ตอนที่ 903 งานเลี้ยงหงเหมิน
จักรพรรดิต้าจิ้นใช้แววตาขุ่นมัวมองไปทางองค์หญิงใหญ่ด้วยท่าทีหยิ่งยโส
“ฝ่าบาททรงหมายความว่าหากไม่ให้ฝ่าบาทเสด็จขึ้นไปบนหอบูชาเก้าชั้นนั่น ฝ่าบาทยินดีต่อสู้กับหลานสาวของหม่อมฉันอย่างถึงที่สุดโดยไม่สนใจแคว้นต้าจิ้นและราชวงศ์หลินใช่หรือไม่เพคะ” องค์หญิงใหญ่เงยหน้าขึ้น ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย รอยยิ้มของนางแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน “หากฝ่าบาททรงมีความคิดเช่นนี้ หม่อมฉันคิดว่าทางที่ดีฝ่าบาททรงล้มเลิกความคิดนี้ดีกว่าเพคะ…”
ไม่รอให้องค์หญิงใหญ่กล่าวจบ จักรพรรดิต้าจิ้นมองไปทางฉากกั้นที่ตั้งอยู่ระหว่างโคมไฟดอกบัวยี่สิบสามแฉกสองดวงด้วยแววตาเย็นชา “เช่นนั้นก็รอดูกันว่าผู้ที่ควรล้มเลิกความคิดควรเป็นเราหรือขุนนางกบฏไป๋ชิงเหยียนกันแน่ เสด็จป้าอย่าลืมว่าเมื่อไป๋ชิงเหยียนเข้ามาในเมืองแล้ว ทุกสิ่งไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเสด็จป้าอีกต่อไป อย่างน้อยเราก็เป็นใหญ่ในเมืองลั่วหงแห่งนี้”
องค์หญิงใหญ่มองไปทางจักรพรรดิต้าจิ้น แววตาไม่ได้มีแววโมโหแต่อย่างใด สีหน้าของนางกลับไปเป็นปกติตามเดิม
แม้องค์หญิงใหญ่จะรักษาศีลกินมังสวิรัติมาหลายปีจนใบหน้าของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ทว่า ผู้ที่เกิดและเติบโตมาในวังหลวงอย่างปลอดภัย องค์หญิงใหญ่ซึ่งเกิดจากฮองเฮาที่สามารถมีที่ยืนอยู่ในวังหลวงได้อย่างมั่นคงท่ามกลางเล่ห์กลและอันตรายมากมายจะเป็นคนที่มีเมตตาขนาดนั้นได้อย่างไรกัน
องค์หญิงใหญ่กล้าให้ไป๋ชิงเหยียนเข้ามาในเมืองลั่วหงแสดงว่านางมั่นใจว่าสามารถปกป้องชีวิตของหลานสาวได้ เสิ่นเทียนจือที่ถูกไป๋ชิงเหยียนส่งมาเป็นเจ้าเมืองเยี่ยนว่อคือคนของไป๋ชิงเหยียนหลานสาวของนางตั้งแต่แรก มิเช่นนั้นเหตุใดองค์หญิงใหญ่จะกล้าเชิญหลานสาวของตัวเองเข้ามาในเมืองทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าจะปกป้องนางได้หรือไม่กัน
เดิมทีองค์หญิงใหญ่อยากพยายามครั้งสุดท้ายเพื่อราชวงศ์หลิน ทว่า บัดนี้ไม่ใช่ว่านางไม่ช่วยเหลือ แต่ราชวงศ์หลินเน่าเฟะเกินไปต่างหาก ถึงแม้คนแก่อย่างนางจะทำสุดความสามารถก็คงประคองมันไว้ไม่อยู่แล้ว!
องค์หญิงใหญ่หลับตาลง นางไม่อาจทำสิ่งที่เสด็จพ่อฝากฝังไว้ได้แล้ว
ความจริงอาเป่ามีสายเลือดของนางอยู่ในตัว นางถือเป็นสายเลือดของราชวงศ์เช่นเดียวกัน ทว่า อาเป่าของนางไม่เรียนรู้ที่จะเป็นจักรพรรดิที่ไร้หัวใจ นางจะทำเช่นไรดี
สาวใช้เดินเข้ามาด้านใน จากนั้นทำความเคารพองค์หญิงใหญ่ “องค์หญิงใหญ่ องค์หญิงเจิ้นกั๋วตามเกากงกงขึ้นมาบนหอลั่วหงแล้วเพคะ”
สาวใช้ทำความเคารพอย่างนอบน้อม แม้มารยาทจะสู้นางกำนัลที่ถูกอบรมมาเป็นอย่างดีในวังหลวงไม่ได้ ทว่า ถือได้ว่ารับการอบรมมาดีแล้ว
องค์หญิงใหญ่ยกชาขึ้นจิบทั้งที่ยังหลับตาอยู่ “ข้ารู้แล้ว ออกไปได้…”
ไม่นานเสียงทุ้มลึกของจักรพรรดิต้าจิ้นก็ดังขึ้นหลังฉากกั้น “หวังว่าเสด็จป้าจะโน้มน้าวไป๋ชิงเหยียนได้โดยไม่ต้องให้เราออกหน้าเอง มิเช่นนั้นเรื่องคงไม่จบเพียงแค่นี้”
ใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ดูมืดหม่นท่ามกลางแสงไฟ นางไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาทั้งสิ้น ยกชาขึ้นจิบช้าๆ ราวกับไม่เห็นจักรพรรดิต้าจิ้นในสายตาแม้แต่น้อย
ด้านนอกหน้าต่างแกะสลักลายดอกไม้ซึ่งอยู่ด้านหลังองค์หญิงใหญ่คือดวงจันทร์ที่ถูกก้อนเมฆบดบังไปครึ่งหนึ่ง ไม่นานแสงจันทร์ก็ถูกก้อนเมฆบดบังจนมืดสนิท รอบกายเงียบสงัด มีเพียงแสงระยิบระยับจากดวงดาวและเสียงร้องของแมลงยามค่ำคืนเท่านั้น
ไม่นานองค์หญิงใหญ่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ ประตูไม้แกะสลักอย่างดีถูกเปิดออก เปลวไฟในห้องดับลงชั่วขณะ จากนั้นลุกโหมขึ้นอีกครั้ง
องค์หญิงใหญ่เงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง
หญิงสาวไม่ได้พกดาบเข้ามาด้วย นางถอดรองเท้าแล้วย่ำไปบนพื้นไม้ที่ถูกขัดทำความสะอาดจนมันวาว ร่างในชุดเกราะสีเงินถูกไฟสว่างของหอลั่วหงส่องกระทบจนเป็นประกาย
บางทีอาจเป็นเพราะองค์หญิงใหญ่ชรามากแล้ว นางจึงนึกไม่ออกว่านางและหลานสาวไม่ได้พบหน้ากันนานเพียงใดแล้ว อาเป่ายังคงงดงามเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผิวของนางขาวซีดจนดูอ่อนแอ ทว่า ดวงตาคู่นั้นมีความล้ำลึกและนิ่งขรึมซึ่งปกปิดไว้ไม่มิด หลานสาวของนางดูสง่างาม แข็งแกร่ง หนักแน่นและสงบนิ่ง ไม่เหมือนอาเป่าที่เคยเอนกายซบตักนางอย่างออดอ้อนและหยอกล้อแม้แต่น้อย
บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อก่อนนางคือท่านย่าที่อาเป่าสนิทสนมด้วยมากที่สุด ถึงแม้อาเป่าจะเรียนรู้เร็วมากเพียงใด อาเป่าก็มักจะแสดงท่าทีราวกับเด็กต่อหน้านางเสมอ
ทว่า บัดนี้ย่าหลานยืนอยู่คนละฝั่งกัน
บางทีอาจเป็นเพราะตระกูลไป๋เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ อาเป่าต้องประคับประคองตระกูล นางอาจสูญเสียความอ่อนโยนและอ่อนเยาว์ไปโดยไม่รู้ตัวเพื่อที่จะกลายเป็นสตรีที่แข็งแกร่งจนสามารถปกป้องแคว้นได้
ขอบตาขององค์หญิงใหญ่ร้อนผ่าว ดวงตาสองข้างพร่ามัวจนนางมองเห็นเพียงกรอบหน้าที่ซูบผอมของไป๋ชิงเหยียนเท่านั้น องค์หญิงใหญ่เป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี นางไม่อยากเช็ดน้ำตาต่อหน้าหลานสาวของตัวเอง ไม่อยากเผยด้านอ่อนแอให้หลานสาวของตัวเองเห็น นางวางศอกข้างหนึ่งลงบนหมอนอิงพลางยิ้มให้ไป๋ชิงเหยียนน้อยๆ
องค์หญิงใหญ่นึกถึงคำชมขององค์ชายสี่แห่งต้าเหลียงที่เคยกล่าวชมไป๋ชิงเหยียนในงานเลี้ยง งดงามแข็งแกร่งเพียงหนึ่งเดียว ช่างเป็นคำชมที่ถูกต้องจริงๆ
นางรู้ดีว่าไป๋ชิงเหยียนเข้ามาในเมืองลั่วหงเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ย่าหลาน หลานสาวของนางเหมือนไป๋เวยถิงมาก ขอเพียงเป็นเรื่องของคนที่พวกเขารัก พวกเขายินยอมทำทุกอย่างโดยไม่สนว่าจะอันตรายเพียงใด
หากเทียบกับย่าอย่างนางแล้ว นางยังบกพร่องในหน้าที่อยู่มาก
จักรพรรดิต้าจิ้นซึ่งอยู่ด้านหลังฉากกั้นมองไปทางไป๋ชิงเหยียน จักรพรรดิต้าจิ้นมองเห็นร่างผอมเพรียวของไป๋ชิงเหยียนผ่านฉากกั้นแผ่นบาง หญิงสาวเดินตามเกาเต๋อเม่าเข้ามาด้านในด้วยฝีเท้าที่มั่นคง ไม่เหมือนคนที่ป่วยใกล้ตายเลยสักนิด
หญิงสาวแสร้งป่วยใกล้ตายเพื่อตบตาจักรพรรดิอย่างเขาและองค์รัชทายาทเท่านั้น
ผู้ที่ใกล้ตายจะกล้าขึ้นเป็นจักรพรรดิได้อย่างไรกัน
เฉวียนอวี๋ยืนถือถาดสี่เหลี่ยมสีดำที่มีถ้วยสุราพิษหยกวางอยู่ข้างกายจักรพรรดิต้าจิ้นด้วยมือที่สั่นเทา
เขาถูกจับตาดูตั้งแต่ตอนจักรพรรดิต้าจิ้นเรียกเขาไปพบจนถึงตอนนี้จึงไม่มีเวลาส่งข่าวให้ไป๋ชิงเหยียนรับรู้แม้แต่น้อย เขาอยากบอกไป๋ชิงเหยียนว่าอย่ามางานเลี้ยงหงเหมินในครั้งนี้เด็ดขาด ทว่า ไป๋ชิงเหยียนมาแล้ว…
เฉวียนอวี๋ก้มหน้ามองดูถ้วยสุราพิษหยกในมือ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจปล่อยให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วดื่มสุราพิษถ้วยนี้ได้ เขาต้องหาโอกาสส่งสัญญาณให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วรับรู้เรื่องนี้เพื่อเตรียมรับมือ แม้องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะจับจักรพรรดิต้าจิ้นเป็นตัวประกันก็ตาม!
เฉวียนอวี๋คิดได้ดังนี้จึงเหลือบมองไปทางจักรพรรดิต้าจิ้นแวบหนึ่ง จากนั้นรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ มือของเขาสั่นรุนแรงกว่าเดิม
เขาเป็นขันทีมาครึ่งชีวิต เขาไม่เคยคิดหลบหลู่หรือล่วงเกินจักรพรรดิและองค์รัชทายาทแม้แต่น้อย ทว่า วันนี้เขากลับเหิมเกริมถึงขนาดคิดให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วจับจักรพรรดิต้าจิ้นเป็นตัวประกัน
แค่คิดเฉวียนอวี๋ก็รู้สึกเหงื่อท่วมตัวแล้ว
“ท่านย่า…” ไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพองค์หญิงใหญ่
“อาเป่า…มานี่!” องค์หญิงใหญ่กวักมือเรียกไป๋ชิงเหยียนยิ้มๆ “มาข้างกายย่า”
ไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่กลางหอลั่วหง แสงไฟจากเทียนส่องกระทบลงบนพื้นไม้ที่ถูกขัดจนมันวาว แววตาล้ำลึกของหญิงสาวมองสำรวจไปรอบบริเวณ จงใจกวาดสายตาไปยังฉากกั้น “ได้ยินเกากงกงบอกว่าจักรพรรดิต้าจิ้นอยู่ที่นี่ด้วย…”