ตอนที่ 769 ไม่ว่าเท่าใด
ฟางเหล่าเตรียมกล่าวสิ่งใดออกมา ทว่า องค์รัชทายาทกล่าวต่อเสียก่อน “จริงสิ เสบียงอาหารก็สำคัญ แม้ทหารจากซั่วหยางเหล่านั้นจะไม่ใช่มืออาชีพ ทว่า อย่างไรพวกเขาก็คือทหาร เราจะส่งทหารกลุ่มใหม่ไปให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วใช้งานอย่างคล่องมือ เราเชิญเจ้าทั้งสองมาเพราะอยากให้พวกเจ้าช่วยเราคิดว่าสามารถโยกย้ายทหารจากที่ใดส่งไปให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้บ้าง”
เริ่นซื่อเจี๋ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้รับความไว้วางใจจากองค์รัชทายาทมากจริงๆ…
จู่ๆ สมองของเริ่นซื่อเจี๋ยก็เกิดประกายวาบขึ้นมา เขานึกถึงคำกล่าวก่อนหน้านี้ของฟางเหล่า การสละชีพช่วยชีวิตองค์รัชทายาทเอาไว้คงเป็นเพียงการจัดฉากของไป๋ชิงเหยียน
ยิ่งคิดเริ่นซื่อเจี๋ยก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ องค์รัชทายาทหลงกลองค์หญิงเจิ้นกั๋วเข้าให้แล้ว
ทว่า สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขา ตอนนี้องค์รัชทายาทเชื่อใจองค์หญิงเจิ้นกั๋วมาก หากเขากล่าวเรื่องนี้ออกมาตอนนี้ องค์รัชทายาทมีแต่จะคิดว่าเขาจงใจหาเรื่ององค์หญิงเจิ้นกั๋วเช่นเดียวกับฟางเหล่า องค์รัชทายาทอาจจะคิดว่าเขาดูถูกหาว่าองค์รัชทายาทไม่คู่ควรที่จะมีคนจงรักภักดีมากถึงเพียงนี้ ถึงเวลานั้นคงไม่ดีแน่
ที่สำคัญต้าจิ้นวุ่นวายมากเท่าใด ยิ่งเป็นผลดีต่อต้าเยี่ยนมากเท่านั้น
ฟางเหล่าขมวดคิ้ว “สามารถย้ายทหารค่ายผิงอันไปได้พ่ะย่ะค่ะ ทว่า ในราชสำนักไม่มีแม่ทัพที่สามารถนำทัพไปยังต้าเหลียงได้แล้ว แม่ทัพสือพานซานอยู่ที่หนานเจียง แม่ทัพเจียงหรูไห่ขาหักจึงไม่สามารถไปออกรบได้ ทว่า ราชสำนักยังมีแม่ทัพเจินเจ๋อผิงอยู่ แม่ทัพเจินเจ๋อผิงคือแม่ทัพที่สร้างความดีความชอบในสงครามหนานเจียง เขาเสนอตัวนำทัพไปยังต้าเหลียงแล้วด้วย ทว่า ตอนที่อัครมหาเสนาบดีหลี่เม่าให้คำสัตย์ทางทหารเขากล่าวว่าหลี่หมิงรุ่ยไม่ต้องการทัพเสริม เขาจะเดินทางไปแทนที่ตำแหน่งของเกาอี้จวิ้นจู่เท่านั้นและจะยึดเมืองที่สูญเสียไปกลับคืนมาให้ได้ แม่ทัพเจินเจ๋อผิงจึงยอมรับ ขุนนางในราชสำนักจึงตกลงให้หลี่หมิงรุ่ยเดินทางไปต้าเหลียงพ่ะย่ะค่ะ”
ฟางเหล่าเหลือบมององค์รัชทายาทแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวต่อ “ตอนนี้ต่อให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะนำทหารซั่วหยางที่เป็นเพียงมือสมัครเล่นไปยังต้าเหลียง ทว่า ก็ถือว่านางนำทัพไปที่นั่นอยู่ดี หากเรานำทัพเสริมไปให้องค์หญิงเจิ้นกั๋ว อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าอาจไม่พอใจได้พ่ะย่ะค่ะ เขาอาจทำให้ขุนนางในราชสำนักโดยเฉพาะแม่ทัพเจินเจ๋อผิงคิดว่าองค์ชายทรงเชื่อใจและพึ่งพาตระกูลไป๋มากเกินไป ทว่า กลับไม่เชื่อใจขุนนางที่จงรักภักดีต่อองค์ชายและต้าจิ้นอย่างพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”
เริ่นซื่อเจี๋ยยกถ้วยชาขึ้น เป่าไอร้อนในถ้วยชาเล็กน้อยแล้วจิบไปอึกหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเฉวียนอวี๋ซึ่งอยู่ด้านนอกรายงานว่าหลู่เซียง เสนาบดีกรมทหารเสิ่นจิ้งจง เสนาบดีกรมการคลังฉู่จงซิ่งและหัวหน้ากองกำลังรักษาพระองค์ฟ่านอวี่ไหวมาถึงแล้ว
“เหตุใดหลู่เซียงจึงมาด้วย” องค์รัชทายาทลุกขึ้นยืน จากนั้นรีบออกไปต้อนรับ
“ทูลองค์ชาย เสนาบดีกรมทหารเสิ่นจิ้งจงบังเอิญพบหลู่เซียงระหว่างทาง พวกเขาจึงเดินทางไปเข้าร่วมการว่าราชการตอนเช้าพร้อมกัน เมื่อหลู่เซียงทราบว่าองค์ชายทรงเรียกพบใต้เสิ่นด้วย เขาเป็นห่วงจึงตามมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เฉวียนอวี๋อธิบาย
องค์รัชทายาทยืนมองหลู่เซียงในชุดขุนนางถูกเสิ่นจิ้งจงประคองลงมาจากบันไดระเบียงทางเดินอยู่ด้านล่างระเบียงทางเดิน จากนั้นจึงรีบเข้าไปต้อนรับ “หลู่เซียง…”
“คารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางทั้งหมดทำความเคารพองค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทเข้าไปช่วยประคองหลู่เซียง “หลู่เซียงไม่ต้องมากพิธี เรื่องนี้เร่งด่วนมากเราจึงรีบร้อนตามทุกท่านมาปรึกษาก่อนเข้าร่วมการว่าราชการตอนเช้าเช่นนี้ เชิญด้านใน…”
ภายในห้องตำรา องค์รัชทายาทปกป้องไป๋ชิงเหยียนโดยกล่าวกับบรรดาขุนนางทั้งหมดว่าเขาส่งเฉวียนอวี๋ไปถามไป๋ชิงเหยียนที่ซั่วหยางว่าสามารถไปออกรบได้หรือไม่ ไป๋ชิงเหยียนคือเทพแห่งการสังหารที่ทุกแคว้นต่างหวาดกลัว ขอเพียงต้าเหลียงรู้ว่าไป๋ชิงเหยียนเป็นคนเดินทางไปที่นั่น พวกเขาต้องหวาดกลัวจนเสียขวัญแน่นอน ทว่า องค์รัชทายาทไม่คิดเลยว่าไป๋ชิงเหยียนจะกลัวว่าเงินในท้องพระคลังจะไม่เพียงพอจึงขายสมบัติของตระกูลตัวเองเพื่อเป็นทุนสำหรับกองทัพ จากนั้นพาทหารซั่วหยางที่รวมตัวกันเพื่อปราบปรามโจรป่าเดินทางไปยังต้าเหลียงเพื่อยึดเมืองที่เกาอี้จวิ้นจู่สูญเสียไปกลับคืนมาให้ได้ทั้งหมด
องค์รัชทายาทรู้ดีว่าหากเขากล่าวว่าไป๋ชิงเหยียนนำทัพออกไปโดยพลการ บรรดาขุนนางในราชสำนักคงไม่พอใจ นี่ไม่เป็นผลดีต่อไป๋ชิงเหยียนแม้แต่น้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่องค์รัชทายาทปกป้องคนคนหนึ่งมากถึงเพียงนี้ เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นคนขี้หวาดระแวงพอๆ กับเสด็จพ่อ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยากตอบแทนความดีที่ไป๋ชิงเหยียนเคยสละชีพปกป้องเขาเอาไว้
“องค์ชายทรงต้องการให้กรมการคลังจัดหาเสบียงส่งไปให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมการคลังฉู่จงซิ่งเอ่ยถาม ฉู่จงซิ่งจัดหาเสบียงมาให้ได้อยู่แล้ว…อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่ากำชับเขาไว้ก่อนหน้านี้ว่าต้องเตรียมเสบียงให้พร้อมตอนที่หลี่หมิงรุ่ยจะเดินทางไปยังต้าเหลียง
บัดนี้ฉู่จงซิ่งได้แต่รอเวลาที่องค์รัชทายาทมีคำสั่ง เขาจะได้มอบเสบียงอาหารให้กรมทหาร ทว่า เหตุใดๆ จึงเปลี่ยนเป็นองค์หญิงเจิ้นกั๋วอย่างกะทันหันเช่นนี้กัน
เมื่อฟ่านอวี่ไหวผู้สูญเสียตาไปข้างหนึ่งที่นั่งอยู่ใต้แสงไฟบนแท่นสูงได้ยินคำกล่าวนี้จึงหันไปคารวะองค์รัชทายาท “องค์รัชทายาท กระหม่อมไม่ได้เสียดายทหารรักษาพระองค์ ทว่า หลังเกิดเหตุการณ์กบฏที่ประตูอู่เต๋อ ทหารรักษาพระองค์สูญเสียอย่างหนัก ทหารใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่งในกองกำลังรักษาพระองค์คงสู้ทหารจากซั่วหยางไม่ได้ด้วยซ้ำพ่ะย่ะค่ะ ที่สำคัญกองกำลังรักษาพระองค์ต้องอยู่คุ้มกันวังหลวง คุ้มครองฝ่าบาทและองค์รัชทายาทเป็นหลักพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์รัชทายาทพยักหน้า “ใต้เท้าฟ่านกล่าวมีเหตุผล เสนาบดีกรมทหารคิดว่าที่ใดสามารถโยกย้ายทหารได้อีก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องส่งทัพเสริมไปให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วให้ได้ไม่ว่ามากหรือน้อย”
องค์รัชทายาทใช้คำว่าต้อง เสนาบดีกรมทหารเสิ่นจิ้งจงจึงรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่การปรึกษา
“เรื่องนี้…” เสิ่นจิ้งจงมองไปทางหลู่เซียงแวบหนึ่ง จากนั้นครุ่นคิด “หากต้องการให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วใช้งานได้ถนัดมือที่สุดย่อมต้องเป็นกองทัพไป๋พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้…” หลู่เซียงส่ายหน้า “แม้องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะใช้งานกองทัพไป๋ได้คล่องมือที่สุด ทว่า บัดนี้ซีเหลียงกำลังจ้องเล่นงานเราอยู่ กองทัพไป๋ต้องอยู่คุ้มกันชายแดนซีเหลียง ที่สำคัญกองทัพไป๋อยู่ไกลถึงชายแดนทางใต้ หากให้เขาเดินทางขึ้นไปชายแดนทางเหนือจะลำบากมากเกินไป!”
เสิ่นจิ้งจงเม้มปากเล็กน้อย จากนั้นกล่าวต่อ “เช่นนั้นสั่งเคลื่อนย้ายทหารค่ายผิงอันไปดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ บัดนี้ทหารค่ายผิงอันอยู่ในการควบคุมของผู้ตรวจการเมืองเติงโจวต่งชิงเยว่ พวกเขาทำหน้าที่คอยป้องกันหรงตี๋และซีเหลียง ทว่า กองทัพไป๋คอยระวังซีเหลียงอยู่ กระหม่อมคิดว่าสามารถส่งทหารค่ายผิงอันไปเสริมทัพได้พ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมขอแทรกสักนิดพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมการคลังฉู่จงซิ่งกำหมัดคารวะขุนนางทุกคน “กระหม่อมมีเรื่องกังวลเล็กน้อย หลี่หมิงรุ่ยบุตรชายของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าประกาศคำสัตย์ทางทหารแล้วว่าจะเดินทางไปต้าเหลียงโดยไม่นำทัพเสริมไปด้วย บัดนี้องค์หญิงเจิ้นกั๋วเดินทางไปออกรบกลับต้องส่งทัพเสริมไปให้นางด้วย เกรงว่าขุนนางในราชสำนักคนอื่นๆ อาจไม่พอใจได้พ่ะย่ะค่ะ”
หลู่เซียงหันไปมองเสนาบดีกรมการคลังฉู่จงซิ่งด้วยแววตาคบกริมแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น “ทหารค่ายผิงอันเหมาะสมที่สุดพ่ะย่ะค่ะ แม้องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะได้สมญานามว่าเทพสังหาร ทว่า ร่างกายของนางอ่อนแอ หากนางเกิดเป็นดั่งแม่ทัพสวินเทียนจางของต้าเหลียงในตอนนั้น…”
หลู่เซียงอึกอัก ทว่า ทุกคนรู้ดีว่าคำกล่าวต่อมาคือสิ่งใด ด้วยสภาพร่างกายของไป๋ชิงเหยียนในตอนนี้ หากนางเสียชีวิตระหว่างเดินทางไปออกรบที่ต้าเหลียงเหมือนกับแม่ทัพสวินเทียนจางในตอนนั้นคงไม่เป็นผลดีต่อต้าจิ้นแน่นอน
“หากทำให้ต้าเหลียงคิดว่าเทพสังหารอย่างองค์หญิงเจิ้นกั๋วแห่งตระกูลไป๋ยังพ่ายแพ้ให้แก่พวกเขา ทหารต้าจิ้นต้องเสียขวัญและกำลังใจมาก ถึงเวลานั้นพวกเราคงทำสงครามได้ยากลำบากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” หลู่เซียงขมวดคิ้วมองไปทางองค์รัชทายาท “องค์ชายไม่น่าส่งคนไปถามองค์หญิงเจิ้นกั๋วว่าสามารถออกรบได้หรือไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ คนตระกูลไป๋ล้วนจงรักภักดี หากจักรพรรดิตรัสออกมา ต่อให้ไม่ไหว ตระกูลไป๋ก็จะไปออกรบอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ!”