ตอนที่ 746 สิทธิ
ไป๋ชิงเหยียนนั่งเกี้ยวออกจากเรือนชิงฮุยมาถึงโถงรับรองด้านหน้า หลี่หมิงรุ่ยกำลังนั่งรออยู่ในโถงรับรองพักใหญ่แล้ว
หลี่หมิงรุ่ยนั่งก้มหน้าจับชายเสื้อของตัวเองพลางขบกรามแน่นด้วยสีหน้าไมค่อยสู้ดีนัก สำหรับหลี่หมิงรุ่ยแล้วเหล่าเวิงไม่ใช่คนอื่น นอกจากเหล่าเวิงจะเป็นผู้พระคุณของเขาและมารดาแล้ว เหล่าเวิงยังเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของหลี่หมิงรุ่ย แม้เหล่าเวิงจะเป็นคนเงียบขรึม ทว่า เขาเป็นผู้ฟังที่ดีที่มักจะรับฟังหลี่หมิงรุ่ยระบายตลอดเวลา
บิดาของเขาคืออัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ทำงานวุ่นวายทั้งวัน มารดาของเขาไม่เข้าใจในตัวเขา เขาเป็นบุตรชายคนโตของจวนหลี่ บิดาจึงเข้มงวดกับเขาเป็นพิเศษ มารดาก็ตั้งความหวังกับเขาไว้สูงมาก
บางเรื่องที่เขาไม่อาจกล่าวกับผู้อื่นได้ เขามักจะมาระบายให้เหล่าเวิงฟังเสมอ
เหล่าเวิงไม่เคยแสดงความเห็นในเรื่องที่หลี่หมิงรุ่ยเล่าให้ฟัง ทว่า ยามที่หลี่หมิงรุ่ยแสดงสีหน้าเสียใจออกมา เขามักจะยกมือขึ้นลูบศีรษะหลี่หมิงรุ่ยอย่างปลอบโยนราวกับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง หลี่หมิงรุ่ยไม่อยากสูญเสียความอบอุ่นอ่อนโยนของเหล่าเวิงไป
แสงแดดแรงจ้าจากทางด้านนอกส่องกระทบลงบนพื้นกระเบื้องของโถงรับรองที่ถูกทำความสะอาดจนมันวาว เมื่อแสงแดดหายไป หลี่หมิงรุ่ยจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่บวมช้ำของเขาพร่ามัวเล็กน้อยทำให้เขามองเห็นร่างของไป๋ชิงเหยียนที่เพิ่งมาถึงไม่ค่อยชัดเจนนัก
“ใต้เท้าหลี่มาคนเดียวอย่างนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินเสียงคมชัดของไป๋ชิงเหยียน หลี่หมิงรุ่ยรีบโค้งกายทำความเคารพ “หมิงรุ่ยคารวะองค์หญิงเจิ้นกั๋วพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนประคองมือของเจินหมิงนั่งลงบนเก้าอี้หลัก จากนั้นมองไปทางหลี่หมิงรุ่ยนิ่ง “อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ได้บอกกับใต้เท้าหลี่ให้ชัดเจนหรือใต้เท้าหลี่คิดว่าข้าว่างมากนักหรือ”
หลี่หมิงรุ่ยมองไปทางสาวใช้ข้างกายของไป๋ชิงเหยียนที่มีไม่ทีท่าจะเดินออกไปแวบหนึ่ง เขาขบกรามแน่น จากนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าหญิงสาว “ไม่ทราบว่าอาการบาดเจ็บของลูกน้ององค์หญิงเจิ้นกั๋วเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนมองหลี่หมิงรุ่ยนิ่ง เมื่อสาวใช้เดินถือถาดอาหารสีดำเข้ามาด้านในแล้วถอยกลับออกไปอีกครั้ง ไป๋ชิงเหยียนจึงยกถ้วยชาสีดำขึ้นเป่าไอร้อน “ผู้ใดกล้าทำร้ายคนของข้าแม้เพียงปลายเล็บ ผู้นั้นต้องชดใช้ด้วยชีวิต คงต้องดูว่าใต้เท้าหลี่จะชดใช้ด้วยชีวิตของคนทั้งตระกูลหลี่หรือชีวิตของคนผู้นั้นเพียงคนเดียว”
หลี่หมิงรุ่ยหลับตาลง องค์หญิงเจิ้นกั๋วต้องการชีวิตของเหล่าเวิงจริงๆ ด้วย!
“หมิงรุ่ยไม่ทราบว่าคนขององค์หญิงเจิ้นกั๋วอาการสาหัสหรือไม่ ทว่า เหล่าเวิงเป็นเพียงบ่าวรับใช้ เขาแค่ทำตามคำสั่งของกระหม่อม หากองค์หญิงเจิ้นกั๋วต้องการโทษก็ควรโทษกระหม่อมเพียงคนเดียว ไม่ควรลากคนทั้งตระกูลหลี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย! หมิงรุ่ยทราบดีว่าที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วยังทรงไว้ชีวิตของคนทั้งตระกูลหลี่เพราะตระกูลหลี่ยังมีประโยชน์กับองค์หญิงอยู่ หมิงรุ่ยยินดีติดตามรับใช้องค์หญิงเจิ้นกั๋วอย่างซื่อสัตย์จนวันตายพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หมิงรุ่ยที่ทระนงในตัวเองมาตลอดก้มศีรษะคำนับไป๋ชิงเหยียน
“ใต้เท้าหลี่กล่าววาจาน่าขันนัก ชีวิตของคนทั้งตระกูลหลี่ล้วนอยู่ในกำมือของข้า ต่อให้เจ้าไม่ติดตามรับใช้ข้าอย่างซื่อสัตย์ ข้าให้เจ้าไปทางซ้าย…เจ้าจะกล้าไปทางขวาอย่างนั้นหรือ” ไป๋ชิงเหยียนจิบชาหนึ่งอึก จากนั้นวางถ้วยชาลงช้าๆ
“เจ้าไม่มีสิทธิมาต่อรองสิ่งใดกับข้าทั้งสิ้น”
“องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะยอมทอดทิ้งขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่ควบคุมได้อย่างอย่างท่านพ่อของกระหม่อมเพียงเพราะบ่าวรับใช้เพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าตัวเองมีความสามารถพอตัว วันหน้าหากท่านพ่อของกระหม่อมลงจากตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายแล้ว กระหม่อมมั่นใจว่าตัวเองสามารถสร้างผลงานและกลายเป็นหมากที่มีประโยชน์ขององค์หญิงในราชสำนักได้แน่พ่ะย่ะค่ะ หากมองให้ไกลกว่านี้ องค์หญิงยังต้องการใช้ประโยชน์จากตระกูลหลี่อยู่ เมื่อชั่งน้ำหนักความสำคัญแล้วองค์หญิงเจิ้นกั๋วคงไม่ทำลายชีวิตคนทั้งตระกูลหลี่เพียงเพราะบ่าวรับใช้ของกระหม่อมเพียงแค่คนเดียวใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงเจิ้นกั๋วต้องการเพียงแค่คำอธิบายจากตระกูลหลี่เท่านั้น”
หลี่หมิงรุ่ยเงยหน้ามองไปทางไป๋ชิงเหยียนที่มีสีหน้าเย็นชา จากนั้นกล่าวเสียงเย็น “บัดนี้องค์หญิงเจิ้นกั๋วคือมีดคม ส่วนตระกูลหลี่เป็นเพียงแค่เนื้อชิ้นหนึ่งเท่านั้น เนื้อควรอยู่อย่างเจียมตัว หากเนื้อบังอาจแข็งข้อกับมีด มีดย่อมต้องแสดงอำนาจให้เนื้อได้เห็น”
“ใต้เท้าหลี่ช่างฉลาดหลักแหลมนัก…” สีหน้าของไป๋ชิงเหยียนส่อแววเย้ยหยัน “ทว่า ดูเหมือนจะฉลาดมากเกินไป ที่ข้ายังไม่ลงมือกับตระกูลหลี่เป็นเพราะข้ายังไม่อยากทำลายสถานการณ์ที่มั่นคงในเมืองหลวงตอนนี้เท่านั้นไม่ใช่เพราะข้าอยากประโยชน์จากพวกเจ้า! ตอนนั้นข้าบอกเรื่องนี้กับหลี่เม่าอย่างชัดเจนไปแล้ว! ข้ามีจดหมายลายมือของหลี่เม่าอยู่ในมือนานแล้ว ทว่า นอกจากเรื่องของหวังชิวลู่แล้ว ข้าเคยใช้พวกเจ้าทำสิ่งใดหรือไม่”
หลี่หมิงรุ่ยกำหมัดแน่น “องค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ได้จะรอใช้ประโยชน์จากตระกูลหลี่ในช่วงเวลาที่สำคัญกว่านี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ตระกูลหลี่ของพวกเจ้ามีประโยชน์อันใดกัน” ไป๋ชิงเหยียนเริ่มยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีขึ้นมา “ใต้เท้าหลี่ให้ค่าตระกูลหลี่ของตัวเองสูงไปหรือไม่ ในสายตาของข้าพวกเจ้าไม่มีความสำคัญสักนิด ข้าได้รับความไว้วางใจจากรัชทายาทที่จะกลายเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปของแคว้นต้าจิ้น เหตุใดข้าต้องเสียเวลากับพวกเจ้าด้วย”
ลำคอของหลี่หมิงรุ่ยร้อนผ่าว ข้อต่อรองของเขาไม่สำคัญสำหรับองค์หญิงเจิ้นกั๋วจริงๆ หรือนางแค่ขู่เขากันแน่
หลี่หมิงรุ่ยขบกรามแน่น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะทอดทิ้งเหล่าเวิงไม่ได้ ยิ่งไม่อาจทอดทิ้งตระกูลหลี่ได้
“ในเมื่อองค์หญิงเจิ้นกั๋วต้องการคำอธิบาย กระหม่อมเป็นคนสั่งให้ลูกน้องไปทำร้ายคนขององค์หญิงเจิ้นกั๋ว กระหม่อมจะรับผิดชอบทุกอย่างเองพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวจบหลี่หมิงรุ่ยหยิบมีดสั้นออกมาเอว
“ระวังเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่!” เจินหมิงเบิกตาโพลงแล้วรีบวิ่งเข้าไปขวางหน้าไป๋ชิงเหยียนเอาไว้
เมื่อเสิ่นชิงจู๋ที่รออยู่ด้านนอกตลอดเวลาได้ยินเสียงจึงกระโดดข้ามหน้าต่างเข้ามาด้านในทันที หญิงสาวชักดาบออกมา…
ทว่า หลี่หมิงรุ่ยกลับแทงมีดลงไปที่ท้องของตัวเอง ความเจ็บปวดบริเวณท้องทำให้หลี่หมิงรุ่ยขบกรามแน่น ใบหน้าของเขาแดงก่ำ เส้นเลือดบริเวณหน้าผากปูดขึ้นทันที
ไป๋ชิงเหยียนจับที่วางแขนของเก้าอี้แน่นด้วยความตกใจ มองไปทางหลี่หมิงรุ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เสิ่นชิงจู๋ก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน นางรีบหันไปมองไป๋ชิงเหยียน
หลี่หมิงรุ่ยใช้มือข้างหนึ่งยันพื้นเอาไว้ เขาเจ็บจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แววตาแดงฉาน ทว่า พยายามข่มความเจ็บปวดไม่ให้ร้องออกมา เขาหลับตาลงพลางควบคุมลมหายใจของตัวเอง จากนั้นยืนขึ้นมองไปทางไป๋ชิงเหยียน
“องค์หญิงเจิ้นกั๋วสามารถยุติเรื่องนี้ได้แล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนนึกไม่ถึงว่าหลี่หมิงรุ่ยจะใช้วิธีนี้ปกป้องเสิ่นไป่จ้ง
แม้หลี่หมิงรุ่ยจะไม่มีคุณธรรม ทว่า เขายังพอมีความเมตตาอยู่บ้าง
ไป๋ชิงเหยียนโบกมือสื่อให้เจินหมิงที่ยืนปกป้องนางอยู่ด้านหน้าให้ถอยไป จากนั้นมองไปทางหลี่หมิงรุ่ยอย่างสำรวจ “ดูเหมือนว่ายอดฝีมือคนนี้จะเป็นคนสำคัญของใต้เท้าหลี่”
“ตอนนั้นกระหม่อมและท่านแม่ของกระหม่อมเดินทางไปเยี่ยมญาติของท่านแม่ ทว่า บังเอิญถูกดักซุ่มโจมตีที่นอกเมืองจินเจี้ยนเสียก่อน องครักษ์ของจวนเห็นท่าไม่ดีจึงทิ้งกระหม่อมและท่านแม่ไป เหล่าเวิงเป็นคนช่วยชีวิตกระหม่อมและท่านแม่เอาไว้ หมิงรุ่ยยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่วิญญูชน ทว่า กระหม่อมก็ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานที่จะลืมบุญคุณคนที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้พ่ะย่ะค่ะ” หน้าผากของหลี่หมิงรุ่ยเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่
เสิ่นชิงจู๋เก็บดาบลงตามเดิม สายตาเย็นชาจ้องไปยังหลี่หมิงรุ่ยพลางเดินตรงไปหาไป๋ชิงเหยียน หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น “คุณหนูใหญ่…”
เมืองจินเจี้ยน…
ไป๋ชิงเหยียนลูบนิ้วเข้าหากันอย่างใช้ความคิด “มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ เกิดขึ้นเมื่อใดกัน”
หลี่หมิงรุ่ยข่มความเจ็บปวดแล้วเอ่ยตอบตามความจริง “เมื่อหกปีก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เสิ่นชิงจู๋สบตากับไป๋ชิงเหยียน หกปีที่แล้วเหมือนกัน…