สตรีแกร่งตระกูลไป๋ – ตอนที่ 840 แพ้เป็นเจ้าชนะเป็นโจร

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 840 แพ้เป็นเจ้าชนะเป็นโจร

ฟางเหล่าหันกลับไปมอง เมื่อนั่งลงก็พยักหน้าให้เล็กน้อย เขาหยิบเงินออกมาจากหน้าอกแล้ววางลงบนโต๊ะเพื่อตบรางวัลให้บ่าวรับใช้ผู้นั้น จากนั้นเอ่ยถามต่อ “กองทัพซั่วหยางเมื่อครู่คือกองทัพที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วฝึกซ้อมเพื่อปราบปรามโจรป่าอย่างนั้นหรือ”

บ่าวรับใช้ชายรีบเก็บเงินรางวัลเข้ากระเป๋าพลางฉีกยิ้มร่า น้ำเสียงกระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิม “ขอบพระคุณนายขอรับ! กองทัพซั่วหยางตรวจเมืองที่ท่านกล่าวถึงคือกองทัพที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วฝึกซ้อมขึ้นมาเพื่อปราบปรามโจรป่าให้ชาวบ้านซั่วหยางขอรับ ตอนนี้กองทัพกลุ่มนี้ผลัดกันออกตรวจตราความเรียบร้อยของเมืองซั่วหยางทั้งวัน อย่าว่าแต่โจรป่าเลยขอรับ แม้แต่ขโมยหรือคนร้ายในเมืองซั่วหยางก็ยังไม่กล้าออกมาอาละวาดเลยขอรับ”

ฟางเหล่าพยักหน้าแล้วเอ่ยถามต่อ “คุณหนูห้าเมื่อครู่…คือคุณหนูห้าแห่งตระกูลไป๋อย่างนั้นหรือ”

“ใช่ขอรับ! ได้ยินว่าบรรพบุรุษของตระกูลไป๋ออกกฎว่าทายาททุกคนของตระกูลไป๋ไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนต้องไปฝึกอบรมที่ค่ายทหาร ต่อมาบุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตในสนามรบทั้งหมด คุณหนูห้าและคุณหนูหกจึงยังไม่ได้เข้าไปฝึกฝนในค่ายทหารอย่างจริงจัง เมื่อเริ่มก่อตั้งค่ายทหารขึ้นที่ซั่วหยาง คุณหนูทั้งสองจึงมาร่วมฝึกกับชาวบ้านด้วยขอรับ คุณหนูทั้งสองเริ่มต้นจากการเป็นทหารธรรมดา ตอนนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นถึงหัวหน้ากองร้อยแล้วขอรับ! ช่างเก่งกาจสมกับเป็นทายาทตระกูลไป๋จริงๆ ท่านดูอย่างองค์หญิงเจิ้นกั๋วและเกาอี้จวิ้นจู่ของพวกเราสิขอรับ พวกนางยึดเมืองของต้าเหลียงได้ทุกเมืองที่ไปเยือนเลยขอรับ”

ตอนที่บ่าวรับใช้ชายเอ่ยถึงองค์หญิงเจิ้นกั๋วและเกาอี้จวิ้นจู่ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างปิดไม่มิด เขากล่าวยิ้มๆ “ผู้ใดหาว่าสตรีสู้บุรุษไม่ได้กันขอรับ”

ใจของฟางเหล่าหนักอึ้งลงเรื่อยๆ นึกไม่ถึงว่าบารมีขององค์หญิงเจิ้นกั๋วในเมืองซั่วหยางจะมากมายถึงเพียงนี้

“ข้าเดินเล่นรอบเมืองอยู่พักใหญ่ ไม่เห็นขอทานเลยสักคน…” ฟางเหล่าถามยิ้มๆ “ข้าจำได้ว่าชาวบ้านจากหวาหยางอพยพมายังซั่วหยางเป็นจำนวนมาก พวกเขาจากไปหมดแล้วหรือ”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ดวงตาของบ่าวรับใช้ชายเป็นประกายขึ้นมาทันที “ยังไม่ได้จากไปขอรับ! ก่อนหน้านี้เมืองซั่วหยางของเรารับชาวบ้านที่อพยพมาจากหวาหยางไว้เป็นจำนวนมาก องค์หญิงเจิ้นกั๋วคิดหาวิธีดูแลชาวบ้านอพยพเหล่านั้น ต่อมาจึงให้ชาวบ้านร่างกายกำยำแข็งแรงที่หายจากโรคระบาดเข้าไปเป็นทหารในกองทัพซั่วหยาง ส่วนชาวบ้านที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ ซั่วหยางของเราจะช่วยพวกนั้นโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้ขอรับ คนเหล่านั้นถูกจัดให้อยู่ทั้งในเมืองและนอกเมืองซั่วหยาง พวกเขาใช้แรงงานของตัวเองตอบแทนค่าอาหารและยารักษาโรคที่พวกเราช่วยเหลือพวกเขาในตอนนั้นขอรับ”

“ความจริงองค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ได้ต้องการค่าอาหารหรือค่ายาจากพวกเขาหรอกขอรับ ทว่า นางไม่อยากให้ชาวบ้านที่อื่นคิดว่าการมาซั่วหยางจะได้รับการดูแลโดยไม่ต้องตอบแทนสิ่งใด พวกเขาสามารถใช้แรงงานของตัวเองแลกกับค่าอาหารและยา อีกทั้งสามารถใช้แรงงานแลกค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ด้วยขอรับ”

“ต่อมาองค์หญิงเจิ้นกั๋วคิดแผนการให้รางวัลตอบแทนผู้ที่ทำดีขึ้นมา ชาวบ้านอพยพคนใดที่ตัดสินใจตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองซั่วหยางถาวร หากพวกเขาโดดเด่นในด้านในก็จะได้รับรางวัลตอบแทนขอรับ! ยกตัวอย่างเช่นหวังเริ่นที่ปีที่แล้วคิดวิธีปรับปรุงการชลประทานของพื้นที่เพาะปลูกขึ้นมาได้จนทำให้ไร่นามีผลผลิตที่มากขึ้น บัดนี้หวังเริ่นผู้นั้นไม่เพียงได้เข้ารับราชการเท่านั้น องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะมอบที่พักอาศัยให้เขาด้วยขอรับ ตอนนี้ครอบครัวของเขามีจวนเป็นของตัวเอง มีชีวิตที่สุขสบายมากขอรับ”

“ส่วนขอทานเก่าของเมืองซั่วหยางล้วนถูกจัดการอย่างเหมาะสมแล้วขอรับ ขอทานที่ไม่มีทะเบียนราษฎร์ ทางการก็ทำทะเบียนราษฎร์ให้พวกเขาใหม่ เมื่อคนเหล่านี้มีชื่อในทะเบียนราษฎร์แล้ว ทางการจะแยกทะเบียนราษฎร์ของพวกเขาออกมา กองทัพซั่วหยางจะไปสำรวจว่าขอทานเหล่านี้กำลังทำสิ่งใดอยู่ทุกๆ ครึ่งเดือน ไม่ว่าขอทานที่มีทะเบียนราษฎร์ใหม่เหล่านี้จะขายตัวเป็นทาส ทำการค้า เข้ารับราชการหรือเข้าร่วมกองทัพ กองทัพซั่วหยางจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแม้แต่น้อย ขอเพียงอย่างเดียวคือชาวบ้านซั่วหยางห้ามบริจาคเงินหรืออาหารให้อดีตขอทานเหล่านี้เด็ดขาด ห้ามให้ความช่วยเหลือจนพวกเขากลายเป็นคนเกียจคร้าน ส่วนขอทานที่มีอายุมากแล้วและไม่มีลูกหลานคอยดูแล ทางการก็จะหาที่ลงหลักปักฐานให้พวกเขาอย่างเหมาะสม”

บ่าวรับใช้ชายเห็นว่าฟางเหล่าตบเงินรางวัลให้เขาค่อนข้างเยอะเขาจึงกล่าวมากไปสักนิด บ่าวรับใช้ชายกล่าวยิ้มๆ “ตอนนี้ทุกคนในซั่วหยางล้วนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เหมือนดังที่ใต้เท้าไป๋ชิงผิงผู้ควบคุมดูแลกองทัพซั่วหยางกล่าวว่าขอเพียงพวกเราขยันขันแข็ง ทุกคนในซั่วหยางจะมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน นายท่านเชิญรับประทานตามสบายนะขอรับ หากต้องการสิ่งใดเรียกข้าได้ตลอดเวลา ข้าขอตัวก่อนขอรับ!”

ฟางเหล่าพยักหน้า ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว เจ้าเมืองซั่วหยางและไป๋ชิงเหยียนไม่เคยรายงานเรื่องเหล่านี้ให้ราชสำนักรับรู้แม้แต่น้อย ไป๋ชิงเหยียนกำลังทำให้เมืองซั่วหยางกลายเป็นเมืองของนางชัดๆ

ขณะที่ฟางเหล่ากำลังคิดว่าจะรายงานเรื่องนี้ให้รัชทายาทรับรู้เช่นไรดีก็ได้ยินโต๊ะข้างๆ สองสามโต๊ะกำลังเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง

“ได้ยินว่าเหลียงอ๋องร่วมมือกับอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าและหัวหน้ากองกำลังรักษาพระองค์ฟ่านอวี๋ไหวก่อกบฏ เจ้าเพิ่งกลับมาจากเมืองหลวงได้ยินเรื่องนี้บ้างหรือไม่” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามสหายของตัวเอง

สหายที่เพิ่งกลับมาจากเมืองหลวงอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้ารัว “พวกเจ้าได้รับข่าวเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว! วันนั้นข้าไปถึงหน้าประตูเมืองหลวงแล้ว ทว่า พอได้ยินว่าประตูเมืองทั้งสี่ทิศกำลังจะถูกปิด! สามารถเข้าไปในเมืองได้แต่ห้ามออกจากเมืองเด็ดขาด ข้าจึงไม่กล้าเข้าไปด้านใน ข้าให้บ่าวรับใช้นำชาเข้าไปส่งในเมืองส่วนข้าหาข้ออ้างหนีกลับมาก่อน! วันนี้ข้าตั้งใจจะเล่าเรื่องนี้ให้พวกเจ้าฟังเสียหน่อย!”

“เจ้าจะเล่าอันใดอีก ข้าเพิ่งกลับมาจากอำเภอใกล้เคียง ข่าวแพร่กระจายไปทั่วอำเภอว่ารัชทายาทและฮ่องเต้ถูกขังอยู่ในวังหลวง รู้สึกว่าคุณหนูรองของตระกูลไป๋จะเป็นคนนำทัพคุ้มกันทั้งสองพระองค์อยู่”

“ใช่ ระหว่างทางที่ข้ากลับมาซั่วหยาง ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วแล้ว โรงน้ำชาและโรงสุราต่างถกเถียงกันแต่เรื่องนี้”

“ข้ารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ หากเหลียงอ๋องจะก่อกบฏจริงๆ ข่าวจะแพร่ออกมาเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

“ได้ยินว่ารัชทายาทรู้สึกผิดสังเกตจึงส่งคนออกมาแพร่กระจายข่าว หวังว่าจะมีคนยกทัพไปหยุดยั้งเหลียงอ๋อง ชาวบ้านทุกคนจะได้รับรู้ว่าเหลียงอ๋องเป็นคนสังหารฮ่องเต้แล้วใส่ร้ายว่าเป็นฝีมือของรัชทายาท เขาต้องการให้ทุกคนช่วยเป็นพยานให้เขา ชื่อเสียงของเขาจะได้ไม่แปดเปื้อนเป็นหมื่นปี”

“ความจริงต่อให้รัชทายาทไม่ส่งคนมาแพร่กระจายข่าวนี้ข้าก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่ารัชทายาทจะสังหารฮ่องเต้ รัชทายาทเป็นถึงรัชทายาทแล้ว ขอเพียงฮ่องเต้สวรรคต รัชทายาทก็จะได้ขึ้นครองราชย์ต่อทันที เหตุใดพระองค์ต้องปลงพระชนม์ฮ่องเต้ด้วย ไร้เหตุผลสิ้นดี!”

“การแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างโอรสล้วนเดิมพันด้วยชีวิตทั้งสิ้น แพ้เป็นเจ้าชนะเป็นโจร…”

ฟางเหล่าได้ยินถึงตรงนี้ก็เริ่มนั่งไม่ติดที่ เขาผุดลุกขึ้นยืนจนเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังล้มลงบนพื้น คนในโรงสุราต่างหันมามองทางเขาเป็นตาเดียว

สีหน้าของฟางเหล่าซีดเผือด หายใจไม่เป็นจังหวะ

เหลียงอ๋องกบฏอย่างนั้นหรือ!

เขาไม่กล้ารอช้า รีบหมุนตัววิ่งลงไปด้านล่างทันที

องครักษ์สี่คนที่คุ้มกันฟางเหล่ามายังซั่วหยางนั่งทานอาหารอยู่ด้านล่างโรงสุรา เมื่อเห็นฟางเหล่าวิ่งลงมาจากด้านบน พวกเขารีบวางเงินลงบนโต๊ะทั้งที่อาหารยังเต็มปาก จากนั้นหยิบดาบตามฟางเหล่าออกไปทันที “เซียนเซิงจะไปที่ใดขอรับ”

“รีบกลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงของฟางเหล่าสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขาไม่อยากจินตนาการเลยว่าหากเหลียงอ๋องร่วมมือกับหลี่เม่าและฟ่านอวี๋ไหวก่อกบฏขึ้นมาในตอนนี้องค์หญิงเจิ้นกั๋วและแม่ทัพหลิวหงอยู่ที่ต้าเหลียงจริงๆ รัชทายาทจะยื้อได้นานเพียงใด

“ขอรับ!” องครักษ์คนหนึ่งรีบวิ่งออกไปจูงม้า

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

Status: Ongoing
นิยายจีนโบราณเข้มข้น ปะทะคารม ทดสอบไหวพริบ สนุกถึงใจ!เพราะถูกคนชั่วหลอกใช้ชาติก่อนคนทั้งตระกูลของนางจึงต้องตายอย่างน่าอนาถ ไร้ซึ่งคนทวงถามความเป็นธรรมชาตินี้นางหวนกลับมาก่อนเรื่องราวเกิดขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยแต่หากสามารถช่วยเหลือคนในครอบครัวได้แม้สักคนนางก็ยินดีทุ่มเทกำลังให้ถึงที่สุดสตรีตระกูลไปแต่ไรมาแกร่งกล้ำเพียบพร้อมบุ๋นบู๊ แม้ไร้ซึ่งที่พึ่งพิงแล้วจริงแต่ก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดมากดขี่ได้!และเพราะเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปนางจึงได้พบกับ ‘เขา’ ไวกว่าชาติก่อนเขาผู้นี้แม้ภายนอกดูป็นมิตรและสง่งามกว่าใคร แต่นงแจ่มแจ้งดีว่าเขาเจ้าเล่ห์และอำหิตมากเพียงไหนชาติก่อนแม้ยืนกันคนละฝั่งแต่บุรุษผู้นี้กลับเป็นผู้มอบทางรอดให้แก่นาง อย่างนั้นชาตินี้นางก็ย่อมตอบแทนเขาเป็นอย่างดีเช่นกัน“แม่นางไปช่วยเหลือข้าหลายครั้งหลายครา ใช่ว่าชื่นชอบข้าหรือไม่?”“คุณชายเข้าใจผิดแล้วล่ะ”“ข้าช่วยเหลือแม่นางไปมาหลายครั้งหลายครา แม่นางไปมีใจชื่นชอบข้าบ้างหรือไม่?”“…”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท