ตอนที่ 657 ได้คืบเอาศอก
ภายในตำหนักที่ว่างเปล่าเต็มไปด้วยเสียงสะอื้นของชิวกุ้ยเหริน ฮ่องเต้เห็นใบหน้าอาบน้ำตาของชิวกุ้ยเหรินเต็มไปด้วยความห่วงใย เขาจึงใจอ่อน เอื้อมมือไปลูบหลังมือของชิวกุ้ยเหรินเบาๆ อย่างปลอบโยน “เอาเถิด หยุดร้องไห้ได้แล้ว เราจะปกป้องเจ้าเอง”
ไม่นานเกาเต๋อเม่าที่ได้รับคำสั่งให้นำผ้าขาวไปมอบให้ฮองเฮาที่วังหลังเดินเข้ามาในตำหนัก เขาทำความเคารพฮ่องเต้อย่างนอบน้อมจากนั้นกล่าวอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท เมื่อครู่องค์รัชทายาททรงมีรับสั่งให้บ่าวนำหมอหลวงและผ้าขาวไปที่วังหลัง หมอหลวงยังไม่ทันตรวจชีพจร ฮองเฮาก็ทรงยอมรับว่าแสร้งตั้งครรภ์พ่ะย่ะค่ะ นางฉลององค์ในชุดหงส์ประทับอยู่บนบัลลังก์หงส์ ตรัสว่าขอให้ฝ่าบาททรงเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพระราชทานยาพิษให้แก่นาง ไว้หน้านางสักนิดพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮาตรัสว่านางมีศักดิ์เป็นถึงฮองเฮาไม่อาจแขวนคอ ทำให้คอมีตำหนิจนเสียศักดิ์ศรีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้จึงโมโหจนหน้าอกสั่นไหวอย่างรุนแรง เจ็บแปลบที่หน้าอกเป็นพักๆ
“ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะเพคะ!” ชิวกุ้ยเหรินรีบเข้าไปลูบอกให้ฮ่องเต้ “พระวรกายสำคัญที่สุดนะเพคะ”
“ศักดิ์ศรีอย่างนั้นหรือ นางยังมีหน้ามากล่าวเรื่องศักดิ์ศรีกับเราอีกอย่างนั้นหรือ” ฮ่องเต้ปัดกระโถนที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ข้างเตียงร่วงลงบนพื้น “เราให้นางมีอวัยวะครบสามสิบสองส่วนก็ถือว่าไว้หน้านางมากแล้ว นางได้คืบจะเอาศอกอีกหรือ!”
บรรดาขันทีและนางกำนัลคุกเข่าลงบนพื้นอย่างหวาดกลัว แม้แต่ชิวกุ้ยเหรินยังรีบก้มศีรษะแนบพื้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเช่นเดียวกัน
ฮ่องเต้ใช้มือที่ผอมแห้งของตัวเองหยัดกายขึ้นอย่างสั่นเทา ขบกรามแน่น ดวงตาวาวโรจน์ “ไปบอกนางอสรพิษนั่นว่าหากนางไม่ยอมปลิดชีพตนเอง เราจะให้คนไปรัดคอนางให้ตายเอง!”
เกาเต๋อเม่ารีบรับคำ จากนั้นถือผ้าขาวเดินออกไปจากตำหนักอย่างรวดเร็ว
ท้องฟ้ามืดสนิท ฮองเฮานั่งมองดูแสงไฟที่แขวนอยู่กลางตำหนักของตัวเองอยู่บนบัลลังก์หงส์นิ่ง
ภายในตำหนัก…เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของหมัวมัวและนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า พวกนางต่างขอร้องให้ฮองเฮาไปสำนักผิดและอ้อนวอนฮ่องเต้
สายลมพัดผ่านเข้ามาในตำหนัก แสงไฟจากตะเกียงดับลงชั่วครู่จากนั้นส่องแสงขึ้นอีกครั้ง
ฮองเฮาได้ยินเสียงอาวุธและเกราะกระทบกันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นางนั่งหยัดกายตรงเอามือกุมที่วางแขนของบัลลังก์อย่างวางมาด
เกาเต๋อเม่าพาองครักษ์มาที่ตำหนักอีกครั้ง เขาทำความเคารพฮองเฮาอย่างนอบน้อม จากนั้นกล่าวขึ้น “ฮองเฮา ฝ่าบาททรงมีรับสั่งว่าหากฮองเฮาไม่ยอมปลิดชีพองค์เอง ให้คนลงมือได้เลย ฮองเฮาโปรดลงมือเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”
ฮองเฮาลูบท้องของตัวเองอย่างแผ่วเบา ยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าคิดว่าฮ่องเต้จะเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้มอบยาพิษให้ข้าเสียอีก! ในเมื่อทรงไม่ยินดีก็ช่างเถิด…”
ฮองเฮาเงยหน้าขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความทะนง “เกาเต๋อเม่า!”
เกาเต๋อเม่าเดินไปด้านหน้า “ฮองเฮาทรงรับสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่องเต้จัดการกับร่างของซิ่นอ๋องเช่นไร” ฮองเฮาถามคำถามนี้ออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทาเล็กน้อย
“ทูลฮองเฮา ฝ่าบาทยังไม่มีราชโองการออกมา ทว่า องค์รัชทายาททรงมีเมตตาสั่งให้คนนำร่างของซิ่นอ๋องกลับไปที่จวนซิ่นอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เกาเต๋อเม่าก้มหน้ารายงาน
ได้ยินคำว่าองค์รัชทายาทมีเมตตา ฮองเฮาแสยะยิ้มออกมาทันที นางลูบไปที่ท้องของตัวเองเบาๆ จากนั้นกล่าวเสียงอ่อนโยน “ลูกรัก แม่ไร้ความสามารถ วันนี้เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ปล่อยเจ้าไว้บนโลกนี้ เจ้าก็มีแต่จะโดนทรมานรังแก มิสู้ตามแม่ไปพบพี่ชายของเจ้าดีกว่า พวกเราสามแม่ลูกจะไม่แยกจากกันอีก!”
เมื่อเกาเต๋อเม่าที่ก้มหน้าอยู่ได้ยินประโยคนี้จึงรีบเงยหน้าขึ้นทันที เขาเห็นฮองเฮาใช้ปิ่นปักผมแทงไปที่ลำคอของตัวเอง…
สมองของเกาเต๋อเม่าขาวโพลนไปชั่วขณะ ฮองเฮายกยิ้มมุมปาก จากนั้นกระอักเลือดออกมา นางฉีกยิ้มเห็นฟันที่เต็มไปด้วยเลือด เกาเต๋อเม่ารู้สึกขนลุกซู่
ฮองเฮากัดฟันกรอด กระชากปิ่นปักผมออกจากลำคออย่างแรง เลือดสดพุ่งกระจาย ร่างของนางล้มลงบนพื้น มือกุมท้องของตัวเองแน่น
ฮองเฮาโกหกว่าตัวเองไม่ได้ตั้งครรภ์อย่างนั้นหรือ นางทำเช่นนี้เพราะอยากให้ฮ่องเต้เจ็บปวดหลังจากที่รู้ว่านางตายไปพร้อมเด็กในครรภ์อย่างนั้นหรือ!
ลำคอของเกาเต๋อเม่าร้อนผ่าว เขามองดูฮองเฮาที่ยกยิ้มมุมปาก แววตาเต็มไปด้วยความสะใจนิ่ง เขาอยากบอกฮองเฮาว่าเขาติดตามรับใช้ฮ่องเต้มาตั้งแต่เด็ก เขารู้จักฮ่องเต้ดี ต่อให้ฮ่องเต้รู้ทีหลังว่าฮองเฮาฆ่าตัวตายไปพร้อมกับเด็กในครรภ์ ฮ่องเต้ก็คงไม่เสียใจนานเท่าใด อย่างมากก็แค่คืนเดียวเท่านั้น…
เมื่อฮองเฮาสิ้นลมหายใจ ภายในตำหนักเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ หมัวมัวชราที่ดูแลรับใช้ข้างกายของฮองเฮากอดร่างฮองเฮาแน่น นางบอกให้ฮองเฮารอนาง เมื่อนางจัดการกับร่างของฮองเฮาเสร็จ นางจะตามฮองเฮาไป
เกาเต๋อเม่าก้าวออกไปจากตำหนัก เขายกมือส่งสัญญาณ องครักษ์รีบปิดตายประตูตำหนักทันที
ฮ่องเต้ต้องการให้ตำหนักของฮองเฮาถูกไฟไหม้ ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต…
วันที่สิบห้า เดือนสิบ สมัยรัชศกเซวียนเจียปีที่สิบหก ซิ่นอ๋องที่ถูกถอดยศเป็นเพียงสามัญชนนำกองกำลังรักษาพระองค์บุกโจมตีประตูอู่เต๋อ องค์รัชทายาทนำหน่วยตรวจเมืองเข้าไปช่วย จากนั้นเสียนอ๋องนำทัพหนานตูบุกเข้าไปสังหารซิ่นอ๋องโดยอ้างว่าทำเพื่อช่วยฮ่องเต้ ต่อมาเสียนอ๋องนำทัพบุกไปยังตำหนักของฮ่องเต้ หวังจะลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้เพื่อยึดครองบัลลังก์ องค์หญิงเจิ้นกั๋วและฝูรั่วซีนำทัพทหารค่ายผิงอันสองหมื่นนายบุกเข้าไปทำลายกองทัพกบฏ อ๋องทั้งสองคนเสียชีวิตลงในขณะกบฏ เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกว่าความวุ่นวายที่ประตูอู่เต๋อ
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ณ ประตูอู่เต๋อผ่านไปห้าวันแล้ว ตอนนี้เมืองหลวงกลับมาคึกคักเหมือนปกติ
ฮองเฮาจงซื่อสิ้นพระชนม์ในเหตุการณ์ไฟไหม้ในวังหลวง ตระกูลมารดาของนางถูกจับขังคุก ต้องโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร
ส่วนเหลียงอ๋องยังคงถูกขังอยู่ในคุก ได้ยินว่าเหลียงอ๋องร้องไห้อ้อนวอนขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้และองค์รัชทายาททุกวัน ทว่า ดูเหมือนฮ่องเต้และองค์รัชทายาทจะลืมเหลียงอ๋องไปแล้ว พวกเขาไม่ปล่อยเหลียงอ๋องออกมา อีกทั้งไม่ตัดสินโทษใดๆ ราวกับต้องการปล่อยให้เหลียงอ๋องเป็นไปตามยถากรรมในคุก
บัดนี้อวี๋กุ้ยเฟยมารดาแท้ๆ ขององค์รัชทายาทเป็นคนดูแลควบคุมวังหลัง ตอนที่ทุกคนกำลังรอเยาะเย้ยชิวกุ้ยเหรินที่มาจากจวนของเหลียงอ๋อง ชิวกุ้ยเหรินกลับได้เลื่อนขั้นเป็นกุ้ยผิน[1] ได้ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายฮ่องเต้ทุกวัน
ผู้ที่มีความดีความชอบในการปราบปรามความวุ่นวายที่ประตูอู่เต๋อในครั้งนี้ต่างได้รับรางวัลกันถ้วนหน้า ไป๋ชิงเหยียนมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงเจิ้นกั๋วแล้ว ฮ่องเต้จึงพระราชทานของล้ำค่าหายากและยาบำรุงร่างกายให้หญิงสาวแทน
บาดแผลเก่าของไป๋ชิงเหยียนยังไม่หายดี บัดนี้ได้รับบาดเจ็บใหม่อีกครั้ง มีข่าวลือว่าหญิงสาวอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึงสามปี
องค์รัชทายาทและพระชายาเอกนำของพระราชทานและยาบำรุงมาให้ไป๋ชิงเหยียนที่จวนด้วยตัวเอง บรรดาตระกูลสูงศักดิ์ต่างนำของขวัญมาเยี่ยมหญิงสาว ฮูหยินสองปฏิเสธการเข้าเยี่ยมของทุกคนโดยอ้างว่าไป๋ชิงเหยียนไม่สบาย นางทำหน้าที่ต้อนรับทุกคนแทน จากนั้นส่งทุกคนออกจากจวนอย่างนอบน้อม
แม้จวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วจะจงใจปิดบังข่าวการได้รับบาดเจ็บหนักของไป๋ชิงเหยียน ทว่า สุดท้ายข่าวก็หลุดไปถึงซั่วหยางอยู่ดี
เมื่อไป๋จิ่นจื้อรับรู้ข่าว สาวน้อยรีบขี่ม้าตรงไปที่เมืองหลวงทันทีโดยไม่พักผ่อนและไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น
เมื่อไป๋จิ่นจื้อพุ่งตัวเข้าไปในเรือนชิงฮุย สาวน้อยเห็นไป๋ชิงเหยียนในชุดสีขาวหิมะ ปล่อยสยายผมยาวสีดำนั่งเอนกายพิงหมอนอิงอ่านตำราโบราณอยู่บนเตียงโดยมีผ้าห่มลายดอกบัวคลุมห่มขาเอาไว้…
แสงแดดยามเช้าส่องลอดหน้าต่างเข้ามาด้านใน แสงนวลกระทบลงบนใบหน้างดงามที่ขาวซีดของไป๋ชิงเหยียน ช่างดูสงบนิ่งราวกับอยู่ในภาพวาด
[1] ผิน สนมขั้นผินสามารถแต่งตั้งได้สูงสุด 6 คน เป็นสนมระดับกลางไม่ได้สูงศักดิ์หรือมีอำนาจมากนัก