ตอนที่ 851 ปัญหา
เขาเห็นองค์รัชทายาทกอดราชโองการไว้ในอ้อมกอดด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่ากำลังหัวเราะหรือร้องไห้อยู่ เริ่นซื่อเจี๋ยไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี
ทว่า อย่างน้อยก็ทำให้กำลังใจขององค์รัชทายาทกลับมาอีกครั้งแล้ว หากเขาอยากให้ต้าจิ้นวุ่นวายก็ต้องปกป้องให้องค์รัชทายาทมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้
ไป๋จิ่นซิ่วคำนวณเวลาไว้แล้ว การขี่ม้าเร็วจากเมืองหลวงไปยังเมืองหย่วนผิงใช้เวลาประมาณสองวัน การนำกองทัพหย่วนผิงกลับมายังเมืองหลวงใช้เวลาอย่างไม่รีบร้อนประมาณสามวัน ทหารกองทัพหย่วนผิงที่เดินทางไกลมาจากเมืองหย่วนผิงต้องใช้เวลาพักผ่อนหนึ่งวันก่อนเริ่มบุกโจมตี รวมเวลาทั้งหมดประมาณหกวัน
ดังนั้นไป๋จิ่นซิ่วจะคุ้มกันองค์รัชทายาทออกจากเมืองหลวงยามวิกาลในวันที่ยี่สิบเจ็ด เดือนสี่ เมื่อไป๋จิ่นซิ่ววางแผนทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว หญิงสาวจึงส่งคนไปแจ้งให้เริ่นซื่อเจี๋ยทราบ นางกำชับให้เริ่นซื่อเจี๋ยระวังหงเหมยไว้ให้ดี ให้เริ่นซื่อเจี๋ยปิดบังองค์รัชทายาทว่าความจริงแล้วพวกนางจะหนีไปทางประตูทิศใต้ ให้บอกองค์รัชทายาทว่านางกำหนดทางหนีไว้ที่ประตูทิศเหนือแทน เช่นนี้จะได้ทดสอบดูว่าหงเหมยเป็นคนของฟ่านอวี๋ไหวหรือเหลียงอ๋องหรือไม่
เมื่อเริ่นซื่อเจี๋ยได้รับรายงาน เขากลับบอกองค์รัชทายาทไปตามความจริงว่าไป๋จิ่นซิ่วจะพาองค์รัชทายาทหนีไปทางประตูทิศใต้
เมื่อองค์รัชทายาทได้รับรายงานจึงรีบสั่งให้เริ่นซื่อเจี๋ยส่งองครักษ์ลอบกลับไปส่งข่าวให้หงเหมยและเฉวียนอวี๋ที่อยู่ในจวนองค์รัชทายาทรู้ จากนั้นกำชับให้องครักษ์อยู่ที่จวนองค์รัชทายาทต่อเพื่อรอพาหงเหมยและเฉวียนอวี๋ไปรวมตัวกับเขาตรงประตูทิศใต้ในคืนวันที่ยี่สิบเจ็ด เดือนสี่
ในสายตาของคนทุกคนเริ่นซื่อเจี๋ยคือที่ปรึกษาที่จงรักภักดีต่อองค์รัชทายาท ทว่า ความจริงแล้วเริ่นซื่อเจี๋ยคือสายลับของแคว้นต้าเยี่ยน หากเจอโอกาสที่สามารถทำให้ต้าจิ้นเกิดความวุ่นวายได้ เริ่นซื่อเจี๋ยไม่มีทางปล่อยมันไปเด็ดขาด
เขากำลังคิดว่าหากครั้งนี้คนของเหลียงอ๋องรู้ข่าวขององค์รัชทายาทและเตรียมดักจับตัวองค์รัชทายาทที่ประตูทิศใต้ กระทั่งสังหารองค์รัชทายาท พระชายาเอกและองค์ชายน้อยทิ้งทั้งหมด หลังจากนั้นเมื่อข่าวราชโองการลับของจักรพรรดิต้าจิ้นถูกแพร่ออกไป บรรดาขุนนางที่คิดต่อต้านเหลียงอ๋องอาจมีหลักฐานต่อต้านเหลียงอ๋องอย่างชอบธรรม เช่นนี้ต้าจิ้นจึงจะวุ่นวายยิ่งกว่าเดิมหรือไม่
เริ่นซื่อเจี๋ยซุกมือทั้งสองข้างไว้ในเสื้อ เขาเงยหน้ามองดูดวงตะวันบนท้องฟ้า ครุ่นคิดหาโอกาสที่เหมาะสมที่จะส่งข่าวนี้ออกไป
ยามไห่[1]ของวันที่ยี่สิบเจ็ด เดือนสี่
กลุ่มของไป๋จิ่นซิ่วที่สวมชุดดำหมดทุกคนมุ่งหน้าไปยังประตูทิศใต้
กลุ่มของพระชายาเอกอยู่ในชุดคล่องตัวสีดำเช่นเดียวกัน หญิงสาวกอดองค์ชายน้อยที่หลับสนิทไว้ในอ้อมกอด นางพาแม่นมติดตามมาด้วยเพราะกลัวว่าองค์ชายน้อยจะตื่นขึ้นมาตอนช่วงเวลาสำคัญพอดี เช่นนี้องค์ชายน้อยจะได้ดื่มนม ไม่ส่งเสียงร้องไห้จนเกิดปัญหาวุ่นวายตามมา
พระชายาเอกคือคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ นางไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน บัดนี้นางกำลังเผชิญหน้ากับความเป็นความตายจึงไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นมากนัก นางกอดบุตรชายของนางไว้ในอ้อมแขนแน่น ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่าขอให้พวกนางหนีออกไปจากเมืองหลวงได้อย่างราบรื่น อย่าเกิดปัญหาใดขึ้นมาอีก
องครักษ์ยอดฝีมือสามสิบนายภายใต้การนำของไป๋จิ่นซิ่วคุ้มกันองค์รัชทายาท พระชายาเอก องค์ชายน้อยและเริ่นซื่อเจี๋ยไว้ตรงกลาง องครักษ์ที่เหลือของจวนองค์รัชทายาทถูกไป๋จิ่นซิ่วส่งไปรอที่ประตูทิศใต้ตั้งแต่ครึ่งชั่วยามที่แล้วเพื่อความไม่ประมาท
เมื่อเดินไปถึงกำแพงเมืองทิศใต้ ไป๋จิ่นซิ่วยกมือส่งสัญญาณให้องครักษ์ทั้งสามสิบนายหยุดฝีเท้าลง องค์รัชทายาทโอบไหล่พระชายาเอกและบุตรชายให้ย่อกายลงนิ่งๆ
“องค์รัชทายาท หม่อมฉันจะไปสั่งการกับองครักษ์ที่คุ้มกันประตูเมืองก่อน องค์รัชทายาทประทับรออยู่ตรงนี้สักครู่นะเพคะ” ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวกับองค์รัชทายาทเสียงเบา
“เดี๋ยวก่อน!” องค์รัชทายาทมองไปทางเริ่นซื่อเจี๋ยอย่างร้อนรน “หงเหมยกับเฉวียนอวี๋มาแล้วหรือไม่”
เมื่อพระชายาเอกที่ถูกองค์รัชทายาทโอบไว้ในอ้อมแขนได้ยินคำว่า ‘หงเหมย’ สีหน้าของนางแย่ลงทันที เฉวียนอวี๋เป็นขันทีที่ดูแลรับใช้องค์รัชทายาทมาตั้งแต่เล็ก องค์รัชทายาทจะนึกถึงเขาก็ไม่แปลก ทว่า นางไม่คิดเลยว่าเวลาสำคัญเช่นนี้องค์รัชทายาทจะยังไม่ลืมโสเภณีผู้นั้นและคิดจะพานางหนีไปด้วยเช่นนี้!
ไป๋จิ่นซิ่วมองไปทางเริ่นซื่อเจี๋ยแวบหนึ่ง จากนั้นช่วยแก้สถานการณ์ “องค์รัชทายาท ตอนนี้ชีวิตขององค์รัชทายาท พระชายาเอกและองค์ชายน้อยสำคัญที่สุดนะเพคะ ก่อนหน้านี้เหลียงอ๋องไม่ได้ส่งคนไปจับตัวเฉวียนอวี๋กับหงเหมย บัดนี้เขายิ่งไม่มีทางสนใจขันทีและนางสนมคนหนึ่งขององค์รัชทายาทหรอกเพคะ ตอนนี้พวกนั้นยังไม่รู้ตัว หม่อมฉันจะปล่อยให้องค์รัชทายาทรอนางสนมคนหนึ่งอยู่ที่นี่โดยไม่สนใจความปลอดภัยขององค์รัชทายาท พระชายาเอกและองค์ชายน้อยไม่ได้เพคะ พวกเราควรรีบหาทางหนีออกไปจากเมืองหลวงให้ได้ก่อนเพคะ”
แม้องค์รัชทายาทจะเป็นห่วงเฉวียนอวี๋และหงเหมย ทว่า เขารู้ดีว่าไป๋จิ่นซิ่วกล่าวมีเหตุผลจึงพยักหน้ารับ “เราจะทำตามแผนการของฮูหยินฉิน”
ไป๋จิ่นซิ่วพยักหน้าแล้วหันไปกับชับให้องครักษ์คุ้มกันองค์รัชทายาทให้ดี จากนั้นหญิงสาวจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังคาสูง เดินย่ำหลังคากระเบื้องมุ่งหน้าไปยังประตูทิศใต้
ไม่นานผู้นำทหารกองกำลังรักษาพระองค์ก็เดินลงมาจากกำแพงเมืองอย่างรีบร้อน เขาทำความเคารพไป๋จิ่นซิ่วแล้วหันไปตะโกนสั่งเสียงดังลั่น “เปิดประตูเมือง”
สิ้นเสียงเริ่นซื่อเจี๋ยรีบประคองแขนองค์รัชทายาท “ไปกันเถิดพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย…”
องค์รัชทายาทพยักหน้าพลางประคองพระชายาเอกเดินไปด้านหน้าท่ามกลางการอารักขาของเหล่าองครักษ์
ไป๋จิ่นซิ่วเงยหน้ามองไปยังทหารที่อยู่บนกำแพงเมือง จากนั้นกวาดสายตาสำรวจไปยังรอบๆ บริเวณ หญิงสาวเห็นโคมไฟแขวนอยู่ที่หน้ากิจการของพ่อค้าในเมืองหลวง ทว่า ดวงไฟทุกดวงกลับมืดสนิท หญิงสาวรู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นมาทันที
ทว่า ไป๋จิ่นซิ่วยังไม่ทันหันไปบอกให้องค์รัชทายาทหาที่ซ่อนตัวก็เห็นกลุ่มขององค์รัชทายาทและเริ่นซื่อเจี๋ยเดินมาหยุดอยู่ข้างกายนางแล้ว
จู่ๆ แสงไฟรอบบริเวณก็สว่างจ้าขึ้น พวกของไป๋จิ่นซิ่วต่างชักดาบออกมาคุ้มกันองค์รัชทายาท บรรดาทหารกองกำลังรักษาพระองค์ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามไป๋จิ่นซิ่วก็ชักดาบออกมาคุ้มครององค์รัชทายาทเช่นเดียวกัน
พวกเขามองเห็นกองทัพใหญ่วิ่งกรูออกมาจากซอยทั้งสี่ทิศแล้วปิดล้อมพวกเขาไว้ ทหารในสังกัดของฟ่านอวี๋ไหวที่คุ้มกันอยู่นอกเมืองกรูกันเข้ามาในเมืองจำนวนมาก
ฟ่านอวี๋ไหวและเหลียงอ๋องที่อยู่บนหลังม้าศึกค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น
เหลียงอ๋องกวาดสายตาเย็นชามองไปทางองค์รัชทายาท จากนั้นมองไปทางไป๋จิ่นซิ่วและบรรดาทหารคุ้มกันเมือง เขายกยิ้มมุมปากกล่าวกับฟ่านอวี๋ไหว “ใต้เท้าฟ่านควบคุมคนได้ไม่ดีสักเท่าใดเลยนะ ปล่อยให้มีคนทรยศที่ด่านสำคัญอย่างประตูเมืองได้อย่างไรกัน”
เหลียงอ๋องกล่าวเสียงราบเรียบ ไม่มีท่าทีหวาดกลัวเหมือนที่เคยแสดงออกเป็นประจำแม้แต่น้อย
ความสงสัยที่องค์รัชทายาทเคยมีต่อเหลียงอ๋องชัดเจนขึ้นมาทันที ความอ่อนแอ ไร้ความสามารถล้วนเป็นเพียงการแสดงของเหลียงอ๋องเท่านั้น
“แม่ทัพหวัง ข้าดูแลเจ้าเป็นอย่างดี สนับสนุนให้เจ้าได้รับตำแหน่งสำคัญในกองกำลัง ไว้ใจมอบภารกิจสำคัญอย่างการคุ้มกันประตูเมืองให้เจ้า เหตุใดเจ้าจึงทรยศข้าเช่นนี้” ฟ่านอวี๋ไหวที่เหลือดวงตาเพียงข้างเดียวขบกรามมองไปทางแม่ทัพหวังนิ่ง
แม่ทัพหวังที่มีหน้าที่คุ้มกันเมืองหัวเราะเสียงเย็น “ท่านและเหลียงอ๋องคือพวกกบฏ พวกท่านต้องถูกประหารเจ็ดชั่วโคตรแน่!”
“กบฏอย่างนั้นหรือ!” เหลียงอ๋องแสยะยิ้มเย็น จากนั้นมองไปทางแม่ทัพหวัง “ไม่เคยมีกบฏมาก่อน จะมีก็แต่แพ้เป็นโจร ชนะเป็นเจ้าเท่านั้น! ผู้ใดมีความสามารถ ผู้นั้นก็ได้ครอบครองบัลลังก์นั่น เสด็จพี่องค์รัชทายาทคิดว่าข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทขบกรามแน่น ไม่กล่าวสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น
พระชายาเอกตัวสั่นราวกับลูกนก นางกอดร่างของบุตรชายในอ้อมกอดแน่น น้ำตาไหลพรากไม่ขาดสาย เดิมทีนางคิดว่าจะหนีรอดออกไปได้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกดักอยู่ที่นี่ นางตายไม่เป็นอันใด ทว่า บุตรชายของนางจะตายอยู่ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด!
ฟ่านอวี๋ไหวมองไปทางแม่ทัพหวังเขม็ง เขาตะโกนลั่น “พลธนูเตรียมพร้อม!”
พลธนู! องค์รัชทายาทเบิกตาโพลง
พลธนูเดินออกมาจากทางด้านหลังเหลียงอ๋องและฟ่านอวี๋ไหวอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาเล็งธนูไปทางไป๋จิ่นซิ่วและองค์รัชทายาทนิ่ง
“อย่าเอาให้ถึงตาย จับเป็นองค์รัชทายาทให้ได้!” เหลียงอ๋องรู้สึกว่าชัยชนะอยู่ในกำมือของเขาแล้ว เขาจะจับเป็นองค์รัชทายาท ให้จักรพรรดิต้าจิ้นเป็นคนสั่งประหารองค์รัชทายาทด้วยตัวเอง มีเพียงการทำเช่นนี้จึงจะพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ใช่กบฏ วันหน้าเมื่อเขาถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ เขาจะได้ไม่ถูกประณามจากคนรุ่นหลัง
[1] ยามไห่ เวลาระหว่าง 21.00-23.00 นาฬิกา