ตอนที่ 832 ความรักจากบิดา
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวพลางหยิบหนังแกะขึ้นมาแผ่นหนึ่ง จุ่มพู่กันลงในน้ำหมัก จากนั้นก้มหน้าเขียนจดหมายถึงเซียวหรงเหยี่ยน
เมื่อเขียนเสร็จไป๋ชิงเหยียยนพับจดหมายลงในซองจาดหมาย ใช้ไฟรนปิดซองจดหมายจนแน่น จากนั้นส่งให้จ้าวหร่าน
จ้าวหร่านรับจดหมายมาด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นจากไปอย่างรวดเร็ว เขากลัวว่าจดหมายของไป๋ชิงเหยียนจะเป็นเรื่องด่วนจึงไม่อยากเสียเวลา
เมื่อไป๋ชิงเหยียนเห็นว่าจ้าวหร่านจากไปแล้วจึงแขวนพู่กันไว้บนแผงเก็บพู่กันบนโต๊ะตามเดิม หญิงสาวรู้สึกว้าวุ่นใจเล็กน้อย เมื่อนั่งรวบรวมสติอยู่สักพักจึงเริ่มลงมือเขียนรายงานสถานการณ์รบส่งกลับไปยังเมืองหลวง
รายงานสถานการณ์รบที่ไป๋ชิงเหยียนยึดเมืองเจียงตูได้ถูกส่งไปถึงรัชทายาทในวันเดียวกัน
เมื่อรู้ว่าไป๋ชิงเหยียนยึดต้าถงของต้าเหลียงได้ รัชทายาทรู้สึกดีใจมาก “องค์หญิงเจิ้นกั๋วยึดเมืองอิ๋งตูได้ในวันที่ยี่สิบ เดือนหนึ่ง ยึดต้าถงได้ในวันที่ยี่สิบ เดือนสอง คำนวณดูจากเวลาแล้ว ตอนนี้องค์หญิงเจิ้นกั๋วอาจยึดเจียงตูได้แล้ว”
รัชทายาทคาดการณ์ไม่ผิด ข่าวการยึดเมืองเจียงตูได้ในวันที่สิบเก้า เดือนสามของไป๋ชิงเหยียนกำลังถูกส่งมายังเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นข่าวการยึดเมืองหยางเจียงได้กำลังออกเดินทางจากกระโจมที่พักของหญิงสาวมายังเมืองหลวงเช่นเดียวกัน
ฟางเหล่าได้ยินเช่นนี้จึงอดหวาดระแวงขึ้นมาไม่ได้
“องค์ชาย พระวรกายขององค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ค่อยแข็งแรงไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจึงยึดเมืองแต่ละเมืองได้อย่างรวดเร็วภายในไม่เกินหนึ่งเดือนเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ต้าเหลียงส่งแม่ทัพดุดันออกมารบทั้งนั้นนะพ่ะย่ะค่ะ…” เมื่อฟางเหล่ากล่าวออกไปแล้วเห็นว่ารัชทายาทเริ่มมีสีหน้าไม่พอใจ เขาจึงรีบกล่าวอย่างเป็นห่วง
“กระหม่อมแค่กลัวว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วจะฝืนร่างกายของตัวเองเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทพยักหน้า เขานึกถึงตอนที่จางตวนหนิงกลับมารายงานคำกล่าวของหมอหลวง เขารู้สึกดีใจมาก ทว่า รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยเช่นเดียวกัน
“เราเริ่มรู้สึกผิดที่ตอนนั้นบอกองค์หญิงเจิ้นกั๋วไปว่าเราอยากครอบครองใต้หล้า มิเช่นนั้นองค์หญิงเจิ้นกั๋วก็คงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ นางคงพักรักษาตัวอย่างสงบอยู่ที่ซั่วหยางแล้ว”
เฉวียนอวี๋เหลือบมองฟางเหล่าเล็กน้อย เมื่อได้ยินรัชทายาทกล่าวเช่นนี้ ฟางเหล่าจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก
ฉินซ่างจื้อไปดูแลเรื่องการซ่อมเขื่อนแล้ว บัดนี้ที่ปรึกษาข้างกายของรัชทายาทเหลือเพียงเริ่นซื่อเจี๋ยและฟางเหล่าเท่านั้น ทั้งสองคนเดินออกมาจากห้องหนังสือของรัชทายาท ฟางเหล่าเดินเอามือซุกเสื้อพลางขบคิดไปตามระเบียงทางเดินที่ทอดยาวท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุและสว่างแสบตา ผ่านไปครู่หนึ่งฟางเหล่าจึงกล่าวขึ้น “ข้ารู้สึกว่าอาการป่วยขององค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ชอบมาพากล”
เริ่นซื่อเจี๋ยเดินเอามือไขว้หลังอยู่ด้านข้างฟางเหล่า เขากล่าวเสริม “นั่นสิขอรับ การโจมตีเมืองขององค์หญิงเจิ้นกั๋วดุดันและรวดเร็วกว่าแม่ทัพหลิวหงมาก ทว่า หมอหลวงเป็นคนตรวจอาการขององค์หญิงเจิ้นกั๋วด้วยตัวเอง ไม่น่าจะมีสิ่งใดผิดพลาดนะขอรับ”
“เจ้าอย่าลืมนะว่าข้างกายขององค์หญิงเจิ้นกั๋วมีหมอหงที่เก่งกาจเหนือหมอผู้ใดอยู่ แม้แต่หมอหลวงหวงแห่งราชสำนักหมอหลวงยังสู้เขาไม่ได้เลย!” ฟางเหล่าหรี่ตาแคบ “หมอหงผู้นี้อาจทำสิ่งใดบางอย่างกับชีพจรขององค์หญิงเจิ้นกั๋วก็ได้!”
“แม้สิ่งที่ฟางเหล่าสงสัยจะมีเหตุผล ทว่า ไม่ว่าอย่างไรองค์หญิงเจิ้นกั๋วก็เคยสละชีพช่วยองค์รัชทายาทไว้จริงๆ นะขอรับ!” เริ่งซื่อเจี๋ยกล่าวยิ้มๆ “ไม่แน่พระวรกายขององค์หญิงเจิ้นกั๋วอาจจะไม่ไหวจริงๆ ทว่า นางฝืนร่างกายทำเพื่อรัชทายาทอย่างจงรักภักดีจริงๆ ก็ได้นะขอรับ!”
“เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วเคยสละชีวิตช่วยเหลือองค์ชายทีไร ข้ายิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าสงสัยมากขึ้นทุกที!ความจงรักภักดีไม่มีทางทำให้ร่างกายที่อ่อนแอขององค์หญิงเจิ้นกั๋วกลับมาแข็งแกร่งดุดันจนยึดเมืองแต่ะละเมืองได้รวดเร็วเพียงนี้หรอก ที่สำคัญไปกว่านั้นองค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่เพียงนำทัพของต้าเหลียงที่ยอมจำนนกับต้าจิ้นไปบุกเมืองเท่านั้น ฝ่ายต้าเหลียงยังส่งกองใหญ่มาต่อสู้กับองค์หญิงเจิ้นกั๋วอีกต่างหาก!”
ฟางเหล่าเดินช้าลง เขาก้มมองดูทางเดินที่ทอดยาวนิ่ง จู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าลง “ทหารต้าจิ้นที่อยู่ข้างกายขององค์หญิงเจิ้นกั๋วในตอนนี้มีเพียงทหารมือสมัครเล่นจากซั่วหยางที่นางพาไปยังต้าเหลียงเท่านั้น!”
“ฟางเหล่านึกสิ่งใดออกกัน” เริ่นซื่อเจี๋ยมองสีหน้าเคร่งเครียดของฟางเหล่าจึงเอ่ยถามขึ้นทันที
“องค์หญิงเจิ้นกั๋วมีเพียงทหารมือสมัครเล่นจากซั่วหยางยังกล้าใช้งานทหารยอมจำนนนับแสนของต้าเหลียงเช่นนี้แสดงว่าทหารจากซั่วหยางกลุ่มนี้ต้องมีความสามารถซ่อนอยู่! มิเช่นนั้นองค์หญิงเจิ้นกั๋วจะไม่กลัวกองทัพต้าเหลียงที่ยอมจำนนแว้งกัดนางหรืออย่างไร แสดงว่ากองทัพต้าเหลียงเหล่านั้นหวาดกลัวองค์หญิงเจิ้นกั๋ว ไม่…ไม่ได้หวาดกลัวองค์หญิงเจิ้นกั๋ว พวกเขาหวาดกลัวทหารข้างกายขององค์หญิงเจิ้นกั๋วจึงไม่กล้าคิดกบฏต่างหาก! มิเช่นนั้นเหตุใดทหารต้าเหลียงเหล่านั้นถึงได้เชื่อฟังองค์หญิงเจิ้นกั๋วถึงเพียงนี้กัน”
ฟางเหล่ากล่าวถึงช่วงสุดท้ายก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตัวเอง เขาอยากกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้รัชทายาททราบที่ห้องหนังสือ ทว่า เขากลัวว่ารัชทายาทจะคิดว่าเขายุแยงอีก
“ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง ทว่า พวกเราไม่มีหลักฐาน องค์รัชทายาทคงไม่เชื่อหรอกขอรับ” เริ่นซื่อเจี๋ยกล่าว
“นั่นนะสิ” ฟางเหล่าขบกรามแน่น คำว่าผู้ช่วยชีวิตทำให้รัชทายาทเชื่อใจไป๋ชิงเหยียนอย่างหมดใจ ช่างน่าโมโหจริงๆ!
ไม่นานฟางเหล่าจึงตัดสินใจได้ เขาหันไปทางเริ่นซื่อเจี๋ยแล้วกล่าวขึ้น “ข้าตัดสินใจจะเดินทางไปซั่วหยางในวันนี้ คงใช้เวลาไปกลับประมาณสิบวัน ช่วงนี้ฝากเจ้าช่วยดูแลองค์ชายด้วย!”
“ฟางเหล่า!?” เริ่นซื่อเจี๋ยคาดไม่ถึง “ท่านจะไปตรวจสอบทหารซั่วหยางที่รวมตัวกันขึ้นมาเพื่อปราบปรามโจรป่ากลุ่มนั้นหรือขอรับ”
ฟางเหล่าพยักหน้า “เดิมทีข้าตั้งใจจะให้เจ้าไป ทว่า กลัวว่าเจ้าจะไม่สังเกตจุดที่ควรสังเกต ข้าไปเองดีกว่า! เจ้าช่วยข้าปิดบังองค์รัชทายาทด้วย อย่าให้พระองค์ทราบเด็ดขาดว่าข้าไปซั่วหยาง”
เริ่นซื่อเจี๋ยพยักหน้า จากนั้นยกมือคารวะฟางเหล่า “ฟางเหล่าไม่ต้องห่วง ข้าจะหาทางปิดบังจนกว่าฟางเหล่าจะกลับมาขอรับ”
เมื่อข่าวเรื่องที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วยึดเมืองต้าถงได้และกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงหานของต้าเหลียงต่อส่งกลับมายังเมืองหลวง ชาวบ้านต้าจิ้นต่างรู้สึกดีใจ ก่อนหน้านี้ต้าจิ้นแค่ต้องการให้ต้าเหลียงมอบเมืองที่ตกลงกันไว้ในสัญญาตอนแรกให้ต้าจิ้นเท่านั้น ปรากฏว่าต้าเหลียงไม่ยอม บัดนี้ต้าเหลียงจึงถูกโจมตีย่อยยับถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่ยอมตั้งแต่แรกกัน!
ชาวบ้านส่วนใหญ่ดีใจ ทว่า มีบางคนในต้าจิ้นเริ่มนั่งไม่ติดที่ คืนวันนที่ข่าวงส่งกลับมายังเมืองหลวง หลี่หมิงรุ่ยสวมเสื้อคลุมกันลมสีดำแอบขี่ม้าออกจากจวนไปยังจวนของเหลียงอ๋อง
เมื่อหลี่หมิงรุ่ยมองสำรวจรอบบริเวณแล้วว่าไม่มีคน เขาจึงเตรียมเอื้อมมือไปเคาะประตู ทว่า มือของเขากลับถูกคนจับไว้เสียก่อน
หลี่หมิงรุ่ยหันกลับไปมองก็เห็นร่างที่ผมขาวโพลนในชุดสีดำของเสิ่นไป่จ้ง สีหน้าของเขาส่อแววยินดีขึ้นมาทันที เขารีบมองซ้ายมองขาวจากนั้นกล่าวเสียงเบาหวิว “เหล่าเวิง! เจ้าไปจากเมืองหลวงแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงกลับมาที่นี่อีก!”
เสิ่นไป่จ้งไม่ได้ตอบสิ่งใด เขามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง จากนั้นลากหลี่หมิงรุ่ยไปยังหลังต้นไม้แล้วกล่าวขึ้น “คุณชายไปมาหาสู่กับเหลียงอ๋องผู้นี้ให้น้อยลงเถิดขอรับ”
“เหล่าเวิง เจ้าไม่ต้องยุ่งเรื่องของข้าอีกแล้ว เจ้ารีบไปจากเมืองหลวงเถิด เมืองหลวงใกล้จะวุ่นวายแล้ว!” หลี่หมิงรุ่ยเปิดหมวกคลุมผมออก จากนั้นกล่าวกับเสิ่นไป่จ้งเสียงเบาหวิว “เงินที่ข้าให้เหล่าเวิงไปคราวที่แล้วไม่พอใช่หรือไม่”
หลี่หมิงรุ่ยรีบล้วงเงินออกมาจากกระเป๋า จากนั้นยัดใส่มือของเสิ่นไป่จ้ง “ข้าพกติดตัวมาแค่นี้ ทว่า น่าจะพอให้เหล่าเวิงใช้ชีวิตได้ช่วงหนึ่ง เมื่อสถานการณ์ในเมืองหลวงสงบลง ข้าจะไปรับเหล่าเวิงกลับมาแน่นอน”
หากกล่าวว่าคนอย่างหลี่หมิงรุ่ยยังพอมีความเมตตาอยู่บ้าง เช่นนั้นความเมตตาที่มีอยู่เพียงน้อยนิดของหลี่หมิงรุ่ยก็มอบให้เหล่าเวิงไปหมดแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะเหล่าเวิงเคยช่วยชีวิตเขา หรือบางทีอาจเป็นเพราะเหล่าเวิงช่วยชดเชยความรักที่หลี่หมิงรุ่ยขาดแคลนจากบิดาให้เขา