หากว่าร่างเนื้อของตู๋กูซิงหลันไม่สามารถรักษาให้หายได้ จะใช้ร่างของเหลียงเซิงเซิงผู้นี้แทนก็ไม่เลว
รอยประทับบนริมฝีปากล่างนั่น เป็นเครื่องรับรองที่ดีที่สุด
“ข้าไม่ใช่คนร้ายหรอก แค่อยากจะช่วยท่าน” พอไม่ได้รับคำตอบ สองแก้มของเหลียงเซิงเซิงก็ชักจะแดงขึ้นมา
นางอุ้มของกินเอาไว้มากมาย จึงรู้สึกว่าน่าอายอยู่บ้าง
นางไม่ค่อยได้เจอกับคนจากภายนอก แต่พอได้พบกับพี่สาวผู้นี้กลับรู้สึกคุ้นเคย ทั้งยังเห็นว่านางงดงามมาก จึงคิดจะช่วยเหลือนาง
หากโชคดี อาจจะช่วยรักษาสมองที่ถูกลาถีบนั่นให้หายดีก็ได้นะ?
พอตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางที่จริงใจของนาง คำปฏิเสธที่มาถึงริมฝีปากก็จำใจต้องกลืนกลับไป “ตกลง”
ดวงตาทั้งคู่ของเหลียงเซิงเซิงเป็นประกาย “งั้นข้าจะพาท่านไปที่บ้านในตอนนี้เลย!”
พูดแล้ว ก็เห็นนางก้าวยาวๆ ขึ้นมาบนรถม้า เอาสิ่งของในอ้อมแขนกลิ้งหลุนๆ เข้าไปในรถม้า จากนั้นก็ออกไปนั่งด้านหน้าของรถม้า บังคับรถม้านั้นด้วยตนเอง
ทันทีที่บังเ**ยนในมือขยับ ม้าตัวนั้นก็ขยับกีบเท้าวิ่งออกไปปานจะเหาะได้
เมืองกู่เย่วหลังฝนตก มีกลิ่นหอมสดชื่นของดินและหญ้าชัดเจน
ภายในรถม้า สีหน้าของตู๋กูซิงหลันสงบนิ่ง ตลอดหนึ่งเดือนที่อยู่ในเมืองกู่เย่ว นอกจากรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว นางเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ
เหลียงจวิ้นอ๋องผู้นั้น นางได้ยินข่าวเล่าลือมาไม่น้อย
หนึ่งในห้าแม่ทัพผู้ก่อตั้งประเทศ ย่อมเป็นสุดยอดผู้เข้มแข็ง
เมืองกู่เย่วภายใต้การฟื้นฟูของเขา มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ปวงประชาเป็นสุข
เหลียงจวิ้นอ๋องเอง ก็ได้รับความเคารพยกย่องจากชาวบ้านทั้งหลาย
แต่บุคคลเช่นนี้ กลับมีใจคิดคดต่อแคว้นต้าโจว
ไม่ไกลจากศาลเจ้าของเจียงชวี่ปิ้ง ตู๋กูซิงหลันและชือหลีพบเจอลานฝึกอาวุธแห่งหนึ่ง ในนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์เต็มไปหมด
ถึงแม้จะบอกว่าเมืองกู่เย่วได้รับพระบัญชาให้สร้างโรงอาวุธ แต่ว่าอาวุธเหล่านั้นก็สมควรจะส่งมอบให้กับราชสำนัก
ตอนนี้เหลียงจวิ้นอ๋องกลับสะสมอาวุธเอาไว้มากมาย เขากำลังคิดอะไรอยู่ แค่ดูก็รู้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ที่นั่นไม่เพียงแต่มีสถานที่ฝึกและสะสมอาวุธ แต่ทหารจากเมืองกู่เย่วที่ฝึกฝนอยู่ที่นั่นก็มีมากพอควร พอรวมเข้ากับอาวุธก็ไม่แน่ว่ามีจำนวนเท่าไหร่กันแน่
ในเมื่อตู๋กูซิงหลันมาแล้ว ย่อมไม่อาจนั่งดูโดยไม่ใส่ใจได้
ในโลกนี้ มีแต่นางเท่านั้นที่สามารถก่อกบฏกับจีเฉวียน
ผู้อื่นถอยไปด้านข้างเสียเถอะ
“พี่สาว ยังไม่รู้เลยว่าท่านมีนามว่ากระไร?” พอรถม้าเข้าสู่ตัวเมือง เหลียงเซิงเซิงถึงได้หันกลับมาถาม
ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบออกไปสองคำ “เยี่ยซิง”
“ท่านอายุเท่าไหร่แล้ว?”
“สิบหก”
“เช่นนั้นต่อไป ข้าจะเรียกท่านว่าพี่ซิงนะเจ้าคะ” เหลียงเซิงเซิงยิ้มหวาน ขยับบังเ**ยนในมือ บังคับม้าผ่านเข้าไปในเมือง
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นพวกนางก็มาถึงตำหนักจวิ้นอ๋อง
ตำหนักจวิ้นอ๋องงดงามแปลกตา เพียงเงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นต้นไม้สูงใหญ่เขียวขจี
เพียงแวบแรก ตู๋กูซิงหลันก็ถูกต้นไห่ถางที่โดดเด่นอยู่ในตำหนักดึงดูดใจเข้าแล้ว
ที่จริงยามนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ต้นไม้ส่วนมากล้วนเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แต่ว่าต้นไห่ถางภายในตำหนักยังคงเบ่งบานอย่างงดงาม
กิ่งที่มีดอกทอดยาวออกมาจากในสวน สายลมพัดโชยมาเบาๆ กลีบดอกสีแดงเข้มก็ร่วงลงมา ปลิวเข้ามาในรถม้าพอดี
ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไปรับกลีบดอกไม้เอาไว้
สีสันเช่นนี้ กลิ่นเช่นนี้ ช่างเหมือนกับในตำหนักเฟิ่งหมิงกงเหลือเกิน
รถม้าขับเข้ามาทางประตูหลัง ผ่านสวนดอกไห่ถางที่กำลังผลิบานอย่างแน่นขนัด หลังจากเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายรอบค่อยหยุดลงที่เรือนหลังหนึ่ง
ตลอดทางที่เข้ามานี้ ตู๋กูซิงหลันเห็นแต่ต้นดอกไห่ถางเท่านั้น
ในตำหนักอ๋อง นอกจากต้นไห่ถางแล้วก็ไม่ได้พบเห็นต้นไม้ชนิดอื่นใดอีก แม้แต่หญ้าสักต้น
“ตำหนักอ๋องของพวกเราสร้างขึ้นมาจากซากปรักหักพังของวังหลวงแคว้นกู่เย่ว
ต้นไห่ถางเหล่านี้เป็นองค์หญิงแคว้นกู่เย่วทรงปลูกไว้ด้วยพระองค์เอง” เหลียงเซิงเซิงอธิบาย พลางกระโดดลงไปจากรถม้า
พอพึ่งจะลงไปก็มีสาวใช้สองนางเดินเข้ามาหาอย่างกระตือรือล้น พลางกระซิบลงที่ริมหูนางหลายคำ
แววตาของเหลียงเซิงเซิงเปลี่ยนไปทันที นางรีบหันมากล่าวกับตู๋กูซิงหลันที่อยู่บนรถม้าว่า “พี่ซิงเจ้าคะ ข้ามีธุระ จำต้องขออนุญาตไปก่อนก้าวหนึ่ง หากมีเรื่องใดท่านบอกสักคำ เสี่ยวชุ่ยกับเสี่ยวหงจะคอยช่วยเหลือท่านเอง”
“อืม” ตู๋กูซิงหลันผงกศีรษะ
นางพึ่งจะรับคำ ก็เห็นเหลียงเซิงเซิงเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองแล้ว
ท่าทางของนางรีบร้อนประหนึ่งจะไปพบกับคนรักก็ไม่ปาน
ตู๋กูซิงหลันมองดูเงาหลังของนางที่เดินจากไป ก็รู้สึกว่าภายใต้กลีบดอกไห่ถางสีแดงที่กำลังร่วงลงมานั้น เงาหลังของนางช่างงดงามเหมือนรูปวาด
ไม่รู้ว่าทำไม นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอสาวน้อยผู้นี้ ในใจของตนเองก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด
อยู่ๆ ก็เกิดความต้องการจะใกล้ชิดทำความสนิมสนม
ช่างบังเอิญจริงๆ ที่เหลียงเซิงเซิงก็คิดเช่นเดียวกัน
“ไงถูกใจเข้าแล้วรึ?” ชือหลีที่อยู่ด้านข้าง มองตามสายตาของนางไป “ข้าว่าดูท่าเจ้าจะชอบนางมากนะ?”
“ก็ใช่อยู่……พวกเจ้าล้วนงดงาม ยังมี….” ชือหลีเท้าคาง หรี่ตาลง “แล้วยังมี….รูปโฉมของพวกเจ้ามีความคล้ายคลึงกันอยู่บางส่วน”
ที่จริงแล้วหากมองแต่เครื่องหน้า ก็ดูไม่เหมือนกัน แต่พอมองดูโดยรวมๆ แล้ว กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก
นี่จะต้องเป็นร่างใหม่ที่สวรรค์ประทานมาให้อย่างแน่นอน
ชือหลีขยับตัวอย่างคึกคัก ดวงตาสีแดงทั้งคู่ของนางปรากฏแววมุ่งมั่นปรารถนาขึ้นมา
………………….
ตำหนักจวิ้นอ๋อง
โถงหลัก
เหลียงจวิ้นอ๋องนั่งเป็นสง่าอยู่ในชุดสีดำทั้งร่าง ดวงหน้าของเขามีแววหนักใจ น้ำชาในมือก็เย็นมากแล้ว
นายทหารหลายคนนั่งอยู่ข้างกายเขา แต่ละคนมีสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ท่านอ๋องขอรับ ที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาครั้งนี้ ใช่เป็นเพราะพระองค์พบเห็นสิ่งใดเข้าแล้วหรือไม่?” สีหน้าของแม่ทัพเก่าแก่ที่อยู่ข้างกายจวิ้นอ๋องมีความวิตกกังวล
“มีเรื่องอะไรจะต้องหวาดกลัวกัน? หากยุ่งยากนักพวกเราก็กบฏเสียเลย!” แม่ทัพหนุ่มน้อยผู้หนึ่งตบโต๊ะลุกขึ้นยืน “พวกเราไม่ไปหาเรื่องเขา เขากลับพุ่งเข้ามาหาเรื่องพวกเราก่อน หรือว่าพวกเราจะต้องอยู่นิ่งๆ ให้ยอมจับกุมหรือยังไง?”
“ใช่แล้ว พวกเราไม่กลัวหรอก! ฮ่องเต้ผู้นั้นก็เป็นแค่เด็กขนอ่อน ที่พึ่งจะขึ้นครองราชย์ ก็จะเปลี่ยนจากระบบศักดินาไปเป็นระบบกระจายอำนาจ คิดจะริดรอนฐานกำลังของอ๋องและเหล่าโหวเหย่ทั้งหลาย”
“ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ เขายังกระจายข่าวลือเรื่องเทพธิดาพิทักษ์แม่น้ำลี่เหอ ขุมสมบัติแคว้นเซอปี่ซือ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะได้หนุนฐานะฮ่องเต้ของเขาให้มั่นคง และก็มีแต่พวกไอ้โง่เท่านั้นละที่ยอมเชื่อ!”
แม่ทัพหนุ่มผู้นั้นอึดอัดฮึดฮัดอย่างยิ่ง ราวกับว่ามีความแค้นอยู่กับจีเฉวียนมากมายอย่างไรอย่างนั้น
“ดูเอาเฉพาะหน้านี้ก่อนเถอะ ตอนนี้เขาเพ่งเล็งมาที่เมืองกู่เย่วของพวกเราเข้าแล้ว หลายปีก่อนตอนที่ปฐมฮ่องเต้ทรงปราบปรามแคว้นกู่เย่ว ที่นี่เหลือแต่ซาก ตอนนี้ท่านอ๋องของพวกเราสร้างทุกสิ่งขึ้นมาใหม่กับมือ”
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ถูกเขากระตุ้นจนเกิดโทสะขึ้นมาแล้ว
“จริงด้วย ตอนที่เหลือแต่ซากราชสำนักไม่เคยสนใจทั้งไม่ให้ความช่วยเหลือ ตอนนี้พอบูรณะดีแล้ว ก็คิดจะมาริบกลับไปหรือ? ในโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีๆ แบบนั้น!”
ขณะที่ผู้คนกำลังถกเถียงกันอย่างคึกคัก สีหน้าของจวิ้นอ๋องก็ยังคงมีแต่ความอึมครึม เขายังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ผ่านไปอีกพักใหญ่จึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “ที่เราผู้เป็นอ๋องกังวลใจมากที่สุดก็คือเซิงเซิง”
เพียงแค่ประโยคเดียว ก็ทำให้สีหน้าของทั้งหมดเปลี่ยนไป
จีเฉวียนผู้นั้นช่างหน้าด้านอย่างที่สุด ถึงขนาดบังคับสตรีแต่งงาน!
ฮ่องเต้ที่เหลิงลำพองผู้นี้ พึ่งจะขึ้นครองราชย์แท้ๆ ก็แต่งตั้งพระสนมถึงแปดสิบสี่นาง คุณหนูน้อยของพวกเขาสูงส่งถึงเพียงไหน เขาส่งราชโองการออกมาฉบับหนึ่งก็แต่งตั้งนางเป็นกุ้ยเฟย ฮึ แค่นี้คนก็กลายเป็นสนมของตนเองแล้วรึไง?
ปีที่แล้ว คุณหนูน้อยพึ่งจะครบสิบสี่เอง!
แม้แต่เด็กสาวอายุสิบสี่เขาก็ยังไม่ละเว้น เช่นนี้แล้วจะเป็นตัวดีได้อย่างไร?
“ท่านอ๋องไม่เคยตกลงรับปากการแต่งงานครั้งนี้ หรือว่าจีเฉวียนนั้นยังจะกล้าแย่งชิงเอาหรือ?”
——
ตอนต่อไป “เขาตีตราจองเอาไว้แล้ว”