ยามที่เหลียงเซิงเซิงกลับมาที่เรือนหลังน้อย ท้องฟ้าก็มืดมิดเสียแล้ว
คืนนี้ดวงดาวกระจ่างเต็มท้องฟ้า ทำให้ดอกไห่ถางในสวนคล้ายกับจะมีแสงเงินจับระยิบบางๆ
พอนางมาถึง ก็เห็นตู๋กูซิงหลันกำลังนั่งชมดอกไม้อยู่บนเก้าอี้
เหลียงเซิงเซิงกลับรู้สึกว่านางงดงามยิ่งกว่าดอกไม้เหล่านั้นเสียอีก
นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า สตรีเวลาสวมชุดกระโปรงสีเขียวหม่นจะดูงดงามได้ถึงเพียงนี้ นางเพียงนั่งอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ก็ให้บรรยากาศวันคืนอันเงียบสงบแสงสีอันเรียบง่ายออกมา
เพียงได้อยู่ข้างๆ นาง ก็รู้สึกว่าสามารถสงบความวุ่นวายใจทั้งหมดลงได้
“ดอกไม้ที่อื่น ไม่น่าดูเหมือนที่นี่หรือเจ้าคะ? เหลียงเซิงเซิงนั่งลงบนเก้าอี้หินข้างกายนาง ลืมตาโตมองดูแสงดาว
“ดอกไม้ที่อื่นหลากหลายสีสันแตกต่างกันไป งดงามมากเช่นกัน” ตู๋กูซิงหลันตอบเบาๆ “บางอย่างก็หอม อย่างเช่นดอกเย่วกุ้ยฮวา”
ด้านนอกของพระตำหนักตี้หัวปลูกดอกเย่วกุ้ยฮวาเอาไว้มากมาย นั่นเป็นดอกไม้ที่ฉางซุนฮองเฮาโปรดปรานมากที่สุด
“บางอย่างก็งดงามเฉิดฉัน อย่างเช่นดอกชมจันทรา เวลาผลิบานจะปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขา งดงามอย่างยิ่ง”
บนยอดเขาที่ตั้งสุสานของเย่วฮูหยิน ทั่วทั้งภูเขาล้วนปกคลุมไปด้วยดอกชมจันทรา
ทุกครั้งที่คิดถึงยังรู้สึกว่าน่าตื่นตะลึง
เหลียงเซิงเซิงจ้องมองดูนาง ด้วยดวงตาเป็นประกาย “ดอกไม้พวกนี้ที่กู่เย่วไม่มีเลย ดอกเย่วกุ้ยฮวาหน้าตาเป็นอย่างไร ดอกชมจันทราหน้าตาเป็นอย่างไร? แล้วโลกภายนอกเป็นอย่างไรกัน?”
“โลกภายนอก….” ตู๋กูซิงหลันมองดูใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นของนาง ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะออกมา “มิสู้ต่อไปเจ้าลองตามข้าไป ข้าจะพาเจ้าไปชมดู?”
สาวน้อยผู้นี้ช่างใสซื่อไร้เดียงสา หากมีนางอยู่ข้างกายได้เจอกันบ่อยๆ ก็สบายตาดีจริงๆ
เหลียงเซิงเซิงเกือบจะพูดโพล่งรับปากออกไปในทันที แต่คำพูดมาถึงริมฝีปากก็ต้องกลืนลงไป
ประกายตาของนางอับแสงลง สองมือกอดเข่าของตนเองเอาไว้ ซุกใบหน้าลงไประหว่างหัวเข่า “ข้าออกไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ท่านปู่บอกว่า หากข้าออกไปจากกู่เย่วก็อาจจะตายได้”
ในสมองของตู๋กูซิงหลันพลันเกิดคำถามตัวโตๆ
ชือหลีกลายร่างเป็นร่างงู แขวนตัวอยู่บนต้นไห่ถางที่อยู่เหนือพวกนาง “คำพูดหลอกเด็กน้อยพวกนี้ นางก็ยังเชื่อหรือ?”
“ข้าไม่ได้กลัวตายนะเจ้าคะ ข้าแค่กลัวว่าหากข้าตายไปแล้ว ท่านปู่ก็จะต้องเสียใจ เซิงเซิงไม่อาจจะทำให้คนที่รักต้องเสียใจ” เหลียงเซิงเซิงกล่าวเสียงเบา “ดังนั้น พี่ซิงช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ว่าโลกภายนอกเป็นเช่นไรบ้าง?”
“ผู้คนก็จิตใจดีมีเมตตาเช่นกันใช่ไหม มีปีศาจที่หน้าตางดงามบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”
ครึ่งประโยคหลังต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ…….
หลายปีมานี้นางรอมานานก็ยังไม่ได้เจอปีศาจที่งดงามตนนั้นเลย ดังนั้นนางจึงคิดไปว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาอาจจะไปจากเมืองกู่เย่วแล้ว ไปยังโลกภายนอก?
ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะยังจดจำนางได้หรือไม่นะ?
ยังจะมารับตัวนางไปอีกไหม?
นางไม่อาจไปจากกู่เย่วเพื่อตามหาเขา จึงได้แต่รอคอยอยู่ที่นี่แล้ว
“เจ้ากำลังคาดหวังในสิ่งใดอยู่หรือ?” มุมปากของตู๋กูซิงหลันขยับยกน้อยๆ “เจ้าหลงรักปีศาจหรือ?”
ไฝแดงบนริมฝีปากล่างของนางเปี่ยมไปด้วยพลังไอหยิน ตนเองกับชือหลีต่างก็ดูออก นั่นเป็นเครื่องหมายถึงสัญญาจากมารปีศาจ
ยิ่งสามารถเดาออกได้เลยว่า แม่นางน้อยผู้นี้คงจะถูกมารปีศาจหมายตาเอาไว้แต่แรกแล้ว
ถึงจะบอกว่านางใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ในร่างกลับมีพลังวิญญาณหมุนวน ร่างเนื้อเช่นนี้สำหรับพวกภูติผีปีศาจแล้วนับว่าน่าดึงดูดใจอย่างที่สุด
นางเป็นเหมือนกับเครื่องมือสะสมพลังวิญญาณที่สามารถเคลื่อนที่ได้
ไม่ว่าจะเป็นเหล่านักพรตผู้ฝึกตน หรือว่าเทพภูติปีศาจมารใดๆ ต่างก็หนีไม่พ้นการฝึกฝนพลังวิญญาณด้วยกันทั้งนั้น
พลังวิญญาณนั้นสะสมอยู่ในธรรมชาติ จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจและการฝึกฝนจึงจะสามารถเพิ่มพูนขึ้นมาได้ เมื่อพลังวิญญาณในธรรมชาติถูกนำมาหลอมรวม ตนเองจึงจะสามารถนำออกไปใช้ได้
แต่แม่นางผู้นี้ บนร่างกับมีพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาดไม่ต้องผ่านการหลอมรวมก็สามารถดึงดูดไปใช้ได้เลย
ขอถามหน่อยเถอะ อาหารที่หอมหวานเช่นนี้ จะไม่ให้ภูติผีปีศาจทั้งหลายหวั่นไหวใจได้อย่างไรกัน?
หากมิใช่ว่านางถูกปีศาจทำสัญญาเอาไว้แต่แรก เกรงว่านางคงจะไม่ได้มีชีวิตมาจนถึงบัดนี้แล้ว คงจะถูกพวกภูติผีแยกร่างจับกินไปตั้งแต่แรกแล้ว
ที่จริงแล้วการทำสัญญาของพวกปีศาจ ก็คล้ายจะเป็นกฏที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษรเท่าไรในหมู่ของพวกภูติเทพทั้งหลาย
เหยื่อที่หมายตาเอาไว้แล้ว ก็จะทำสัญลักษณ์เอาไว้ ปีศาจตัวอื่นๆ ไม่อาจแย่งชิงไปได้
นี่คือสัญญาประทับตราของภูติผีปีศาจ
เพราะว่าการทำสัญญาประทับตราเช่นนี้จะทำให้ปีศาจต้องสูญเสียพลังมหาศาล
แต่เมื่อสำเร็จลงแล้ว ‘เหยื่อ’ ก็จะได้รับการปกป้องจากปีศาจตนนั้นกระทั่งปีศาจเห็นว่า ‘เหยื่อ’ นั้นเติบโตสมบูรณ์ดีแล้ว จึงจะกลืนกินลงไป
อย่างเหลียงเซิงเซิงที่เป็นเครื่องสะสมพลังวิญญาณเคลื่อนที่ได้นั้น เมื่อถูกสัญญาประทับตราเอาไว้แล้ว ปีศาจอื่นๆ ก็ได้แต่มองดูอย่างกระเ**้ยนกระหือเท่านั้น
ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วเจ้าพวกนั้นก็ยังไม่อาจแตะต้องนางได้ ก็แสดงได้ชัดเลยว่า ปีศาจที่ทำสัญญาไว้จะต้องเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เป็นแน่
น่าสงสารเด็กน้อยผู้นี้….ที่ไม่รู้เรื่องใดๆ เลย
พอถูกตู๋กูซิงหลันพูดตรงกับความในใจ เหลียงเซิงเซิงก็ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาในทันที นางส่ายศีรษะ ไม่คิดจะยอมรับ
แต่ก็พูดอะไรไม่ออกสักคำ
พักหนึ่งก็แย้มพรายออกมาว่า “ตอนที่ยังเป็นเด็กข้าเข้าไปในภูเขาฝูซางซาน บนภูเขามีปีศาจที่น่ากลัวมากมาย….. แต่เขาช่วยข้าเอาไว้ ชีวิตที่เหลือนี้ข้าอยากตอบแทนเขา”
ตู๋กูซิงหลัน “ใช้ร่างกายเป็นสิ่งตอบแทน?”
‘ใช้ร่างกาย’ หลายคำนี้ ทำเอาใบหน้าของเหลียงเซิงเซิงลุกเป็นไฟ ทั้งหัวตาและหางคิ้วแฝงความเขินอาย
เรื่องนี้นางไม่เคยเอ่ยกับท่านปู่มาก่อน แต่กลับมาสารภาพกับพี่สาวที่พึ่งจะได้รู้จักกันผู้นี้อย่างง่ายๆ แม้แต่ตนเองก็ยังรู้สึกว่าคาดไม่ถึงเช่นกัน
ยามที่พี่สาวได้ฟังเรื่องนี้…..ทั้งไม่ได้ตื่นตระหนก ไม่ได้ประหลาดใจ และไม่ได้หัวเราะเยาะนาง ทำให้เหลียงเซิงเซิงยิ่งรู้สึกดีกับนางมากขึ้นอีกหลายส่วน
“เจ้าไม่เคยคิดหรือว่า ที่เขาปล่อยเจ้าไปเพราะคิดจะเลี้ยงเจ้าเอาไว้แล้วค่อยจับกิน?”
พอประโยคนี้ของตู๋กูซิงหลันแทงออกไปก็ทำให้ความเขินอายของเหลียงเซิงเซิงแข็งค้างไปในทันที
“จับกิน?” นางเอียงศีรษะ ดวงตาเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก
ชือหลีส่ายหางไปมา “เด็กโง่เอ๋ย ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ด้วย? คิดว่าตนเองได้พบกับปีศาจที่เป็นคู่ชะตา หรือไง?”
ชือหลีเองก็เป็นผู้ที่เคยผิดหวังในความรักมาก่อน แค่เห็นย่อมเข้าใจความรู้สึกในแววตาของสาวน้อย
“มา มา มา ชิงร่างเลยดีกว่า ยังดีกว่าปล่อยให้นางถูกกินไปเสียเปล่า อย่างน้อยๆ ร่างเนื้อนี้ให้เจ้าใช้ก็ไม่ถือว่าเสียของ”
นางจัดแจงรีบพูด “รอให้ไฝแดงอ่อนนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงสดขึ้นมาเมื่อไหร่ เจ้าปีศาจร้ายนั่นก็คงจะมาล่ะมั้ง? ถึงตอนนั้นแม่เด็กน้อยเซ่อซ่านี่คงต้องตายสถานเดียว”
ยังคิดว่าพวกปีศาจจะมีความจริงใจ? ไว้ชีวิตเจ้าหรือ?
อ๋อ นางได้ยินมาว่าช่วงนี้แคว้นกู่เย่วมีปีศาจอาละวาดวุ่นวาย คนตายไปแล้วไม่น้อย พอตายแล้วศีรษะก็หายไปหมด….
ไม่แน่ว่านี่อาจจะเกี่ยวข้องกับปีศาจที่ทำสัญญากับเหลียงเซิงเซิงเอาไว้ก็เป็นได้”
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้สนใจชือหลี นางมองดูดวงหน้าที่ซีดขาวของเหลียงเซิงเซิง ก็ได้แต่กล่าวว่า “หากว่าเจ้าได้ไปอยู่เคียงข้างฮ่องเต้แห่งต้าโจว ก็จะสามารถผ่านเคราะห์นี้ไปได้”
คำพูดนี้……มิได้โกหก
จีเฉวียนไม่เพียงแต่เป็นโอรสสวรรค์ เขายังสามารถควบคุมพลังของหยกสรรพชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังมีพลังหยินที่แข็งแกร่งอยู่ภายในร่าง
ถึงตอนนี้กระทั่งตู๋กูซิงหลันเองก็ยังมองไม่ออกว่าที่สุดแล้วจีเฉวียนฝึกฝนตบะจนกลายเป็นสิ่งใดกันแน่……จะบอกว่าเขาเป็นนักพรต ก็ไม่คล้าย
จะบอกว่าเขาเป็นมนุษย์ ก็ไม่สมเหตุผล
ได้แต่บอกว่า เขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ให้เขาปกป้องเหลียงเซิงเซิง ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
ปีศาจตนนั้นต่อให้แข็งแกร่งอย่างไร ก็ไม่อาจจะแข็งแกร่งไปกว่าจอมมารอย่างเสินฟางไปได้
ตอนนี้นางกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ไม่มีกำลังจะปกป้องเหลียงเซิงเซิงอีก ชือหลีก็หมายมั่นปั้นมือแต่จะให้ชิงร่างของนาง ยิ่งพึ่งพาไม่ได้
ความหวังเดียวที่มี ย่อมต้องเป็นฮ่องเต้แล้ว
——
ตอนต่อไป: “ข้ามารับเจ้าแล้ว”