ตอนที่ 729 รายงานอย่างละเอียด
ต่อให้ไม่สนใจฐานะซื่อหลางกรมการคลังของหลี่หมิงรุ่ย ทว่า หลี่เม่าเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก…เขามีลูกศิษย์มากมายที่สามารถถูกปลุกระดมขึ้นมาได้
ไป๋ชิงเหยียนเคยหักขาบุตรชายคนเล็กของหลี่เม่า เคยส่งศีรษะลูกน้องของหลี่เม่าไปยังจวนหลี่ แม้หญิงสาวจะทำสิ่งเหล่านั้นลงไปเพื่อข่มขู่หลี่เม่าเฉยๆ ทว่า หลี่เม่ารู้ดีว่าไม่ควรทำเกินเลยไปมากกว่านั้น เขาจึงยอมยุติเรื่องทั้งหมด
ทว่า หลี่หมิงรุ่ยบุตรชายของหลี่เม่าดูเหมือนจะไม่ชอบถูกผู้อื่นกุมความลับของตัวเองไว้ในกำมือ เขาคิดว่าตัวเองโหดเหี้ยมและสามารถควบคุมคนให้อยู่ในกำมือได้เช่นเดียวกับตู้จือเวยดังนั้นเขาจึงวางแผนนี้ขึ้นมา
เขาคงคิดว่านางเป็นคนสั่งให้เขาช่วยหวังชิวลู่ออกมาจากคุก เป็นคนส่งคนมาบอกให้นางทราบเรื่องที่หวังชิวลู่ลอบติดต่อกับเหลียงอ๋อง เมื่อหวังชิวลู่ถูกส่งตัวไปยังจวนองค์รัชทายาท อย่างน้อยในสายตาของนางตระกูลหลี่ล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องนี้ทั้งสิ้น
หากวันหน้ามีคนล่วงรู้ว่าไป๋ชิงเหยียนมีจดหมายที่หลี่เม่าเขียนถึงองค์ชายรองในตอนนั้นอยู่ในมือ ทว่า ไม่ยอมมอบให้องค์รัชทายาท หากมีคนเดาออกว่าไป๋ชิงเหยียนต้องการใช้จดหมายข่มขู่หลี่เม่าและตระกูลหลี่ หญิงสาวสามารถอ้างกับองค์รัชทายาทได้ว่านางค้นหาจดหมายเหล่านั้นเพื่อองค์รัชทายาท ยิ่งมีเรื่องในวันนี้เป็นตัวช่วยยืนยัน องค์รัชทายาทต้องเชื่อใจตระกูลไป๋อย่างไม่ระแวงสงสัยแน่นอน
ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองไป๋จิ่นซิ่วแล้วกล่าวขึ้น “วันนี้พระชายาเอกเพิ่งประสูติโอรส หมอหลวงคงอยู่ที่จวนองค์รัชทายาททั้งหมด เจ้าจงใช้ประตูข้างของจวนลอบออกไปยังจวนองค์รัชทายาท บอกพระองค์ว่าพี่อาการไม่ค่อยดี ขอให้องค์รัชทยาทส่งหมอหลวงสักคนมาดูอาการของพี่ ทางที่ดีให้เฉวียนอวี๋กงกงข้างกายขององค์รัชทายาทมาพร้อมหมอหลวงด้วย เราจะได้มีพยานบุคคล”
ไป๋ชิงเหยียนหัวเราะออกมาเบาๆ “จากนั้น…เจ้าค่อยพาคนไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้องค์รัชทายาทฟัง อย่าลืมแสดงความจงรักภักดีต่อองค์รัชทายาทแทนพี่ด้วย!”
ไป๋จิ่นซิ่วลุกขึ้นยืนทำความเคารพ จากนั้นกล่าวเสียงหนักแน่น “พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ จิ่นซิ่วจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย จะไปจวนองค์รัชทายาทเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ไป๋จิ่นซิ่วสามารถทำเรื่องนี้ได้ ทว่า นางสงสารพี่หญิงใหญ่ พี่หญิงใหญ่เร่งเดินทางมายังเมืองหลวงโดยไม่ได้หยุดพัก เมื่อมาถึงก็มีเรื่องมากมายให้พี่หญิงใหญ่จัดการ…
ไฟในตำหนักอันหยางสว่างไสว ผ้าม่านสีขาวผืนบางใหญ่ที่ผูกไว้กับคานสะบัดพลิ้วเล็กน้อย กระถางธูปหอมขนาดสามฟุตตั้งอยู่กลางตำหนัก ควันจากกระถางธูปลอยขึ้นกลางอากาศเบาๆ ภายในตำหนักอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของธูป ฮ่องเต้ที่ชราภาพมากแล้วเพิ่งทานยาวิเศษเข้าไป ผมยาวถูกปล่อยสยาย ร่างในชุดสีขาวเอนกายพิงเตียง มองดูแล้วเหมือนใกล้จะบำเพ็ญเพียรสำเร็จจนได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นเซียนจริงๆ
ทว่า แสงไฟในตะเกียงน้ำมันดอกบัวทองแดงทั้งสามสิบหกดวงสว่างมากเกินไป แสงไฟจึงสะท้อนให้เห็นรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผากและจุดด่างดำบนใบหน้าที่เหี่ยวย่นของฮ่องเต้อย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินว่าพระราชนัดดาประสูติแล้ว ฮ่องเต้ยังไม่ทันได้ยิ้มออกมาก็พลันนึกถึงเด็กในครรภ์ของฮองเฮาขึ้นมาเสียก่อน สีหน้าของเขาเคร่งขรึมลงทันที
ฮ่องเต้เงียบไปชั่วขณะ มองไปทางองค์รัชทายาทที่คุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรงด้วยท่าทีมีความสุข จากนั้นกล่าวขึ้นช้าๆ “เราขอพระราชทานนามให้พระราชนัดดาว่า…จี้ หวังว่าเมื่อเขาเติบใหญ่เขาจะเห็นบ้านเมืองสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง แบกรับภาระหน้าที่ที่บรรพบุรุษส่งต่อให้เขาได้”
การที่โอรสที่เพิ่งประสูติออกมามีนามพระราชทานทันทีถือเป็นเกียรติยศอันสูงส่ง ที่สำคัญฮ่องเต้กล่าวเป็นนัยว่าต้องการให้พระราชนัดดาสืบทอดบัลลังก์ต่อในภายภาคหน้า นี่ทำให้ตำแหน่งขององค์รัชทายาทมั่นคงยิ่งกว่าเดิม
องค์รัชทายาทรีบก้มศีรษะคำนับฮ่องเต้ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
องค์รัชทายาทยังไม่ทันระบายความดีใจที่ได้โอรสให้ฮ่องเต้ฟังต่อก็ได้ยินฮ่องเต้ถามขึ้นก่อน “การสร้างหอบูชาเก้าชั้นไปถึงขั้นใดแล้ว เราได้ยินว่าคลังสมบัติมีเงินไม่เพียงพอ เราทำสงครามกับต้าเหลียง เกิดโรคระบาดขึ้นที่สองเมืองของต้าจิ้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปขุนนางต้องถวายฎีกาขอให้ยับยั้งการสร้างหอบูชาเก้าชั้นไว้ก่อนแน่ เจ้าไม่มีวิธีอื่นเลยหรือ”
องค์รัชทายาทรู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นราดลงบนศีรษะ ความหวาดกลัวเข้ามาแทนที่ความดีใจเมื่อครู่ทันที เขาทำตัวประหนึ่งเด็กหนุ่มที่กลัวอำนาจบารมีของบิดา
องค์รัชทายาทรีบกล่าวขึ้น “ทูลเสด็จพ่อ ท่านหมอหงของจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วคิดค้นยารักษาโรคระบาดได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูก…ลูกส่งคนไปยังหวาหยางและฉินไหวแล้ว อีกไม่นานก็คงควบคุมโรคระบาดได้พ่ะย่ะค่ะ! เสด็จพ่อทรงวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ ลูก…ลูก…”
องค์รัชทายาทหวาดกลัวจนลิ้นพันกัน จู่ๆ ก็พลันนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ เขารีบเงยหน้าขึ้น “ลูกตั้งใจจะลอบส่งชาวบ้านที่ติดเชื้อจำนวนหนึ่งของต้าจิ้นไปยังต้าเหลียง ให้ต้าเหลียงเกิดโรคระบาดขึ้นเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ เมื่อต้าเหลียงไม่มีหนทางรักษาโรคนี้ เราค่อยส่งทูตไปยังต้าเหลียง บอกกับพวกเขาว่าหากอยากได้ยารักษา พวกเขาต้องยอมเจรจาสงบศึกและยกดินแดนบางส่วนให้เราพ่ะย่ะค่ะ”
จวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วอย่างนั้นหรือ!
เหตุใดถึงมีแต่ตระกูลไป๋อยู่ทุกที่!
ฮ่องเต้รู้สึกหงุดหงิดมาก
ทว่า ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่มีเวลาสนใจตระกูลไป๋ ในใจของเขามีแต่หอบูชาเก้าชั้น ราชครูเทพบอกว่าหากสร้างหอบูชาเก้าชั้นสำเร็จ เขาสามารถไปปรุงยาวิเศษบนหอบูชาเก้าชั้นได้ด้วยตัวเอง หลังจากนั้นเขาจะมีชีวิตเป็นอมตะ กระทั่งได้เลื่อนขั้นเป็นเซียน
ฮ่องเต้ใช้ศอกยันหมอนอิงด้านหลังเพื่อหยัดกายขึ้น มองดูองค์รัชทายาทที่กำลังคุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรงแล้วเงยหน้ามองมาทางเขาผ่านผ้าม่านผืนบาง ฮ่องเต้พยักหน้านิ่ง “จงจำไว้ว่าการสร้างหอบูชาเก้าชั้นคือเรื่องที่สำคัญที่สุด”
“ลูกจะจำไว้พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ เสด็จพ่อไม่ต้องห่วงพ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทก้มศีรษะคำนับของฮ่องเต้อีกครั้ง
เมื่อเดินออกมาจากตำหนักอันหยาง องค์รัชทายาทขึ้นไปบนรถม้าของตัวเอง แสงของโคมไฟซึ่งแขวนอยู่สี่มุมของตัวรถม้าสะท้อนเข้าไปในรถม้าอย่างริบหรี่ องค์รัชทายาทหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อที่ซึมบริเวณหน้าผากของตัวเอง
เขากล่าวเรื่องการส่งชาวบ้านที่ติดเชื้อไปยังต้าเหลียงออกไปเพราะสถานการณ์บีบบังคับ ทว่า ดูเหมือนเสด็จพ่อจะทรงเห็นด้วยกับแผนการนี้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาควรกลับไปปรึกษากับฟางเหล่าดูอีกที ไม่แน่เขาอาจทำให้ต้าเหลียงยอมจำนนเพราะโรคระบาดครั้งนี้ก็ได้
องค์รัชทายาทกำผ้าเช็ดหน้านิ่งพลางหัวเราะออกมาเบาๆ นึกไม่ถึงว่าเขาจะฉลาดเพียงนี้
เพราะตื่นเต้นมากเกินไป องค์รัชทายาทจึงลืมทูลเรื่องที่เขาต้องการเสนอฝูรั่วซีเป็นหัวหน้าหน่วยตรวจเมืองให้ฮ่องเต้รับรู้
องค์รัชทายาทถอนหายใจพลางเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ในแขนเสื้อตามเดิม เมื่อคิดได้ว่าพรุ่งนี้เขาต้องนำฎีกาบางส่วนไปให้เสด็จพ่ออยู่แล้ว เช่นนั้นรอทูลเรื่องนี้กับพระองค์พรุ่งนี้ทีเดียวเลยก็แล้วกัน
องค์รัชทายาทนึกถึงโอรสที่เพิ่งประสูติของตัวเองขึ้นมา นึกถึงนาม ‘จี้’ ที่เสด็จพ่อพระราชทานให้โอรสของเขาและคำตรัสเหล่านั้น องค์รัชทายาทอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกว่าโอรสผู้นี้คือดาวนำโชคของตนเอง มีคำตรัสเมื่อครู่ของเสด็จพ่อ…ตำแหน่งองค์รัชทายาทของเขามั่นคงแล้ว
รถม้าเคลื่อนตัวกลับไปยังจวนองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทเกือบผล็อยหลับไปในรถ ในที่สุดรถม้าก็หยุดลงที่หน้าประตูจวนองค์รัชทายาท
“องค์รัชทายาท…”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของฟางเหล่าดังมาจากนอกรถม้า องค์รัชทายาทจึงได้สติ
“องค์ชาย…ฟางเหล่ารอองค์ชายอยู่หน้าประตูจวนพ่ะย่ะค่ะ” เฉวียนอวี๋ยื่นมือไปช่วยประคององค์รัชทายาทลงจากรถม้า กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ ทว่า ก้มหน้าซ่อนแววตาหงุดหงิดใจที่มีต่อฟางเหล่าเอาไว้
“รู้แล้ว ลงจากรถม้าก่อนเถิด” องค์รัชทายาทรับคำเสียงเบา จากนั้นจับมือของเฉวียนอวี๋เดินลงมาจากรถม้า
เมื่อเห็นฟางเหล่าที่สวมเครื่องแต่งกายบางเบาทำความเคารพมาทางเขา ดูเหมือนฟางเหล่าจะยืนรอเขาอยู่ที่หน้าจวนนานแล้ว มือของฟางเหล่าหนาวจนเขียวช้ำ องค์รัชทายาทขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ยถาม “เหตุใดฟางเหล่าจึงมายืนรอเราที่หน้าจวนในเวลานี้ เหตุใดไม่สวมเสื้อผ้าที่อุ่นกว่านี้อีกสักนิด…”
“องค์ชาย กระหม่อมมีเรื่องสำคัญจะทูลให้องค์ชายทราบพ่ะย่ะค่ะ” ฟางเหล่ากล่าวเสียงจริงจัง
“ฟางเหล่า วันนี้เราเหนื่อยมากแล้ว! เราอยากไปดูโอรสของเราอีกสักครั้ง หากไม่ใช่เรื่องสำคัญทางทหาร ไว้ค่อยรายงานเราพรุ่งนี้เถิด”