นอกจากตำแหน่งผู้ก่อตั้งหุบเขาภูติเร้นลับแล้ว ท่านอาจารย์ยังได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งการรักษาที่ได้รับความเคารพยกย่องสูงสุดในโลกวิญญาณ
มีวิชาแพทย์สูงล้ำขั้นเทพสถิต รักษาคนเป็นชุบชีวิตคนตาย เป็นระดับตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่
น่าเสียดาย….ในโลกใบนี้คงจะไม่สามารถหาใครที่มีวิชาแพทย์สูงส่งทัดเทียมกับท่านอาจารย์ได้อีกแล้ว
พอต้องห่างจากท่านอาจารย์มานานเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันถึงได้พบว่า ที่แท้ยามที่นางอ่อนแอเมื่อไหร่ คนแรกที่นางคิดถึงก็คือเขา
“จอมมาร…” ชือหลีเองก็ถึงกับต้องปวดฟัน ที่จริงแล้วนางซุ่มซ่อนอยู่ใกล้โลงทองแดงตั้งแต่แรกแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในโลงทองแดงทั้งหมดนางได้เห็นอย่างชัดเจน
เรื่องที่ตู๋กูซิงหลันไม่ใช่คนบนโลกนี้ นางก็ไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน ก็รู้อยู่แล้วว่าภายใต้เนื้อหนังมังสาที่สวยงามนี้ เป็นดวงจิตที่แข็งแกร่งจากโลกใบอื่น ก็ตัวนางเองยังเคยคิดจะชิงร่างเนื้อร่างนี้มาอยู่เลย
เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่า ภายในโลงใบนั้นยังมีตัวประหลาดจากโลกอื่นอยู่อีกด้วย
ผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็นจอมมาร ไหนเลยจะเป็นเพียงแต่ปถุชนธรรมดาได้กัน
ต่อให้ตู๋กูซิงหลันเก่งกล้าสามารถเพียงไหน อย่างไรเสียก็ยังมีร่างกายเป็นมนุษย์ นางพูดถูกแล้ว เมื่อได้รับบาดเจ็บจากการลงมือของภูติผี เทพเซียน และการบดขยี้ของมิติกาลเวลา คนธรรมดาไหนเลยจะรักษาได้กัน?
“เช่นนั้นเจ้าก็ไม่คิดจะกลับไปยังวังหลวงแล้วใช่ไหม?” ชือหลีทางหนึ่งกล่าววาจา อีกทางหนึ่งก็หยิบเอายาลูกกลอนห้าหกเม็ดออกมา
นี่เป็นยารักษาอาการบาดเจ็บที่นางไปกวาดเอามาจากพวกมนุษย์ ไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะได้ผลหรือไม่ กินๆ ไปก่อนเถอะ ถือเสียว่ารักษาม้าตายประหนึ่งเป็นม้าเป็น [1]
“ให้ข้าได้พักสักหน่อยแล้วค่อยว่ากันเถอะ” ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ปฏิเสธยาของชือหลี ยาเหล่านั้นขมอย่างไม่ธรรมดา ทำเอานางแทบจะกลืนไม่ลง
ยามปกตินางไม่ชอบการกินของที่มีรสขมที่สุด แต่ตอนนี้ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตากลืนลงไปเท่านั้น
แค่คิดถึงท่าทางของจีเฉวียนก่อนที่จะจากกัน นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะกลับไปได้อย่างไรแล้ว
ยังมีพี่ใหญ่ พี่รอง และคนที่ห่วงใยนางอีกโขยงหนึ่ง หากพวกเขาต้องมาเห็นสภาพที่อยู่มิสู้ตายของนางเช่นนี้ มิสู้ให้พวกเขาเข้าใจว่าตนเองตายไปแล้วดีกว่า
“หรือว่าจะให้ข้าผู้เป็นเทพส่งข่าวไปบอกกับคนในครอบครัวของเจ้าก่อน ถึงแม้ว่าจะมีสภาพอยู่มิสู้ตาย แต่ก็ไม่ควรทำให้คนในครอบครัวเป็นห่วงใช่หรือไม่?” ชือหลีนั่งอยู่ข้างๆ ใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้ ดวงตาสีแดงดั่งแสงเพลิงนั้นเป็นประกายวิบวับ
“เจ้าอยากจะไปเจอพี่รองของข้าใช่หรือไม่?” ใช้แค่ประโยค ตู๋กูซิงหลันก็สามารถเปิดโปงท่าทีของนางออกมาได้ ชือหลีถึงขนาดใช้พลังเทพช่วยเหลือนาง นับว่านอกเหนือไปจากความคาดหมายของนางมากนัก
หากคิดดูให้ดีแล้ว นางกับชือหลีก็ไม่ได้สนิทสมกันแต่อย่างใด
ตอนที่พบกันในลี่โจว เหตุการณ์ระหว่างพวกนางทั้งสองก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ด้วยซ้ำ
ในโลกนี้ไม่มีเรื่องดีที่ได้มาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ชือหลีช่วยเหลือนาง ย่อมจะต้องเป็นเพราะว่ามีจุดประสงค์บางอย่าง
อย่างเช่น…..พี่รองของนาง?
พอพูดถึงตู๋กูเจวี๋ย สีหน้าของชือหลีก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที
“ตลอดทางมานี้ เจ้าคอยปกป้องพี่รองที่หล่อใสไร้สมองของข้ามาโดยตลอด หากจะบอกว่าไม่มีใจให้ ข้าก็ไม่เชื่อหรอก” ตู๋กูซิงหลันพยายามฝืนอาการตนเองเอาไว้ อย่างไรก็ยังห่วงเรื่องของพี่รอง
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกอยู่เสมอว่า บุรุษที่หล่อใสไร้สมองอย่างพี่รอง หากไม่คอยระวังเมื่อไหร่ มีหวังต้องถูกคนรวบหัวรวบหางไปแน่ๆ
ชือหลีนับถือนางจริงๆ นางกล่าวเสียงเบาว่า “เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของตนเองยังวุ่นวายอยู่แท้ๆ ยังว่างมีเวลาเบื่อๆ มายุ่งกับเรื่องของข้าผู้เป็นเทพอีก?”
พูดจบแล้ว ชือหลีก็ลุกขึ้นยืน เท้าข้างหนึ่งของนางเหยียบลงบนเตียงหลังใหญ่ ทิ้งรอยเท้าหนักๆ เอาไว้บนขนกระต่ายที่ขาวดุจหิมะ
“พี่รองของเจ้าเป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ข้าผู้เป็นเทพก็แค่ช่วยเหลือเขาสองสามครั้งตามลิขิตสวรรค์เท่านั้นเอง เจ้าอย่าได้คิดมากไป” ชือหลีพูดพลางก็ก้มตัวลงมา สองตาที่แดงดุจเลือดนั้นสบตากับตู๋กูซิงหลันอย่างจริงจัง
“ที่จริงแล้ว ร่างกายนี้เจ้าของได้ตายไปตั้งแต่แรก เจ้ากับคนตระกูลตู๋กูไม่ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันสักหน่อย ยังจะมานั่งห่วงใยอะไรพวกเขาอีก”
ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาลง ไม่ยอมต่อปากต่อคำกับชือหลี แต่กลับพูดออกไปว่า “หากว่าพี่รองของข้าก็ชอบเจ้าล่ะก็ ข้าก็ขออวยพรให้กับรักแท้ของพวกเจ้า ให้ได้ครองคู่กันตลอดไป [2] ”
ชื่อหลีตกตะลึงไปเล็กน้อย ความรักงี่เง่าระหว่างชายหญิงอะไรกัน ตั้งแต่ที่ถูกหักหลังไปเมื่อนานมาแล้วนั้น นางก็โยนมันทิ้งไปตั้งนานมาแล้ว
ตอนนี้พออยู่ๆ ถูกตู๋กูซิงหลันทักขึ้นมา หัวใจก็อดใจร้อนวูบวาบไม่ได้
เพียงแต่คำพูดของตู๋กูซิงหลันนั้น ทำเอานางต้องประหลาดใจอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าความจริงแล้วในร่างนั้นจะเป็นจิตวิญญาณมาจากที่อื่น แต่ตนเองก็ดูออกว่า นางได้ถือว่าตนเองเป็นตู๋กูซิงหลันไปแล้ว
นางปฏิบัติต่อคนในครอบครัวของตู๋กูซิงหลันเสมือนดั่งเป็นคนในครอบครัวของตนเอง
แถมนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ตนได้ยินคนกล่าวอวยพรกับตนเองว่าขอให้มีรักแท้ ให้ได้อยู่เคียงคู่กันตลอดไป
โดยมิได้รังเกียจฐานะที่ไม่ใช่มนุษย์ของตนแม้แต่น้อย สิ่งนี้คงจะมีแต่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้นที่สามารถทำได้
“วางใจเถอะ ชาตินี้ข้าผู้เป็นเทพไม่มีทางหลงรักบุรุษอีกแล้ว” ชือหลีเก็บสายตากลับไป พลางมองออกไปที่นอกถ้ำ
ผ่านไปนานอีกพักใหญ่ นางถึงได้กล่าวขึ้นมาว่า “ในเมื่อตอนนี้เจ้ายังไม่คิดจะกลับไปวังหลวง ข้าผู้เป็นเทพก็จะพาเจ้าไปพบคนผู้หนึ่ง บางทีเขาอาจจะรักษาเจ้าให้หายได้”
ชือหลีเป็นเทพแห่งสายน้ำ อย่างไรเสียก็ยังรู้ข่าวคราวของพวกภูติและเทพแบบตนเองอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่าจะถูกกักขังเอาไว้นานหลายปี แต่สถานะความเป็นเทพของนางก็ยังคงอยู่ จะมากจะน้อยก็ยังมีหน้ามีตาอยู่บ้าง
“หืม?” ตู๋กูซิงหลันพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ แต่ที่จริงก็ไม่กล้าคาดหวังอะไร
ในโลกก่อนนางก็เคยร่ำเรียนเวทย์รักษากับท่านอาจารย์มาอยู่บ้าง จึงพอเป็นเล็กๆ น้อยๆ ร่างกายของตนเองเป็นเช่นไร นางรู้ชัดเจนดี
“เทพโอสถแคว้นกู่เย่ว เจียงชวี่ปิ้ง”
แค่ประโยคเดียว แต่ก็ทำให้สีหน้าของตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนแปลงไปในทันที
แคว้นกู่เย่วของท่าย่าเจียงเย่ว
ตอนนั้นคนในแคว้นกู่เย่วล้วนถูกปฐมกษัตริย์ประหัตประหาร เหลือเพียงแต่ท่านย่าผู้เดียว….กับลูกสาวบุญธรรมของอ๋องเจียงชื่อ เจียงเหม่ยหยู่
หรือว่า นอกจากพวกนางแล้ว แคว้นกู่เย่วยังคงมีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่อีก?
แถมยังใช้แซ่เจียงอีกด้วย?
“เจียงชวี่ปิ้งถือเป็นบุคคลรุ่นบรรพชนของฮ่องเต้แคว้นกู่เย่วแล้ว เนื่องเพราะเขาร่างกายอ่อนแอป่วยไข้มาตั้งแต่เยาว์วัย ดังนั้นจึงกอดหม้อยาโตมาตั้งแต่เด็ก และเพราะเหตุนี้ จึงได้ใฝ่ใจศึกษาเรื่องการรักษามาโดยตลอด เขาสำเร็จวิชาแพทย์ปรุงยารักษา ช่วยชีวิตคนมาแล้วนับไม่ถ้วน”
“เนื่องเพราะยามมีชีวิตอยู่ช่วยเหลือผู้คนเอาไว้มากมาย จึงได้รับเมตตาจากสวรรค์ พอตายแล้วก็กลายเป็นเทพเจ้าที่องค์หนึ่ง ฮ่องเต้แคว้นกู่เย่วยังได้สร้างศาลเจ้าเทพโอสถขึ้นมา หล่อรูปทองคำของเขาเอาไว้ แต่พอแคว้นกู่เย่วถูกทำลาย ศาลเจ้าเทพโอสถนี้ก็กลายเป็นที่ที่ผุพัง”
“พอดีเลย ข้าผู้เป็นเทพกับเขานับว่าพอจะรู้จักมักจี่กันอยู่บ้าง บางทีอาจจะยอมเห็นแก่หน้าของข้า ให้การรักษาเจ้า”
มิน่าเล่า……
“เจียงชวี่ปิ้ง” ตู๋กูซิงหลันทวนชื่อของเขาอีกครั้ง
นางไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าแคว้นกู่เย่วมีชื่อของคนผู้นี้อยู่
ในโลกก่อน นางเคยได้พบเจอภูติผีปีศาจมามากมายก่ายกอง มีแต่เทพโอสถเท่านั้นที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน
บางทีอาจจะเป็นเพราะเวทย์รักษาของท่านอาจารย์สูงส่งมากเกินไป จึงทำให้นางไม่จำเป็นต้องไปเจอเทพโอสถคนอื่นๆ?
“ดี” หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ตู๋กูซิงหลันก็พยักหน้ารับ
แคว้นกู่เย่ว…..ทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนี้ หัวใจของนางเป็นต้องว้าวุ่นขึ้นมา
“รอให้อาการบาดเจ็บของเจ้าฟื้นฟูขึ้นมาสักหน่อย ข้าผู้เป็นเทพจะพาเจ้าไปด้วยตนเอง” ยากนักที่ชือหลีจะใจดีมีเมตตาขึ้นมากับเขาบ้าง
ตู๋กูซิงหลันมองดูนางอย่างลึกล้ำครั้งหนึ่ง แต่มิได้ถามไถ่ออกไปว่าที่สุดแล้วทำแบบนี้เพื่ออะไร เพียงแต่ผงกศีรษะเท่านั้น
พูดกันถึงที่สุดแล้ว ชือหลีก็ทำเพื่อช่วยเหลือนาง
ไม่ว่าจุดประสงค์ของชือหลีจะคืออะไร ที่ตนมีบุญได้นางช่วยเอาไว้เช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องจริง
………………..
แคว้นต้าโจว เมืองหลวง
ฤดูร้อนสิ้นสุดลงแล้ว เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแทน อากาศหนาวเย็นขึ้นมา
ต้นไม้ขนาดใหญ่ในเมืองหลวงล้วนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทีละใบๆ
——
[1] 死马当活马医:แม้จะรู้ว่าไม่มีหนทางจะรักษาแล้ว แต่ก็ยังคงมีความหวังอยู่ ถึงจะน้อยนิดก็ตาม
[2] 有情人终成眷属