สตรีแกร่งตระกูลไป๋ – ตอนที่ 669 ไม่รู้จักพอ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 669 ไม่รู้จักพอ

ไม่นานเม็ดฝนที่ตกลงมาเพียงเล็กน้อยในตอนแรกก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

ชุนเถาปัดหยาดน้ำฝนที่ติดอยู่ตรงบ่าของตัวเองออก ยืนชะโงกหน้ามองหาร่างของเซียวหรงเหยี่ยนไปทั่วอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ทว่า กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของชายหนุ่ม ราวกับชุนเถาคิดไปเองว่าก่อนหน้านี้เขาเคยยืนอยู่ที่กลางลานหญ้า

ชุนเถายืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นปัดน้ำฝนที่ติดอยู่ตามร่างกายออก แหวกม่านเดินเข้าไปด้านใน เอ่ยเรียกไป๋ชิงเหยียนเสียงเบา “คุณหนูใหญ่…”

“เซียวเซียนเซิงไปแล้วหรือ” ไป๋ชิงเหยียนแหวกมุ้งออกเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม

“ไปแล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่บ่าวเดินไปเปิดประตูเรือนชิงฮุย หันกลับมาอีกทีก็ไม่เห็นเซียวเซียนเซิงแล้วเจ้าค่ะ…” ถึงตอนนี้ชุนเถาก็ยังไม่ได้สติ หากไป๋ชิงเหยียนไม่เอ่ยถาม ชุนเถาคงคิดว่าตัวเองฝันไปแน่ๆ

“ไปแล้วก็ดีแล้ว” ไป๋ชิงเหยียนลดมุ้งลงตามเดิม เอนกายพิงหมอนอิงด้วยท่าทีสบายๆ ฟังเสียงน้ำฝนตกกระหน่ำลงบนชายคานอกหน้าต่างซึ่งเหมือนกับใจของหญิงสาวที่เต้นกระหน่ำในตอนนี้ หญิงสาวยกมือสัมผัสริมฝีปากที่ถูกเซียวหรงเหยี่ยนจุมพิตจนแดงก่ำและเจ็บแปลบเล็กน้อย ทว่า ในใจกลับรู้สึกหวานซึ้งและสั่นไหว

ความรู้สึกที่ไป๋ชิงเหยียนมีต่อเซียวหรงเหยี่ยนในชาติที่แล้วคือความหวาดกลัวและซาบซึ้ง ทว่า อาจเป็นเพราะทั้งสองคนคือศัตรูกัน ไป๋ชิงเหยียนจึงไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งนางจะมีใจให้ชายหนุ่ม

ชาติที่แล้ว…

ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้หวนนึกถึงเหตุการณ์ในชาติที่แล้วนานมากแล้ว ตั้งแต่ที่นางฟื้นคืนมาในเดือนสิบสองของปีที่แล้วและพบว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นางเอาแต่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาจนไม่มีเวลาให้กับความรู้สึกของตัวเอง

แม้ชาติที่แล้วนางและเซียวหรงเหยี่ยนจะไม่ได้เป็นศัตรูกันตั้งแต่ต้น ทว่า ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกนับถือและชื่นชมชายหนุ่มมาก

บางทีตอนนั้นนางอาจรู้สึกหวั่นไหวกับชายหนุ่มไปแล้วโดยที่นางไม่รู้ตัวก็ได้

ฝนที่ตกกระหน่ำเมื่อหกวันก่อนชำระล้างเมืองหลวงจนสะอาดเกลี้ยงเกลาไปทั้งเมือง

นานๆ ทีท้องฟ้าจะสว่างแจ่มใส ลมในฤดูใบไม้ร่วงสงบลงได้สักสองสามวัน นึกไม่ถึงเลยว่าฝนจะตกลงมาในช่วงกลางคืน กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกแต่อย่างใด ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงถูกปกคลุมด้วยเมฆทึบอีกครั้ง บรรยากาศทำให้ผู้คนอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกราวกับหวนกลับไปในเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันที่สิบห้า เดือนสิบอีกครั้ง

หลูผิงพาองครักษ์ไป๋ไปยังซอยจิ่วชวนเพียงคนเดียวเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่น

เขาลงจากหลังม้า มองดูโคมไฟกลางเก่ากลางใหม่สีเหลืองสองดวงซึ่งเขียนคำว่า ‘ตู้’ ที่แขวนอยู่ข้างประตูจวนหลังหนึ่ง จากนั้นก้าวเข้าไปเคาะประตู

ประตูถูกเปิดออก ชายชราผมขาวโพลนคนหนึ่งในชุดสีเขียวเทา สวมรองเท้าหนังสีดำเดินออกมาจากด้านใน

ไม่รอให้หลูผิงกล่าวสิ่งใด ชายชราคนนั้นโค้งกายคำนับหลูผิง จากนั้นเบี่ยงกายหลบ “เชิญใต้เท้าขอรับ…”

ภายในเรือนมีต้นเฟิง[1] ของภูเขาชิวที่ถูกย้ายมาปลูกอยู่ด้านในตัวเรือน ใบของต้นเฟิงผลิใบเป็นสีแดงสด เมื่อลมพัดผ่าน…มันร่วงโรยลงสู่พื้นดินจนบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดง

วันนี้หลี่หมิงรุ่ยสวมชุดยาวสีเขียวอ่อน คลุมทับด้วยเสื้อกันลมนั่งอ่านตำราอยู่บนโต๊ะหิน กิริยาท่าทางของชายหนุ่มเหมือนบัณฑิตผู้สุขุม ใบหน้าของเขาคล้ายคลึงกับใบหน้าของหลี่เม่าครั้นยังหนุ่ม ดูสง่างามไม่น้อย

บนโต๊ะหินมีกระถางธูปหอมทรงสัตว์มงคลสามขาวางอยู่ ควันจากกระถางธูปลอยขึ้นกลางอากาศ มองจากที่ไกลๆ ชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ตรงนั้นเหมือนกำลังจะได้บรรลุเป็นเทพเซียนในไม่ช้า

คนรับใช้นั่งคุกเข่าชงชาอยู่หน้าเตาผิงซึ่งถ่านกำลังลุกโชนอยู่ข้างโต๊ะหิน

เมื่อคนรับใช้เหลือบเห็นหลูผิงที่ยืนอยู่หน้าประตูจึงรีบรายงานหลี่เม่าอย่างนอบน้อม “คุณชายใหญ่ แขกมาถึงแล้วขอรับ”

“ข้ารู้แล้ว!” หลี่หมิงรุ่ยวางตำราในมือลง ไม่ได้ลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มหันไปกล่าวกับหลูผิงยิ้มๆ “ใต้เท้าหลู เชิญเข้ามาดื่มชาก่อนดีหรือไม่”

หลูผิงหันไปสั่งให้องครักษ์ไป๋นำม้าไปผูกไว้กับต้นไม้ด้านนอกเรือนแล้วรอเขาอยู่ที่นั่น เขาเดินเข้าไปในเรือนเพียงคนเดียว จากนั้นนั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามหลี่หมิงรุ่ย

หลี่หมิงรุ่ยสั่งให้บ่าวรับใช้รินน้ำชา เมื่อเห็นหลูผิงจ้องไปที่ใบเฟิงที่ปลายเท้าจึงกล่าวกับหลูผิงยิ้มๆ “ข้าชื่นชอบบรรยากาศงดงามของต้นเฟิงในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ภูเขาชิวมาก ทั่วทั้งภูเขาเต็มไปด้วยสีแดงจากต้นไม้ เป็นภาพที่งดงามมาก ข้าจึงย้ายต้นเฟิงจากภูเขาชิวมาปลูกไว้ในเรือน ทว่า กลับรู้สึกว่าบรรยากาศงดงามไม่เท่าตอนที่อยู่ ณ ภูเขาชิว”

หลูผิงเป็นคนห่าม เขาไม่ชอบฟังเรื่องเหล่านี้จึงไม่ได้รู้สึกว่าหลี่หมิงรุ่ยเป็นคนอ่อนโยน ทว่า กลับคิดว่าหลี่หมิงรุ่ยเป็นบุรุษแท้ๆ เหตุใดจึงทำตัวราวกับสตรีเยี่ยงนี้ ไม่องอาจสง่างามเท่ากับคุณหนูใหญ่ของพวกเขาด้วยซ้ำ

ไม่รู้ว่าหลูผิงนึกถึงสิ่งใดขึ้นมาได้ จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้วแน่น เงยหน้ามองไปทางหลี่หมิงรุ่ยที่กำลังใช้พัดพัดดมกลิ่นหอมจากกระถางธูป…

หรือว่าหลี่หมิงรุ่ยเข้าใจว่าวันนี้คุณหนูใหญ่ของพวกเขาจะมาด้วยตัวเองจึงคิดใช้แผนบุรุษรูปงามเช่นนี้กัน!

ใบหน้าของหลูผิงส่อแววดูถูกออกมาเล็กน้อย หลี่หมิงรุ่ยผู้นี้รูปงามสู้คุณชายตระกูลไป๋ของเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเซียวหรงเหยี่ยน หลี่หมิงรุ่ยกล้าใช้แผนบุรุษรูปงามกับคุณหนูใหญ่ของเขาได้อย่างไรกัน

เมื่อเห็นแววตาดูถูกของหลูผิง หลี่หมิงรุ่ยรับกาน้ำชามาจากบ่าวรับใช้ยิ้มๆ จากนั้นรินชาให้หลูผิง “ขายหน้าใต้เท้าหลูแล้ว ปกติข้าชอบสิ่งเหล่านี้อยู่แล้วขอรับ”

เมื่อวานหลี่หมิงรุ่ยได้ข่าวว่าไป๋ชิงเหยียนเดินทางไปพบกบฏหวังเจียงไห่ในคุกด้วยตัวเอง วันนี้มีคนมาส่งข่าวว่าคนตระกูลไป๋ขอเข้าพบเขาตั้งแต่เช้า เขาจึงเดาได้ทันทีว่าคนที่มาย่อมไม่ใช่ไป๋ชิงเหยียน แต่คงเป็นหลูผิงเสียมากกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เตรียมพร้อมมากมาย ทำตัวตามปกติอย่างที่เขาเป็นทุกวันโดยไม่กลัวล่วงเกินผู้อื่น

หลูผิงไม่สนใจว่าหลี่หมิงรุ่ยทำเช่นนี้เป็นประจำหรือไม่ เขากล่าวเข้าประเด็นทันที “คุณหนูใหญ่กล่าวว่าในเมื่อใต้เท้าหลี่ต้องการแสดงความจริงใจ คุณหนูใหญ่จึงอยากมอบหมายงานอย่างหนึ่งให้ใต้เท้าหลี่ ใต้เท้าหลี่หาทางช่วยหวังชิวลู่ บุตรชายของกบฏหวังเจียงไห่ที่เสียชีวิตอยู่ในคุกออกมาจากคุกและจัดหาที่พักให้เขาให้เรียบร้อยด้วย เช่นนี้คุณหนูใหญ่จึงจะเห็นถึงความจริงใจของใต้เท้าหลี่ขอรับ”

หลี่หมิงรุ่ยชะงักมือที่กำลังรินน้ำชา เงยหน้าขึ้นมองหลูผิงทันที ช่วยหวังชิวลู่ออกมาจากคุกแล้วดูแลเขาให้ดีอย่างนั้นหรือ

เมื่อวานไป๋ชิงเหยียนเพิ่งพบหน้าหวังเจียงไห่ หวังเจียงไห่ก็เสียชีวิตลงในคุกทันที วันนี้หญิงสาวสั่งให้เขาช่วยหวังชิวลู่ออกมาจากคุก ไป๋ชิงเหยียนทำข้อตกลงอันใดกับหวังเจียงไห่กันแน่นะ!

หลี่หมิงรุ่ยรู้ดีว่าไม่ควรถามในสิ่งที่ไม่ควรรู้ การที่ไป๋ชิงเหยียนสั่งให้เขาช่วยหวังชิวลู่ออกมาจากคุกและดูแลเขาให้ดีเท่ากับว่าเขากุมความลับอย่างหนึ่งของไป๋ชิงเหยียนเอาไว้แล้ว

ทว่า องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะไม่รอบคอบถึงขนาดวางใจให้เขาเป็นคนทำหน้าที่ช่วยเหลือตัวกบฏออกมาจากคุกเลยหรือ องค์หญิงเจิ้นกั๋วตั้งใจจะผูกมิตรกับเขาจริงๆ หรือนางต้องการใช้เรื่องกบฏนี้ทำลายตระกูลหลี่กันแน่นะ

หลี่หมิงรุ่ยก้มหน้าใช้ความคิด หากไป๋ชิงเหยียนมีจดหมายลายมือที่ท่านพ่อของเขาเขียนถึงองค์ชายรองในตอนนั้นจริงๆ หลี่หมิงรุ่ยคิดว่าเหตุผลที่สองมีความเป็นไปได้มากกว่า

ชายหนุ่มวางกาน้ำชาลง พยักหน้าเล็กน้อย “ใต้เท้าหลูโปรดกลับไปเรียนให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วทราบว่าหลี่หมิงรุ่ยจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ทว่า หมิงรุ่ยยังไม่ค่อยเข้าใจว่าควรจะจัดการกับหวังชิวลู่เช่นไรดีขอรับ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด หมิงรุ่ยควรถามให้ชัดเจนก่อน”

“ใต้เท้าหลี่เป็นคนฉลาด ท่านไม่เข้าใจความหมายที่คุณหนูใหญ่ของข้าต้องการจะสื่อจริงๆ หรือขอรับ สรุปก็คือคุณหนูใหญ่ของข้ารับปากแม่ทัพหวังไว้ว่าจะช่วยบุตรชายของเขา นางก็ต้องช่วยให้ได้” หลูผิงกล่าวอย่างคลุมเครือ

หลี่หมิงรุ่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ได้ขอรับ รบกวนใต้เท้าหลูเรียนให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วทราบว่าหมิงรุ่ยจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยแน่นอนขอรับ!”

[1] ต้นเฟิง หรือต้นก่วมเป็นพืชในตระกูลเมเปิ้ล มีใบสีแดงสวยสด

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

Status: Ongoing
นิยายจีนโบราณเข้มข้น ปะทะคารม ทดสอบไหวพริบ สนุกถึงใจ!เพราะถูกคนชั่วหลอกใช้ชาติก่อนคนทั้งตระกูลของนางจึงต้องตายอย่างน่าอนาถ ไร้ซึ่งคนทวงถามความเป็นธรรมชาตินี้นางหวนกลับมาก่อนเรื่องราวเกิดขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยแต่หากสามารถช่วยเหลือคนในครอบครัวได้แม้สักคนนางก็ยินดีทุ่มเทกำลังให้ถึงที่สุดสตรีตระกูลไปแต่ไรมาแกร่งกล้ำเพียบพร้อมบุ๋นบู๊ แม้ไร้ซึ่งที่พึ่งพิงแล้วจริงแต่ก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดมากดขี่ได้!และเพราะเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปนางจึงได้พบกับ ‘เขา’ ไวกว่าชาติก่อนเขาผู้นี้แม้ภายนอกดูป็นมิตรและสง่งามกว่าใคร แต่นงแจ่มแจ้งดีว่าเขาเจ้าเล่ห์และอำหิตมากเพียงไหนชาติก่อนแม้ยืนกันคนละฝั่งแต่บุรุษผู้นี้กลับเป็นผู้มอบทางรอดให้แก่นาง อย่างนั้นชาตินี้นางก็ย่อมตอบแทนเขาเป็นอย่างดีเช่นกัน“แม่นางไปช่วยเหลือข้าหลายครั้งหลายครา ใช่ว่าชื่นชอบข้าหรือไม่?”“คุณชายเข้าใจผิดแล้วล่ะ”“ข้าช่วยเหลือแม่นางไปมาหลายครั้งหลายครา แม่นางไปมีใจชื่นชอบข้าบ้างหรือไม่?”“…”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท