ตอนที่ 702 สงสัย
ถงหมัวมัวย่อกายทำความเคารพ จากนั้นพาบรรดาสาวใช้ออกไปจากโถงรับรอง ส่วนตัวเองยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
“ท่านเจ้าเมืองลุกขึ้นมากล่าวดีๆ เถิด”
ไป๋ชิงเหยียนวางมือข้างหนึ่งลงบนโต๊ะเล็ก จากนั้นเอนกายผิงหมอนอิง
เจ้าเมืองรับคำพลางลุกขึ้นยืน เขานั่งลงบนที่นั่งถัดจากไป๋ชิงเหยียน หันหน้าไปทางหญิงสาวแล้วกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ
“องค์หญิงเจิ้นกั๋วทรงมีรับสั่งให้ไป๋ชิงผิงสืบเรื่องของกระหม่อม กระหม่อมไม่แปลกใจเลยสักนิด ทว่า องค์หญิงสั่งให้สืบเร็วกว่าที่กระหม่อมคิด องค์หญิงเจิ้นกั๋วช่างสังเกตยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”
“ร่างกายของข้ายังอ่อนแออยู่ ท่านเจ้าเมืองเสิ่นกล่าวเข้าประเด็นเถิด ฟังจบข้าจะได้รีบกลับไปพักผ่อน” ไป๋ชิงเหยียนไม่อยากได้ยินถ้อยคำประจบประแจงเหล่านี้
เจ้าเมืองเสิ่นยิ้มออกมาน้อยๆ มองไปทางไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าวขึ้น “กระหม่อมคือทางรอดที่ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงไป๋ฉีซานผู้เป็นบิดาของท่านเตรียมไว้ให้ตระกูลไป๋เมื่อตระกูลไป๋กลับมายังซั่วหยางพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนกำพู่ของหมอนอิงที่นางใช้พิงอยู่ทางด้านหลังแน่น ทว่า สีหน้ายังคงราบเรียบเหมือนเดิม
“ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจคำกล่าวของท่านเจ้าเมืองเสิ่นนัก ตระกูลไป๋ของข้าจงรักภักดีต่อต้าจิ้นจนไม่เคยคิดเหลือทางรอดให้ตัวเอง ท่านปู่ของข้าพาบุรุษทุกคนในตระกูลไป๋ไปออกรบที่หนานเจียงโดยไม่เหลือทางรอดให้ตระกูลไป๋เพราะต้องการฝึกอบรมนักรบยอดฝีมือให้แคว้นต้าจิ้น ท่านพ่อของข้าจะทำสิ่งที่ขัดต่อการกระทำของท่านปู่ได้อย่างไร ท่านพ่อให้ท่านเจ้าเมืองเป็นทางรอดของตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางอย่างนั้นหรือ ช่างน่าขันเสียจริง”
“ที่สำคัญ…” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ต่อให้ท่านพ่อของข้าจะเตรียมแผนสำรองให้ตระกูลไป๋จริง ท่านพ่อควรไปหาคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ถึงจะถูก ท่านปู่และท่านพ่อของข้าเชื่อใจคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋มาก เหตุใดท่านจึงไม่ไปขอความช่วยเหลือจากคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ ทว่า กลับมาขอให้ท่านช่วยเช่นนี้”
“ตระกูลบรรพบุรุษไป๋เป็นเช่นไร องค์หญิงเจิ้นกั๋วน่าจะทราบดีกว่ากระหม่อม” ตอนที่เจ้าเมืองเสิ่นกล่าวประโยคนี้ออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“เจิ้นกั๋วอ๋องเชื่อใจคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋มากจริงๆ ทว่า ซื่อจื่อไม่ได้คิดเช่นนั้น องค์หญิงเจิ้นกั๋วคือบุตรสาวแท้ๆ ของซื่อจื่อ ท่านน่าจะเข้าใจดีกว่าทุกคน”
ไป๋ชิงเหยียนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “บังเอิญว่าข้าไม่เข้าใจ เท่าที่ข้าเห็น ท่านปู่และท่านพ่อเชื่อใจคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋มาก”
เจ้าเมืองเสิ่นไม่แปลกใจที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเช่นนี้ เขารู้ดีว่าไป๋ชิงเหยียนเดินอยู่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและอันตราย หากหญิงสาวไม่รอบคอบและระมัดระวังตัว นางจะพาตระกูลไป๋เดินมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร เขาไม่ได้คิดว่าจะทำให้ไป๋ชิงเหยียนเชื่อใจได้ในทันที
ทว่า เวลาพิสูจน์ใจคน เจ้าเมืองเสิ่นมั่นใจว่าสักวันหนึ่งไป๋ชิงเหยียนจะเชื่อใจเขา
“ตอนนั้นซื่อจื่อไม่ได้ทิ้งหลักฐานหรือของประจำตัวของเขาไว้ที่กระหม่อม ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น องค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่เชื่อกระหม่อมถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผลพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าเมืองเสิ่นก้มหน้าลง กล่าวอย่างช้าๆ “ตอนนั้นกระหม่อมแพ้พนันซื่อจื่อ ดังนั้นจึงต้องตอบรับคำขอของเขา ยอมอยู่ที่ซั่วหยางต่อไปเพื่อเป็นทางรอดให้ตระกูลไป๋ ตอนนั้นซื่อจื้อทิ้งองครักษ์ลับไว้ให้กระหม่อมสองคน ทว่า น่าเสียดายที่คนหนึ่งป่วยตาย อีกคนสละชีพปกป้องเยี่ยนฉง นี่คือเหตุผลที่กระหม่อมสั่งให้เสิ่นเยี่ยนฉงไปทำงานรับใช้องค์หญิงเจิ้นกั๋วในค่ายทหารพ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งที่เจ้าเมืองเสิ่นกล่าวมาคือความจริง ที่เขาอยู่ที่เมืองซั่วหยางมาตลอดจนเกิดประโยคที่ว่าเจ้าเมืองเป็นดั่งเหล็กหนา นายอำเภอดั่งสายน้ำเป็นเพราะเขาแพ้พนันเจิ้นกั๋วซื่อจื่อไปฉีซาน
ซั่วหยางมีนายอำเภอมากมาย บางคนถูกย้ายไปประจำที่อื่น บางคนได้เลื่อนขั้น บางคนไปเป็นเจ้าเมืองของเมืองอื่นในต้าจิ้น มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่เมืองซั่วหยางตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เขาแค่…ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้เท่านั้น
เขาเคยรับปากกับไป๋ฉีซานไว้ว่าหากวันหนึ่งไป๋ฉีซานไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว หากตระกูลไป๋เผชิญปัญหาแล้วตระกูลไป๋สามารถหนีรอดกลับมายังซั่วหยางได้ ไป๋ฉีซานขอให้เขาช่วยคุ้มครองดูแลตระกูลไป๋อยู่ที่ซั่วหยางแห่งนี้
ไป๋ฉีซานมองออกว่าเขาไม่ใช่คนที่เต็มใจจงรักภักดีต่อราชวงศ์หลิน ดังนั้นจึงกล้าพนันกับเขา กล้าบอกกับเขาหลังจากที่เขาแพ้พนันว่าให้เขาอยู่เป็นทางรอดของตระกูลไป๋ที่เมืองซั่วหยางแห่งนี้
ตอนแรกเจ้าเมืองเสิ่นอยู่ที่ซั่วหยางต่อเพราะเห็นแก่คำสัญญาที่เคยให้ไว้ เขาคิดว่าหากตระกูลไป๋กลับมาที่ซั่วหยางไม่ได้ หากพวกเขาจบชีวิตลงที่เมืองหลวง เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป ทว่า หากพวกเขาฉลาดพอจนหาทางหนีกลับมายังซั่วหยางได้ ถึงเวลานั้นเขาค่อยวางแผนใหม่
แน่นอนว่าหากตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงจัดการกับตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่ซั่วหยางไม่ได้ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของเขาอีกเช่นกัน เขารับผิดชอบแค่ความปลอดภัยของคนตระกูลไป๋ ชาตินี้ไม่มีทางเปิดเผยตัวตนต่อหน้าคนตระกูลไป๋เด็ดขาด
ทว่า เขาคิดไม่ถึงเลยว่าบุตรสาวของไป๋ฉีซานจะฉลาดถึงเพียงนี้
ตั้งแต่ที่บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงที่หนานเจียง เจ้าเมืองเสิ่นติดตามข่าวของตระกูลไป๋มาโดยตลอด ตั้งแต่ที่ไป๋ชิงเหยียนขอยืมโลงศพจากทุกคนในใต้หล้า สตรีที่เจ้าเมืองเสิ่นเคยดูถูกว่าไม่มีความสามารถกลับทำในสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงตลอดเวลา นางพยายามจนได้เป็นถึงองค์หญิงเจิ้นกั๋ว กลายเป็นคนสนิทขององค์รัชทายาท ฝึกชาวบ้านเป็นทหารปราบปรามโจรป่า ทำประโยชน์ให้ชาวบ้านซั่วหยางและชาวบ้านละแวกใกล้เคียงมากมาย
กล่าวตามตรง เจ้าเมืองเสิ่นดูถูกคนของราชวงศ์ต้าจิ้น ทว่า เขากลับยินดีติดตามรับใช้ไป๋ชิงเหยียนด้วยความซื่อสัตย์ เขานับถือในความสามารถ สติปัญญาและปณิธานของเด็กสาวตรงหน้ามากจริงๆ
ไป๋ชิงเหยียนมองสำรวจเจ้าเมืองเสิ่น ลูบนิ้วเข้าหากันอย่างใช้ความคิด นึกถึงองครักษ์ของตระกูลเสิ่นที่มีความคล้ายคลึงกับกองทัพไป๋ นี่พอจะเป็นคำอธิบายของเรื่องนี้ได้ดี
เจ้าเมืองเสิ่นปล่อยให้ไป๋ชิงเหยียนมองสำรวจตัวเองอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา
“ตอนที่ข้าได้พบกับเจิ้นกั๋วซื่อจื่อ ข้าตั้งใจจะลาออกจากการเป็นขุนนาง ออกไปท่องเที่ยวตามแคว้นต่างๆ ซื่อจื่อเชิญข้าเข้าร่วมกับกองทัพไป๋ ทว่า ข้าไม่อยากเข้าร่วมกองทัพไป๋ ไม่อยากกลายเป็นลูกน้องของผู้อื่น ไม่อยากถูกจำกัดด้วยกฎของทหาร เทียบกันแล้ว ข้าชอบตำแหน่งเจ้าเมืองแห่งซั่วหยางมากกว่า”
ไป๋ชิงเหยียนเม้มปากไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น นางนั่งฟังเจ้าเมืองเสิ่นกล่าวนิ่งๆ
“ต่อมาองค์หญิงเจิ้นกั๋วทำให้ตระกูลไป๋ยืนหยัดขึ้นมาได้อีกครั้ง รบชนะสงครามที่หนานเจียงและเป่ยเจียง ฝึกชาวบ้านซั่วหยางป็นทหารเพื่อแผนการบางอย่าง กระหม่อมรู้สึกนับถือมาก กระหม่อมอยากเข้าร่วมกับองค์หญิงหลายครั้ง ทว่า องค์หญิงทรงระมัดระวังตัวมาก กระหม่อมจึงทำได้เพียงให้บุตรชายกระหม่อมพาองครักษ์จวนเสิ่นที่ได้รับการฝึกฝนจากองครักษ์ลับของตระกูลไป๋เข้าไปในค่ายทหารก่อน คิดว่าหากองค์หญิงจับสังเกตได้คงต้องให้คนสืบเรื่องนี้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าเมืองเสิ่นอธิบายเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบให้ไป๋ชิงเหยียนฟังอย่างละเอียด
ทว่า นี่คือยุคสมัยที่ทุกอย่างล้วนเลวร้าย หากมีคนกล่าวว่าเขายินดีอยู่ที่เมืองซั่วหยางนานถึงเพียงนี้เพียงเพราะการแพ้พนัน อีกทั้งไม่มีหลักฐานยืนยันใดๆ ทั้งสิ้น เกรงว่าคงไม่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อได้สนิทใจ
ดังนั้นเจ้าเมืองเสิ่นจึงมาสารภาพกับไป๋ชิงเหยียนด้วยใจที่เป็นกังวลและไม่สุขสงบ
เขามองออกว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วผู้นี้ไม่เหมือนกับไป๋ฉีซานผู้เป็นบิดาของนาง
องค์หญิงเจิ้นกั๋วเผชิญกับเหตุการณ์ที่ท่านปู่ของนางถูกรองแม่ทัพทรยศที่หนานเจียง หญิงสาวเผชิญกับอันตรายและอุปสรรคหลากหลายรูปแบบในเมืองหลวง หากเทียบกับไป๋ฉีซานแล้ว องค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่มีทางไว้ใจผู้อื่นง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อน การที่นางหวาดระแวงเขาถือเป็นเรื่องที่ปกติ