่วนหนึ่ง
ทางด้านจีเฉวียน นอกจากปากแผลที่มีเลือดไหลมากกว่าเดิมแล้ว ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
พลังของเขา….นี่มัน….พลังไอหยินที่แข็งแกร่งอย่างที่สุดผสานเข้ากับพลังของหยกสรรพชีวิต
ในโลกนี้ นอกจากตู๋กูซิงหลันแล้ว ยังมีคนที่สามารถควบคุมพลังของหยกสรรพชีวิตได้อย่างชำนิชำชาญอยู่อีกด้วย?
เสินฟางอดไม่ได้ที่จะมองดูจีเฉวียนอย่างพิจารณาอีกครั้ง
ฮ่องเต้ของเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่ง กลับสามารถใช้คาถาอาคม พลังตบะที่ฝึกฝนนั้นถึงระดับที่ผู้คนไม่อาจจะมองออกได้
คราวนี้สีหน้าของเสินฟางถึงกับเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
คนผู้นี้ …..เป็นผู้ใดกันแน่?
จีเฉวียนยืนอยู่ข้างหน้าตู๋กูซิงหลัน แผ่นหลังของพระองค์เหยียดตรง ตรัสทั้งๆ ที่หันหลังให้กับตู๋กูซิงหลันว่า “เจ้าเห็นหรือยัง เราสามารถปกป้องเจ้าได้”
ตู๋กูซิงหลันมองดูแผ่นหลังของเขา เห็นในพระหัตถ์มีหมอกสีดำพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง เลือดสดๆ ของเขาเปียกโชกไปทั้งแขนเสื้อ ไหลลงมาจากชายเสื้อเป็นหยดๆ อยู่ตลอดเวลา
ในใจของนางเกิดความเจ็บปวด หมอกสีดำที่มีละอองทองในมือหยุดลงในที่สุด