ตอนที่ 926 ถอนรากถอนโคน
หลู่จิ่นเสียนประมวลผลในสมองอย่างรวดเร็ว จากนั้นกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฝ่าบาททรงตั้งการจัดตั้งสำนึกศึกษาเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ ทรงต้องการให้มีสำนักศึกษาในทุกอำเภอหรือแค่ทุกเมือง พวกเราต้องวางแผนเรื่องนี้กันอีกยาว ที่สำคัญการจัดตั้งสำนักศึกษาต้องใช้งบประมาณจากท้องพระคลังทุกปี เรื่องนี้คงต้องรอให้เสนาบดีกรมการคลังกลับร่วมหารือด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลู่เซียง “…”
“เช่นนั้นก็ประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่าเมื่อเสนาบดีกรมการคลังเว่ยปู้จิ้งกลับมา เราจะเริ่มดำเนินการเรื่องนี้ทันที” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบจึงหันไปมองทางเสิ่นจิ้งจง “เว่ยจงมอบคนให้ใต้เท้าเสิ่นแล้วใช่หรือไม่”
ก่อนไป๋ชิงเหยียนจะออกเดินทางไปยังเมืองลั่วหง หญิงสาวสั่งให้เว่ยจงพยายามจับตัวองครักษ์ลับของราชวงศ์ต้าจิ้นให้ได้มากที่สุด จากนั้นส่งมอบคนให้เสิ่นจิ้งจงนำไปใช้สำหรับการสร้างสำนักตรวจสอบ
องครักษ์ลับของราชวงศ์เหล่านี้ล้วนอยู่ในที่มืด พวกเขาแทบไม่เคยเปิดเผยตัวตน แม้แต่กลุ่มเดียวกันเองยังไม่รู้เลยว่าพวกเขารู้จักกันครบทุกคนหรือไม่ พวกเขาจากพ่อแม่ของตัวเองตั้งแต่เกิด ถูกเลี้ยงดูโดยองครักษ์ลับเช่นเดียวกัน ให้คนที่มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและไม่มีสิ่งใดต้องกังวลเช่นนี้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นถึงจะปลอดภัยที่สุด
เสิ่นจิ้งจงพยักหน้า “ใต้เท้าเว่ยมอบคนให้กระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ นอกจากนี้กระหม่อมยังรวบรวมทหารหน่วยกล้าตายได้อีกจำนวนหนึ่ง เมื่อผ่านการทดสอบและตรวจสอบแล้ว กระหม่อมจะคัดเลือกอีกกลุ่ม จากนั้นส่งกลุ่มที่สองกระจายตัวไปยังแคว้นต้าเยี่ยนตามพระประสงค์ของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด หลังจากจบพิธีบรมราชาภิเษก พวกเราสามารถส่งกลุ่มที่สองไปยังต้าเยี่ยนได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนส่งสายลับกลุ่มที่หนึ่งไปปฏิบัติหน้าที่ก่อนที่นางจะออกเดินทางไปยังเมืองลั่วหงแล้ว หญิงสาวบอกเสิ่นจิ้งจงว่าต้าเยี่ยนเพิ่งยึดครองแคว้นเว่ยมาได้ พวกเขายังควบคุมแคว้นเว่ยไม่ได้ทั้งหมด นี่คือโอกาสอันดีที่จะแทรกคนของเราเข้าไป ให้เสิ่นจิ้งจงจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย
การคัดเลือกสายลับไปแฝงตัวอยู่ตามแคว้นต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย คนผู้นั้นต้องมีความสามารถและความอดทนเป็นอย่างมาก เรื่องนี้สำคัญต่อการใหญ่ในภายภาคหน้า เสิ่นจิ้งจงจึงต้องรอบคอบให้มากที่สุด ดังนั้นแผนการจึงล้าช้ากว่าที่คิดไว้เล็กน้อย
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า จากนั้นได้ยินหลู่เซียงกล่าวกับตน “ฝ่าบาท ยังมีอีกเรื่องพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้เขื่อนกว่างเหอซ่อมแซมไปกว่าครึ่งแล้ว ต่อมาเหลียงอ๋องกบฏและหนีไปยังเมืองลั่วหง ฉินเซียนเซิงที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องการสร้างเขื่อนจึงไปยังเมืองลั่วหง ที่สำคัญกระหม่อมทราบมาว่าคนผู้นั้นคือคนของอดีตรัชทายาท บัดนี้การสร้างเขื่อนกว่างเหอหยุดชะงักลง ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทำเช่นไรต่อไปพ่ะย่ะค่ะ จะใช้งานฉินเซียนเซิงตามเดิมหรือจะเปลี่ยนคนพ่ะย่ะค่ะ”
ปุ่มที่ 4 ใน 4 ตอนถัดไป
ปุ่มที่ 3 ใน 4 ตอนก่อนหน้า
ปุ่มที่ 2 ใน 4 ความคิดเห็น
ปุ่มที่ 1 ใน 4 สารบัญ
0
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า จากนั้นได้ยินหลู่เซียงกล่าวกับตน “ฝ่าบาท ยังมีอีกเรื่องพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้เขื่อนกว่างเหอซ่อมแซมไปกว่าครึ่งแล้ว ต่อมาเหลียงอ๋องกบฏและหนีไปยังเมืองลั่วหง ฉินเซียนเซิงที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องการสร้างเขื่อนจึงไปยังเมืองลั่วหง ที่สำคัญกระหม่อมทราบมาว่าคนผู้นั้นคือคนของอดีตรัชทายาท บัดนี้การสร้างเขื่อนกว่างเหอหยุดชะงักลง ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทำเช่นไรต่อไปพ่ะย่ะค่ะ จะใช้งานฉินเซียนเซิงตามเดิมหรือจะเปลี่ยนคนพ่ะย่ะค่ะ”
“ฉินซ่างจื้อตามอดีตรัชทายาทกลับมาเมืองหลวงด้วย เดิมทีข้าต้องการให้ฉินซ่างจื้อรับผิดชอบดูแลเขื่อนต่อ ข้าจะเรียกเขามาสอบถามก่อนงานพิธี หากเขาไม่ยินยอมทำต่อก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้ที่เหมาะสมแล้ว แค่อาจจะต้องล่าช้ากว่าเดิมสักหน่อย”
“ฝ่าบาททรงมีแผนแล้ว กระหม่อมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ” หลู่เซียงกล่าวยิ้มๆ
ไป๋ชิงเหยียนพยายามตั้งสติฟังรายงานและสนทนานานถึงเพียงนี้ ร่างกายของหญิงสาวอ่อนล้าจนถึงขีดสุดแล้ว หญิงสาวกล่าวขึ้น “รบกวนทุกท่านช่วยดูแลเรื่องพิธีราชาภิเษกด้วย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลู่เซียงและคนอื่นๆ จึงรับรู้ว่าไป๋ชิงเหยียนเหนื่อยแล้ว ทุกคนจึงรีบลุกขี้นยืนคำนับอำลา
ทว่า ผู้นำแคว้นควรมีความรับผิดชอบเช่นนี้
หากผู้นำแคว้นไม่ใช่คนที่จิตใจเมตตา ยืนหยัด และมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง เมื่อคนผู้นั้นได้ครองบัลลังก์ที่เต็มไปด้วยอำนาจ ไม่นานเขาจะถูกภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่กดดันจนทนไม่ไหวเพราะไม่มีศรัทธาและปณิธานเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
แน่นอนว่าหากผู้ที่ครอบครองบัลลังก์แห่งนี้เป็นคนที่ไม่สามารถแบกรับภาระที่หนักอึ้ง เลอะเลือน อาแต่ใจตัวเองและไร้คุณธรรมดังเช่นจักรพรรดิต้าจิ้น แคว้นก็คงต้องดับสูญ
เมื่อเจินหมิงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูไม่กล้าเดินเข้าไปรายงานด้านในเห็นกลุ่มของหลู่เซียงเดินออกมาจึงรีบแหวกม่านเข้าพลางทำความเคารพพวกเขา เมื่อมองส่งกลุ่มของหลู่เซียงจากไปแล้ว เจินหมิงจึงรีบเข้าไปด้านใน นางเตรียมรายงานไป๋ชิงเหยียนว่าบรรดาฮูหยินใกล้เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว
ทว่า เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนเท้าศอกลงบนที่วางแขนของเก้าอี้พลางเอนศีรษะหลับตาลงราวกับกำลังพักผ่อน เจินหมิงจึงลังเลว่าจะรายงานไป๋ชิงเหยียนดีหรือไม่ ขณะนั้นเองนางจึงได้ยินไป๋ชิงเหยียนกล่าวขึ้น
“ตามเว่ยจงมาพบข้า…”
เจินหมิงเห็นไป๋ชิงเหยียนหลับตาด้วยสภาพที่อ่อนเพลียจึงเม้มปากแน่น รอให้ฮูหยิน คุณหนูตระกูลไป๋และคุณชายเจ็ดมาถึงเมืองหลวงก่อนแล้วค่อยรายงานไป๋ชิงเหยียนก็ยังไม่สาย เจินหมิงเอ่ยรับคำ “เจ้าค่ะ”
ไม่นานเว่ยจงจึงมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าไปด้านในก็เห็นไป๋ชิงเหยียนหลับตาราวกับหลับไปแล้ว เขาก้มศีรษะคำนับไป๋ชิงเหยียน ทว่า ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากหญิงสาว เว่ยจงจึงหันไปหาเจินหมิง เขาเตรียมเอ่ยถามเจินหมิงว่าเขาควรออกไปก่อนดีหรือไม่ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวของไป๋ชิงเหยียนดังขึ้น หญิงสาวหยัดกายขึ้นนั่งตัวตรง จากนั้นเอ่ยถามเว่ยจง
“มีองครักษ์ลับที่ไม่ยอมจำนน ยืนกรานจะรับใช้ราชวงศ์หลินเพียงราชวงศ์เดียวบ้างหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท มีพ่ะย่ะค่ะ ทว่า กำจัดทิ้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยจงตอบเสียงราบเรียบ
“นอกจากองครักษ์ลับที่มอบให้สำนักตรวจสอบแล้ว เราสูญเสียองครักษ์ลับไปทั้งหมดจำนวนเท่าใด” ไป๋ชิงเหยียนถามต่อ
“ทูลฝ่าบาท คนที่กระหม่อมมอบให้สำนักตรวจสอบล้วนเป็นองครักษ์ลับเก่าแก่ ตามกฎขององครักษ์ลับแล้ว เมื่อพวกเขาอายุสามสิบพวกเขาต้องคัดเลือกลูกศิษย์มาอบรมข้างกายของพวกเขา บ่าวทราบว่าหน้าที่หลักของสำนักตรวจสอบคือการสืบหาข่าวจากแคว้นอื่นดังนั้นจึงมอบองครักษ์ลับที่อายุสี่สิบถึงห้าสิบปีให้สำนักตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ แม้คนเหล่านี้จะอายุมากแล้ว แม้ร่างกายจะไม่แข็งแรงเท่าบุรุษหนุ่ม ทว่า พวกเขาเหมาะสมที่จะเป็นสายลับมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ! ดังนั้นเมื่อหาคนใหม่มาแทนองครักษ์ลับที่สูญเสียไปได้ พวกเราจึงไม่ได้สูญเสียมากเท่าใดนักพ่ะย่ะค่ะ”
ความจริงเว่ยจงมีความเห็นแก่ตัวอยู่เหมือนกัน คนเหล่านี้ต่อสู้มาทั้งชีวิตจนมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ ร่างกายของพวกเขาสู้คนหนุ่มไม่ได้แล้ว เว่ยจงอยากให้พวกเขามีบั้นปลายชีวิตที่ดี หากพวกเขาไปเป็นสายลับ ขอเพียงพวกเขาปกปิดฐานะของตัวเองได้ดี พวกเขาจะไม่ต่างอันใดกับชาวบ้านธรรมดา พวกเราจะมีชีวิตที่สงบสุขกว่าการเป็นองครักษ์ลับที่ต้องคอยสู้รบไปวันๆ มาก
“พระชายาเอกและองค์ชายน้อยของราชวงศ์ต้าจิ้นเป็นเช่นไรบ้าง” ไป๋ชิงเหยียนถามต่อ
เว่ยจงมองไปที่พื้นกระเบื้องนิ่ง “ยังปลอดภัยดีพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ดูแลพวกเขาให้ดี ไปเถิด…”
เว่ยจงขมวดคิ้วแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขัดคำสั่งเจ้านาย เว่ยจงก้มศีรษะคำนับแนบพื้น “นายหญิง ถึงแม้เด็กจะบริสุทธิ์ ทว่า บัดนี้เราเริ่มราชวงศ์ใหม่แล้ว เราควรถอนรากถอนโคนพวกเขาให้สิ้นพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นหากมีคนคิดหลอกใช้พระชายาเอกและองค์ชายน้อยอาจเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้ขอบเขตดี” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนอ่อนล้า “ยังมีอีกเรื่องที่อยากให้เจ้าทำ นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าจงพาคนไปรออยู่ที่หน้าประตูเมืองด้วยตัวเอง หากมีคนตระกูลไป๋กลับมา เจ้าจงพาพวกเขากลับมาบ้านด้วยตัวเอง หากพวกเขากลับมาในวันที่ทำพิธีพอดี เจ้าจงพาเขาไปที่วังหลวงทันที!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยจงรับคำ
“ไปได้”
เว่ยจงรับคำแล้วเดินโค้งตัวออกจากห้องไป
เมื่อเว่ยจงจากไป เจินหมิงจึงแหวกม่านเข้ามา นางกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนอย่างควบคุมอารมณ์ตื่นเต้นไม่อยู่ “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินและคุณหนูตระกูลไป๋มาถึงเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ ตอนที่เว่ยจงเข้าพบคุณหนูใหญ่ องครักษ์มารายงานว่าพวกเขาเข้ามาในเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ คุณชายเจ็ดเป็นคนพาพวกเขากลับมาเจ้าค่ะ”