“ฝ่าบาททรงประทานราชโองการแต่งตั้งให้เซิงเอ๋อร์เป็นกุ้ยเฟยด้วยพระองค์เอง กระหม่อมไหนเลยจะกล้าไม่ยอมรับ?” เหลียงจวิ้นอ๋องทูลต่อไป “เพียงแต่ว่านางยังอายุน้อย นิสัยเป็นเด็ก อีกทั้งเติบโตอยู่ในเมืองกู่เย่ว ไม่รู้จักกฏไม่รู้จักระเบียบ กระหม่อมเกรงว่าหากรีบร้อนส่งนางเข้าวังไป นางก็จะก่อเรื่อง ทำให้ไม่เป็นที่พอพระทัย จึงได้คิดจะรั้งนางเอาไว้ที่ข้างกาย อบรมสั่งสอนอีกสักสองปีค่อยส่งนางเข้าวังไป”
รอยแย้มสรวลที่เย็นชาของจีเฉวียนยังไม่ทันจางหาย “ดังนั้น เพราะสั่งสอนมากเกินไป ก็เลยป่วยไข้ขึ้นมา?”
เหลียงจวิ้นอ๋องไม่ชอบรอยยิ้มเช่นนี้ของพระองค์จริงๆ เพราะมันเหมือนกับว่าทุกความในใจของเขาถูกพระองค์มองออกจนทะลุปรุโปร่ง
เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าจีเฉวียน เขาก็ไม่อาจซ่อนเร้นอะไรได้ทั้งนั้น มิว่าสิ่งใดๆ เพียงพระองค์ทรงมองผ่านแค่ครั้งเดียวก็ทรงทราบจนกระจ่างแล้ว
“กระหม่อมเพียงอยากจะขอให้ฝ่าบาททรงเห็นแก่ที่เซิงเออร์จะอย่างไรเสียก็เป็นกุ้ยเฟยในพระองค์ ขอทรงพระกรุณาใส่พระทัยนางบ้างสักเล็กน้อย” เหลียงจวิ้นอ๋องประสานหมัดคำนับอีกครั้ง
หากไม่ใช่เพื่อเซิงเออร์แล้ว ในชีวิตนี้เขาไม่มีทางจะยอมทำตนต่ำต้อยต่อหน้าจีเฉวียนเป็นอันขาด
“เซิงเออร์ย่อมต้องชื่นชมในพระบารมีของพระองค์อยู่แล้ว ต้องโทษที่กระหม่อมคิดจะรั้งตัวนางไว้ที่ข้างกายอีกสักสองปี ถึงได้ทำให้นางครุ่นคิดถึงพระองค์จนล้มป่วย เจ็บจนลุกไม่ขึ้น หากว่าฝ่าบาททรงเสด็จไปเยี่ยมเยือนบ้าง นางจะต้องตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน”
เพื่อเหลียงเซิงเซิง เหลียงจวิ้นอ๋องย่อมทุ่มเทสุดตัวแล้ว แม้แต่คำพูดโป้ปดอันใดเขาก็กล้ากล่าวออกมา
“กระหม่อม วิงวอนฝ่าบาทแล้วพะยะค่ะ” เหลียงจวิ้นอ๋องก้มศีรษะลงตรงเบื้องพระพักตร์จีเฉวียน “ขอเพียงฝ่าบาททรงพระกรุณาดูแลนางสักหนึ่งคืน อาวุธที่เมืองกู่เย่วติดค้างราชสำนัก ต่อให้กระหม่อมต้องทุบหม้อข้าวขายเป็นเศษเหล็กก็ต้องสมทบให้เต็มให้จงได้”
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูด้วยพระเนตรลึกล้ำ ม้วนบันทึกไม้ไผ่ที่ปฐมฮ่องเต้ทรงให้เก็บรักษาไว้บนยอดหอคอยบนตำหนักเฟิ่งหมิงกงนั้น ได้บันทึกเรื่องราวมากมายเอาไว้อย่างชัดเจน ในนั้นย่อมมีเรื่องของเหลียงจวิ้นอ๋องอยู่ด้วย
คนที่ชาญฉลาดอย่างปฐมฮ่องเต้ มีหรือจะไม่ทราบว่าตนเองมีศัตรูหัวใจอยู่เท่าไหร่
ต่อให้เป็นการแอบๆ หลบๆ ซ่อนๆ ก็ตาม ก็ยังไม่มีทางรอดพ้นสายพระเนตรของพระองค์ไปได้
แม้แต่ข้อมูลของบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของศัตรูความรักก็ยังต้องขุดขึ้นมาให้หมด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทายาทรุ่นหลังที่เป็นลูกหลานของเหลียงจวิ้นอ๋องแล้ว องค์ชายแคว้นกู่เย่วที่เหลียงจวิ้นอ๋องเลี้ยงดูเอาไว้…..ไม่ได้ประชวรจนสิ้นไป
แต่สิ้นไปเพราะแผนการลับของปฐมฮ่องเต้ ถึงแม้ว่าตอนที่องค์ชายกู่เย่วจะทรงได้แต่งงานนั้น ปฐมฮ่องเต้จะทรงจากโลกนี้ไปนานแล้วก็ตาม
แต่พระองค์ก็มีพระบัญชาเอาไว้ ทันทีที่องค์ชายทรงมีทายาท ก็จะไม่ให้เขาได้มีชีวิตอยู่ในโลกอีกต่อไป
ในปีที่เหลียงเซิงเซิงเกิดมานั้น ในเมืองกู่เย่วเกิดโรคระบาด อดีตฮ่องเต้ทรงสนองพระบัญชานี้ วางแผนให้คนจงใจทำให้องค์ชายกู่เย่วติดโรคระบาด แม้แต่ชายาขององค์ชายเองก็ยังติดโรคจนสิ้นตามไปด้วย
เรื่องนี้……เหลียงจวิ้นอ๋องย่อมไม่มีทางได้รู้
ไม่อาจโทษว่าฮ่องเต้แต่ละพระองค์มีพระทัยโหดเ**้ยมฝีมือชั่วร้าย เพราะการตัดรากถอนโคนย่อมเป็นแนวทางของผู้ครองแคว้นอยู่แล้ว
เมื่อได้อ่านบันทึกไม้ไผ่ในยอดหอคอย จีเฉวียนย่อมมองสถานการณ์เหล่านี้ได้กระจ่างชัด
สามารถทำทุกอย่างจนถึงขั้นนี้ เพื่อคนที่หลงรักทั้งที่ไม่เคยมีแม้แต่โอกาสจะได้นางมา เหลียงป๋อมิได้ทำให้พระองค์ต้องระอาในตัวเขาเลย
พระองค์เองก็มิได้ดีกว่าเหลียงป๋อในที่ใด?
พระองค์ทุ่มเททั้งหมดที่มีไปรักคนผู้หนึ่ง มอบให้ไปทั้งหมดแล้วแต่กลับไม่เคยได้รับคืนมา….แม้แต่เพียงชั่วขณะหนึ่งก็ตาม
เห็นพระองค์มิได้ทรงมีท่าทีใดๆ เหลียงป๋อที่เดิมทีเคยยโสโอหัง ก็คุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง หลั่งน้ำตาคนชราออกมาด้วยความทุกข์ระทม “ฝ่าบาท กระหม่อมวิงวอนพระองค์แล้ว”
……………………………
หลายวันมานี้ ตู๋กูซิงหลันยังคงอาศัยอยู่ในจวนจวิ้นอ๋อง
ก่อนที่เหลียงเซิงเซิงจะสลบไสลไปนั้นได้สั่งให้คนคอยดูแลนางอย่างดี ตู๋กูซิงหลันจึงอยู่ในจวนเหลียงจวิ้นอ๋องอย่างสุขสบาย
ประกอบกับตอนนี้เหลียงเซิงเซิงหลับไหลไม่ยอมตื่น ทั่วทั้งจวนจวิ้นอ๋องจึงไม่มีผู้ใดมาใส่ใจนาง
นางอยู่ในจวนจวิ้นอ๋องอย่างอิสระเสรี
หลายวันมานี้ ตู๋กูซิงหลันคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องของเหลียงเซิงเซิง ฉู่เจียงเป็นหนึ่งในสิบยมราช สำหรับ ‘เหยื่อ’ ที่เขาหมายตาเอาไว้ ย่อมไม่มีทางปล่อยไปโดยง่าย
ช่วงนี้ ตู๋กูซิงหลันวาดยันต์ขึ้นมาจำนวนมาก แอบผนึกเอาไว้รอบๆ เรือนของเหลียงเซิงเซิง
ชือหลีเองก็ยุ่งอยู่กับการควานหาบุรุษในกู่เย่วมาให้นางจนหัวฟู อย่าได้เห็นว่าบุรุษเหล่านี้กำยำบึกบึน ที่จริงแล้วกลับไม่มีไอหยางในร่างกาย
แต่ละคนเหมือนเติบโตขึ้นมาบนหลุมฝังศพ อึมครึมวังเวงไปหมด
แต่นางก็ไม่สิ้นความพยายาม สุดท้ายจึงหมายตาไปยัง ‘หลานเขย’ ที่เหลียงจวิ้นอ๋องตระเตรียมเอาไว้ให้กับเหลียงเซิงเซิง
สายตาของเหลียงป๋อย่อมสูงส่ง ในเมื่อ ‘หลานเขย’ ที่เขาเสาะหามาสามารถใช้วิธี ‘นอน’ รักษาเหลียงเซิงเซิงได้ ก็จะต้อง ‘นอน’ รักษาตู๋กูซิงหลันได้เช่นกัน
นางรู้ว่าตู๋กูซิงหลันเป็นคนที่มีมาตรการปิดกั้นจิตใจสูง ดังนั้นหลายวันนี้จึงค่อยเตรียมการ วางแผนเอาไว้ว่าก่อนที่ ‘หลายเขย’ ผู้นั้นจะไป ‘นอน’ กับเหลียงเซิงเซิง ก็จะจับเขามา ‘นอน’ กับตู๋กูซิงหลันก่อน
แต่ว่า ‘หลายเขย’ ผู้นี้กลับเร้นลับอย่างยิ่ง มาถึงก็ต้องหลายวันแล้วกลับไม่ยอมโผล่หน้าออกมาเลย ทำให้แม้แต่ชือหลีเองก็ยังต้องประหลาดใจ ว่าเขาทำอย่างไรถึงได้ลึกลับซับซ้อนได้ขนาดนี้
ในที่สุด นางก็ตัดสินใจงัดเอาสมบัติที่เก็บซ่อนเอาไว้มานานหลายปีออกมา
อุปกรณ์ในการจับมัดอย่าง ถุงเฉียนคุน [1] !
อย่าได้เห็นว่ารูปลักษณ์ภายนอกของมันดูเหมือนกับถุงผ้าธรรมดาใบหนึ่ง ขอเพียงครอบหัวลงไป ต่อให้เจ้าเป็นเทพเซียนบนสวรรค์ก็ต้องลงไปอยู่ในถุงให้ข้าอย่างว่าง่าย!
ไร้ซึ่งหนทางหลบหนีอย่างแน่นอน!
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันกำลังเฝ้าคุ้มครองเหลียงเซิงเซิงอยู่ข้างใน ชือหลีก็กำลังจ้องจับคนอยู่ด้านนอก
…………………….
ตกกลางคืนพอดึกสงัด ลมก็พัดแรงขึ้นมา พัดจนดอกไห่ถางปลิวไปทุกทิศทุกทาง
ค่ำคืนในเมืองกู่เย่วล้วนเงียบงันวังเวง
สายลมเหน็บหนาว ทั้งๆ ที่เป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่กลับสามารถทำให้คนแข็งตายได้
ตู๋กูซิงหลันนั่งพิงกับหน้าต่างอยู่ในห้องของเหลียงเซิงเซิง ช่วงนี้นางวาดยันต์ออกมาจำนวนมาก สิ้นเปลืองพละกำลังและจิตวิญญาณไปเยอะ ทั้งยังคอยเฝ้าเหลียงเซิงเซิงติดต่อกันมาหลายวัน พอตกดึกก็อดจะง่วงนอนไม่ได้
นางค่อยๆ หลับตาลง สัปหงกไปครู่หนึ่ง
ชือหลีก็ถือถุงเฉียนคุนเอาไว้ จับตาดูทุกทิศทาง
ถุงเฉียนคุนนี้นางไม่เคยเอามาใช้อย่างง่ายๆ ในช่วงพันปีที่ผ่านมาเคยนำออกมาเพียงสองครั้งเท่านั้น ยิ่งตกดึกนางก็ยิ่งคึกคัก มิว่ามุมใดในจวนจวิ้นอ๋องนางก็ไม่ยอมปล่อยให้รอดสายตาไปได้
เฝ้าคอยอยู่นาน ในที่สุดก็มีความเคลื่อนไหวบ้างแล้ว
เห็นที่ด้านนอกเรือนของเหลียงเซิงเซิง มีเงาของคนสองคน
หนึ่งในนั้นแค่ดูก็รู้ว่าคือ เหลียงจวิ้นอ๋อง
และที่อยู่ข้างกายเขา เป็นบุรุษหนุ่มที่สวมใส่ชุดสีดำทอง รูปร่างผอมมากผู้หนึ่ง
สายลมพัดเสื้อผ้าของเขาจนโบกโบย คืนนี้ปราศจากแสงดาวและไม่มีแสงจันทร์ ต่อให้เป็นชือหลีก็ยังมองเห็นหน้าเขาได้ไม่ชัดเจน
ช่างมัน ไม่ต้องสนใจว่าเห็นหน้าชัดหรือไม่ …..แค่เห็นเงาและร่างของเขา ก็รู้แล้วว่าจะต้องเป็นคนที่โดดเด่นมากเป็นแน่
อาจจะผ่ายผอมไปสักหน่อย ….คงไม่ถึงกับถูกสูบจนเหือดแห้งละมั้ง
เหลียงจวิ้นอ๋องส่งจีเฉวียนถึงด้านหน้าห้องของเหลียงเซิงเซิง ก็หยุดเท้าลง
“เซิงเอ๋อร์อยู่ด้านในสุดของห้องนี้ กระหม่อมของส่งพระองค์เพียงเท่านี้”
พูดแล้ว เขาก็คำนับจีเฉวียนครั้งหนึ่ง พลางถอยออกไป
จะให้เขาต้องมาทนดูฮ่องเต้จับเซิงเออร์จ้ำจี้ด้วยตาตนเอง….เขาทนมองไม่ได้
ขอเพียงพระองค์ช่วยปลุกเซิงเอ๋อร์ขึ้นมาได้…..จีเฉวียนก็อย่าได้คิดจะมีชีวิตอยู่เห็นดวงตะวันของวันต่อไปเลย
เรื่องนี้ ขอเพียงเขาไม่พูดออกไป ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเซิงเอ๋อร์เสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว
นางจะยังคงเป็นหลานสาวของจวิ้นอ๋องผู้บริสุทธิ์สดใสดังหยกต่อไป
จีเฉวียนประทับยืนอยู่ที่เดิม สีพระพักตร์เย็นชา
รอบด้านเกิดเสียงลมพัดมา……….
พระองค์สาวพระบาทไปด้านหน้าหลายก้าว ขณะที่กำลังจะเข้าไปในห้อง ดวงเนตรหงส์คู่นั้นก็พลันแปรเปลี่ยนไป
กลิ่นดอกฮว๋ายฮวา!
ท่ามกลางสายลมที่พัดโหมมีกลิ่นดอกฮว๋ายฮวาลอยมา ถึงแม้จะเบาบาง แต่ก็ไม่อาจจะรอดพ้นพระนาสิกของพระองค์ไปได้
จีเฉวียนขยับไปอีกก้าวหนึ่ง เรือนหลังนี้เงียบมาก ทั้งยังมืดครึ้ม รอบด้านมีแต่ความเงียบงันวังเวงไปหมด
เขาขยับปลายนิ้ว ดวงเนตรหงส์ปรากฏแสงเรืองๆ ขึ้นมาเล็กน้อย
เส้นด้ายสีแดงปรากฏขึ้นบนข้อพระหัตถ์อีกครั้ง ทั้งยังสั่นไหวเบาๆ
หัวใจที่ชืดชามาเนิ่นนานกระตุกขึ้นมาอีกครั้งในทันที
พระองค์รีบขยับพระบาทก้าวไปข้างหน้าอีกสองก้าว แต่ทันใดนั้นทุกสิ่งที่เข้าสู่สายพระเนตรกลับมีแต่ความมืดมิด
——
[1] 乾坤袋: (ถุงเอกภพ ถุงครอบจักรวาล) สมบัติเทพ ไอเท็มลับหนึ่งในสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์จากมหาบรรพกาล ถุงใบนี้สามารถเก็บรวมรวมทุกอย่างเอาไว้ได้ ภายในถุงเป็นมิติพิศวงแห่งหนึ่ง
——
คุยกันนิดนึง
ไรท์: ไฮ้ย่าห์ ใครเตะปลั๊ก รีสตาร์ทด่วนๆ!!
ต่อต่อไป “ในใจของเจ้ามีผู้ใด?”