ตอนที่ 770 วันหน้าค่อยแก้แค้น
รัชทายาทกำหมัดแน่นพลางพยักหน้า เขายอมรับผิดไว้เองอย่างเต็มใจ กล่าวกับหลู่เซียงอย่างนอบน้อม “หลู่เซียงกล่าวถูกแล้ว เรากำลังหาวิธีแก้ไขอยู่”
เฉวียนอวี๋มองไปทางรัชทายาท เขาติดตามรับใช้รัชทายาทมาหลายปี เขาไม่เคยเห็นรัชทายาทยอมรับผิดแทนผู้ใดนอกจากฝ่าบาทและฟางเหล่ามาก่อน…
นึกไม่ถึงเลยว่ารัชทายาทจะยอมรับผิดแทนองค์หญิงเจิ้นกั๋วด้วยเรื่องที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
เฉวียนอวี๋รู้ดีว่ารัชทยาทจดจำความจงรักภักดีของไป๋ชิงเหยียนไว้ในใจแล้ว เขาจึงปกป้องหญิงสาวถึงเพียงนี้ เฉวียนอวี๋ถอนหายใจยาวออกมาอย่างโล่งอก เขาไม่ได้กล่าวผิดต่อหน้ารัชทายาท ไม่ได้ทำให้รัชทายาทหมดความไว้ในตัวองค์หญิงเจิ้นกั๋ว
เมื่อเห็นท่าทีรับผิดอย่างจริงใจของรัชทายาท หลู่เซียงจึงไม่คิดตำหนิอีก เขากล่าวขึ้น “ตอนนี้เราไม่มีเวลาสนใจแล้วว่าขุนนางในราชสำนักจะไม่พอใจเรื่องนี้หรือไม่ ทุกคนล้วนทราบดีว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วสละชีพรับธนูแทนองค์รัชทายาทจนร่างกายอ่อนแอลงกว่าเดิมมาก องค์หญิงเจิ้นกั๋วฝืนร่างกายที่อ่อนแอของตัวเองไปออกรบ เราก็ควรส่งทหารไปเสริมทัพ ร่างกายที่แข็งแรงของหลี่หมิงรุ่ยจะสู้องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้อย่างนั้นหรือ องค์รัชทายาทไม่ต้องเกรงคำตำหนิของคนเหล่านั้น พระองค์ควรเห็นแก่บ้านเมืองเป็นสำคัญ หากผู้ใดกล้าวิจารณ์เรื่องนี้ กระหม่อมจะออกมาต่อต้านเป็นคนแรก ให้พวกเขามาเถียงกับกระหม่อมก่อนได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลู่เซียงทั้งเคารพและสงสารตระกูลไป๋
ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีของตระกูลไป๋ล้วนแข็งแกร่งมากจริงๆ
“หลู่เซียงกล่าวถูกต้องแล้ว ทูลให้เสด็จพ่อทราบตามนี้ในราชสำนักก็แล้วกัน” รัชทายทกล่าว
รัชทายาท หลู่เซียง เสนาบดีกรมทหารเสิ่นจิ้งจง เสนาบดีกรมการคลังฉู๋จงซิ่งและหัวหน้ากองกำลังรักษาพระองค์ฟ่านอวี่ไหวเดินทางออกจากจวนรัชทายาทไปเข้าร่วมการว่าราชการตอนเช้า
รัชทายาทเตรียมถ้อยคำมามากมาย ทว่า วันนี้ฮ่องเต้กลับไม่ออกว่าราชการตอนเช้า
ตอนนี้ใจของฮ่องเต้ไม่ได้จดจ่ออยู่กับเรื่องในราชสำนักอีกแล้ว บัดนี้รัชทายาทเป็นคนจัดการเรื่องงานในราชสำนัก สถานการณ์รบรอช้าไม่ได้ รัชทายาทจึงตัดสินใจสั่งให้ทหารค่ายผิงอันเดินทางไปรวมตัวกับองค์หญิงเจิ้นกั๋ว ฟังคำสั่งจากองค์หญิงเจิ้นกั๋ว หลู่เซียง เสนาบดีกรมทหารเสิ่นจิ้งจง เสนาบดีกรมการคลังฉู๋จงซิ่งและหัวหน้ากองกำลังรักษาพระองค์ฟ่านอวี่ต่างพยักหน้าเห็นด้วย แม้แต่แม่ทัพเจินเจ๋อผิงก็เห็นด้วยเช่นเดียวกัน อัครหมาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าอึ้งไปชั่วขณะ ทว่า เมื่อเห็นสายตาที่ฉู่จงซิ่งส่งมาให้เขาจึงพยักหน้าตามเช่นเดียวกัน
วันที่ยี่สิบสอง เดือนแปด สมัยรัชศกเซวียนเจียปีที่สิบเจ็ด องค์หญิงเจิ้นกั๋วที่นอกพักรักษาตัวอยู่บนเตียงนานเกือบปีจนแทบไม่รอดชีวิตหลายครั้งสวมชุดเกราะถือดาบนำทัพออกรบอีกครั้ง รัชทายาทสั่งให้ทหารค่ายผิงอันเดินทางไปสมทบกับทหารซั่วหยางห้าพันนายขององค์หญิงเจิ้นกั๋ว เสบียงอาหารและยารักษาโรคจะส่งตามมาทีหลัง
เมื่อต้าเหลียงรับรู้ข่าวนี้ ทุกคนต่างหวาดหวั่น
เมื่อบรรดาขุนนางในราชสำนักพากันไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิแห่งต้าเหลียงที่อายุมากแล้วและสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าใด พวกต่างคุกเข่าคำนับศีรษะลงบนพื้นกระเบื้องที่ถูกทำความสะอาดจนมันวาวกลางท้องพระโรง “แม้องค์หญิงเจิ้นกั๋วแห่งแคว้นต้าจิ้นผู้นั้นจะขึ้นชื่อเรื่องการรบ ทว่า สภาพร่างกายของนางไม่เอื้ออำนวยแล้ว ก่อนหน้านี้สายลับของเรารายงานกลับมาหลายครั้งว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ครั้งรัชทายาทแห่งต้าจิ้นฝืนให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วเดินทางมาออกรบเช่นนี้ แสดงว่ากองทัพต้าเหลียงของเราแข็งแกร่งกว่าต้าจิ้นแล้ว พวกเราโจมตีจนต้าจิ้นสู้กลับไม่ไหวดังนั้นจึงต้องส่งแม่ทัพที่ใกล้ตายมาต่อสู้กับแม่ทัพที่ดุดันของพวกเรา ครั้งนี้เทพสังหารองค์หญิงเจิ้นกั๋วคงไม่มีโอกาสมีชีวิตรอดกลับไปอีกแล้ว ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวลพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อจักรพรรดิต้าเหลียงได้ยินขุนนางกล่าวเช่นนี้จึงถอนหายใจยาวออกมา เขาขยับท่านั่งเล็กน้อย จากนั้นเอนกายพิงหมอนอิงทางด้านหลัง รู้สึกว่าคำกล่าวนี้มีเหตุผล
จ้าวเซิ่งที่เคยถูกกองทัพต้าจิ้นจับตัวไปและถูกปล่อยกลับมาหลังเจรจาสงบศึกกันเรียบร้อยขบกรามแน่นพลางก้าวไปด้านหน้าแล้วกล่าวกับจักรพรรดิต้าเหลียง “ฝ่าบาทนอกจากองค์หญิงเจิ้นกั๋วผู้นี้จะมีฝีมือสู้รบเก่งกาจไร้เทียมทานแล้ว นางยังมีกลยุทธ์ทางทหารที่เยี่ยมยอดด้วยพ่ะย่ะค่ะ เราจะประมาทนางไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะร่างกายอ่อนแอจนออกรบไม่ได้ ทว่า นางสามารถวางแผนให้กองทัพต้าจิ้นได้ ฝ่าบาททรงอย่าลืมนะพ่ะย่ะค่ะ ว่าตอนนั้นองค์หญิงเจิ้นกั๋วและแม่ทัพใหญ่หลิวหงในตอนนี้โจมตีต้าเหลียงจนพ่ายแพ้ยับเยินเช่นไรบ้าง!”
“หึ แม้ทัพจ้าวถูกทหารต้าจิ้นจับตัวไปครั้งหนึ่งคงโดนพวกมันแย่งความกล้าออกไปด้วยกระมัง” ขุนนางในราชสำนักคนหนึ่งกล่าวเย้ยหยันจ้าวเซิ่ง
จ้าวเซิ่งหันกลับไปมองขุนนางฝ่ายบัณฑิตที่แสดงสีหน้าดูถูกแวบหนึ่ง จากนั้นคุกเข่าคำนับฮ่องเต้แล้วกล่าวขึ้น “ฝ่าบาทได้โปรดพระราชทานอนุญาตให้กระหม่อมนำกองทัพจ้าวไปเสริมทัพด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ จ้าวเซิ่งเคยปะทะฝีมือกับองค์หญิงเจิ้นกั๋วมาก่อน เคยแพ้ให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วมาก่อน บัดนี้ด่านหน้าที่สำคัญที่สุดของภูเขาชิงซีอยู่ในมือของกองทัพจิ้น องค์หญิงเจิ้นกั๋วกำลังนำทัพมุ่งหน้าไปยังด่านชิงซีซานแล้ว หากองค์หญิงเจิ้นกั๋วไปถึง พวกเราจะยึดด่านชิงซีซานกลับมาได้ยากกว่าเดิม อีกทั้งต้องสูญเสียกำลังคนและทรัพยากรมากกว่าเดิมด้วยพ่ะย่ะค่ะ จ้าวเซิ่งขอเอาศีรษะรับประกัน หากกระหม่อมไม่สามารถยึดด่านชิงซีซานกลับมาได้กระหม่อมจะถือศีรษะมาพบพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเซิ่งคำนับแนบพื้นพลางสาบาน
ตั้งแต่ที่ติดตามแม่ทัพสวินเทียจางไปออกรบ ถูกกองทัพจิ้นจับไปเป็นเชลยและถูกปล่อยตัวออกมา จ้าวเซิ่งไม่เคยถูกจักรพรรดิแห่งต้าเหลียงใช้ให้ทำงานสำคัญอีกเลย ครั้งนี้คือโอกาสของจ้าวเซิ่ง ไม่ว่าอย่างไรจ้าวเซิ่งก็ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้ มิเช่นนั้นชาตินี้เขาคงไม่มีโอกาสนำทัพไปออกรบอีกแล้ว
หากนักรบคนหนึ่งไม่มีโอกาสนำทัพออกรบ ได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่ในเมืองหลวง รับเงินเบี้ยเลี้ยงอย่างน้อยนิดไปวันๆ เขาจะมองหน้าพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเขามาบนโลกนี้ได้อย่างไรกัน
ในฐานะนักรบ เขาอยากออกไปทำสงครามให้ได้ชัยชนะกลับมามากมายเช่นเดียวกับท่านปู่ของเขา มิเช่นนั้นก็เสียชีวิตในสนามรบเช่นเดียวกับแม่ทัพสวินเทียนจาง
ที่สำคัญด่านชิงซีซานคือด่านที่อันตรายที่สุดด่านสุดท้ายของต้าเหลียง หากถูกกองทัพจิ้นยึดครองไปได้ กองทัพจิ้นสามารถบุกเข้ามายังเมืองหลวงหานเฉิงของต้าเหลียงได้อย่างสบาย
อัครมหาเสนาบดีของต้าเหลียงมองดูจ้าวเซิ่งที่ก้มศีรษะคำนับฮ่องเต้อย่างขอร้องแวบหนึ่ง จากนั้นก้าวไปด้านหน้าแล้วกล่าวกับจักรพรรดิแห่งต้าเหลียง
“ฝ่าบาท เราจะดูถูกองค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้แม่ทัพในราชสำนักของเราที่เคยรับมือกับองค์หญิงเจิ้นกั๋วมีเพียงแม่ทัพจ้าวเซิ่งแล้ว เพื่อความไม่ประมาท กระหม่อมทูลขอให้ฝ่าบาททรงพระราชทานอนุญาตให้แม่ทัพจ้าวเซิ่งนำทัพไปช่วยเหลือเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาทตอนนี้ต้าเหลียงเกิดโรคระบาดขึ้น หมอในแคว้นแทบรับมือกันไม่ไหว ด้านนอกมีสงคราม เงินในท้องพระคลังของแคว้นมีไม่เพียงพอแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!” เสนาบดีกรมการคลังก้าวไปด้านหน้า โค้งกายคำนับจักรพรรดิต้าเหลียง “การเคลื่อนทัพเป็นเรื่องง่าย ทว่า เราต้องการเงินสำหรับซื้อเสบียง บัดนี้เรายังควบคุมโรคระบาดไม่ได้ แม้แต่ในเมืองหลวงของเราก็มีคนเริ่มติดเชื้อแล้ว เราต้องหาวิธีควบคุมโรคระบาดให้ได้ก่อนค่อยวางแผนเรื่องอื่นพ่ะย่ะค่ะ หากเรามัวแต่สนใจเรื่องการทำสงคราม ไม่สนใจชีวิตของชาวบ้าน หากชาวบ้านเสียชีวิตเพราะโรคระบาดทั้งหมด แคว้นต้าเหลียงยังจะเป็นแคว้นต้าเหลียงได้อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ!”
เดิมทีโอรสที่จักรพรรดิต้าเหลียงรักมากที่สุดกำลังจะเดินทางไปเจรจาสงบศึกกับต้าจิ้น ทว่า เขากลับเสียชีวิตด้วยน้ำมือของกองทัพจิ้นเสียก่อน จักรพรรดิต้าเหลียงจึงโกรธแค้นมาก
เขาเอาแต่จะคิดแก้แค้น ดังนั้นตอนนี้ทูตของต้าจิ้นเดินทางนำยาและวิธีรักษาโรคระบาดมาเจรจาต่อรอง จักรพรรดิต้าเหลียงจึงสั่งประหารทูตของต้าจิ้นทันทีเพื่อแก้แค้นให้โอรสของตัวเอง
“เสด็จพ่อ!” องค์ชายสามร่างท้วมที่หน้าตาคล้ายจักรพรรดิต้าเหลียงคุกเข่าอยู่กลางตำหนัก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ร่างสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
“ลูกบังอาจทูลขอให้เสด็จพ่อทรงทนเก็บความแค้นไว้ก่อน วันหน้าค่อยแก้แค้นให้น้องสี่! เสด็จพ่อคือเสด็จพ่อของน้องสี่ ทว่า พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิของชาวบ้านแคว้นต้าเหลียงเช่นกัน เสด็จพ่อได้โปรดคำนึงถึงชีวิตของชาวบ้านต้าเหลียงเป็นสำคัญด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อจะทำเพื่อความแค้นส่วนตัวโดยไม่สนใจชีวิตของชาวบ้านไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ชาวบ้านเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”