ตอนที่ 944 สำนักศึกษาของบุรุษและสตรี
ทว่า คำกล่าวของพี่หญิงใหญ่ที่บอกว่าการที่เขากลับมาอย่างปลอดภัยถือเป็นข่าวดีสำหรับตระกูลไป๋ราวกับช่วยยกก้อนหินที่กดทับอยู่ในใจของไป๋ชิงฉีออก
“ทว่า ข้าปกป้องไม่ได้แม้แต่อาอวี๋ อาอวี๋เหลือเพียง…เพียงร่างที่ถูกเผาไหม้จนเกรียมทั้งร่างเท่านั้นขอรับ แค่รู้ว่าเป็นเขาจากชุดเกราะที่เขาสวมไว้เท่านั้นขอรับ”
ไป๋ชิงฉีที่ปกติเป็นเขานิ่งขรึมสะอื้นออกมาอย่างคุมไม่อยู่ เขาก้มหน้าร้องไห้ออกมาเบาๆ จากนั้นคุกเข่าขอขมาอย่างรู้สึกผิด
อาอวี๋คือทายาทสายหลักของตระกูลไป๋ คือคนที่เขาควรปกป้องและควรรอดชีวิตมากที่สุด!
ไป๋ชิงฉีค่อนข้างเข้มงวดกับอาอวี๋มากกว่าทุกคนเพราะเขาอยากให้อาอวี๋เอาตัวรอดในสนามรบได้
ทว่า อาอวี๋เสียชีวิตไปแล้ว ร่างของเขาถูกเผาไหม้จนแยกไม่ออก
น้องชายแท้ๆ ของเขาเหลือเพียงร่าง เขาค้นหาทั่วทั้งสนามรบ ทว่า กลับหาศีรษะของน้องชายแท้ๆ ไม่เจอ
ฝีมือการยิงธนูของท่านลุงใหญ่แม่นยำมาก หากเขาไปเร็วมากพอ เขาอาจช่วยชีวิตพวกอาจั๋วไว้ได้ ทว่า เขาช้าเกินไป บรรดาน้องชายของเขาเสียชีวิตลงเพราะเสียเลือดมากเกินไป
ความเจ็บปวดถาโถมเข้าใส่ไป๋ชิงฉีจนเขาเจ็บปวดไปทั้งร่างกายราวกับตายทั้งเป็น
ไป๋ชิงเหยียนเม้มปากแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นไป๋ชิงฉีควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้เช่นนี้ หญิงสาวโน้มกายไปลูบศีรษะของน้องชายอย่างปลอบโยน จากนั้นรั้งตัวของไป๋ชิงฉีให้ลุกขึ้นพลางกล่าวปลอบเสียงเบาหวิว “อาฉีไม่ต้องรู้สึกผิดไป อาอวี๋ยังมีชีวิตอยู่ ทว่า เขายังไม่อาจเปิดเผยฐานะตอนนี้ได้”
ไป๋ชิงฉีเงยหน้าขึ้นมองไป๋ชิงเหยียนด้วยดวงตาที่แดงฉานราวกับกำลังตรวจสอบว่าไป๋ชิงเหยียนกล่าวความจริงหรือแต่งเรื่องเพื่อปลอบโยนเขา
ไป๋ชิงอวี๋อยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล เขาเหมือนจะได้ยินพี่ชายสามกล่าวว่า “อาอวี๋” จากนั้นพี่ชายสามคุกเข่าลงบนพื้น เขาจึงเดาได้ทันทีว่าพี่ชายสามเข้าใจว่าเขาตายไปแล้ว
เมื่อนึกถึงผมขาวของพี่ชายสาม ไป๋ชิงอวี๋หลับตาลง พยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหลออกมา
ประสาทหูของเซียวหรงเหยี่ยนค่อนข้างดี แม้ชายหนุ่มจะไม่ได้ยินคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียน ทว่า เขาได้ยินไป๋ชิงฉีกล่าวว่าเขาเป็นคนฝังร่างของคุณชายตระกูลไป๋คนอื่นๆ ด้วยตัวเอง ไม่มีผู้ใดกลับมาอีกแล้ว
เซียวหรงเหยี่ยนมองไปทางไป๋ชิงอวี๋นิ่ง เช่นนั้นอ๋องหน้ากากผีผู้นี้คือผู้ใดกันแน่ เขาไม่ใช่คุณชายตระกูลไป๋ ทว่า คืออาคนใดคนหนึ่งของไป๋ชิงเหยียนอย่างนั้นหรือ
เส้นเสียงของแม่ทัพหน้ากากผีถูกทำลาย น้ำเสียงของเขาจึงแหบพร่า ประกอบกับเขาสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าตลอดเวลาจึงยากที่จะคาดเดาอายุของเขา
เมื่อหลู่เซียงเห็นว่าใกล้ถึงฤกษ์แล้ว เขาจึงก้าวไปด้านหน้าเพื่อทำความเคารพ จากนั้นกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เชิญฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์พ่ะย่ะค่ะ!”
“เชิญฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์พ่ะย่ะค่ะ!”
“เชิญฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์พ่ะย่ะค่ะ!”
“เชิญฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์พ่ะย่ะค่ะ!”
“เชิญฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์พ่ะย่ะค่ะ!”
บรรดาทหารและชาวบ้านตะโกนขึ้นสามครั้งอย่างพร้อมเพรียง
ไป๋ชิงฉี ไป๋ชิงเจวี๋ย ไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นเจา ไป๋จิ่นหวาต่างคุกเข่าลงบนพื้นเช่นเดียวกัน “เชิญฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์พ่ะย่ะค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนลอบมองไปทางไป๋ชิงอวี๋แวบหนึ่ง นางรู้ดีว่าจิ่นถงและอาอวี๋ล้วนเหมือนกัน อาอวี๋วางแผนอยู่ที่หรงตี๋ จิ่นถงวางแผนอยู่ที่ซีเหลียง บัดนี้พวกเขายังไม่อาจกลับมาเป็นสักขีพยานในช่วงเวลานี้ร่วมกับนางในฐานะทายาทของตระกูลไป๋ได้อย่างเปิดเผย
ไป๋ชิงอวี๋ยืนมองบรรดาพี่น้องที่ยืนรวมตัวกันอยู่ไกลๆ เขายกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาภูมิใจในตัวเอง พี่หญิงใหญ่ ตระกูลไป๋และต้าโจวมาก
ไป๋ชิงอวิ๋นที่นั่งอยู่บนรถเข็นมองไปทางไป๋ชิงเหยียนด้วยรอยยิ้ม เขามองดูพี่หญิงใหญ่เดินนำบรรดาขุนนางเข้าไปในตำหนักเฉียนคุน หญิงสาวเปลี่ยนแปลงราชวงศ์และทุกอย่างใหม่ทั้งหมด รัชสมัยของต้าโจวกำลังจะมาถึงแล้ว!
ไป๋ชิงเหยียนเดินขึ้นไปบนบันไดของบัลลังก์สูงที่ผู้คนมากมายยอมเสียเลือดเนื้อแก่งแย่งเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง ไม่เว้นแม้กระทั่งไป๋สุ่ยอ๋องที่มีเพียงกองทัพอ่อนแอ
คนตระกูลไป๋คือครอบครัวของไป๋ชิงเหยียน พวกเขายืนอยู่ตรงบันไดสูงขั้นที่สองซึ่งใกล้กับไป๋ชิงเหยียนมากที่สุด
หลู่เซียงคือราชครูของจักรพรรดิ คือหัวหน้าองคมนตรีของราชสำนัก เขาจึงยืนอยู่บนบันไดสูงขั้นที่สาม ส่วนทหารและขุนนางคนอื่นๆ ต่างยืนอยู่บริเวณสองฝั่งของพรมแดง
เสิ่นคุนหยางยืนอยู่ด้านหน้าสุดของกองทัพ เขาเงยหน้ามองไปทางไป๋ชิงเหยียนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเสี่ยวไป๋ไซว่ที่รบไม่เคยพ่ายแพ้แห่งกองทัพไป๋ของพวกเขาจะได้นั่งบนบัลลังก์แห่งนั้น
เจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วกงและแม่ทัพทุกคนของตระกูลไป๋เคยปลูกเมล็ดแห่งความหวังในการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งลงในใจของทหารอย่างพวกเขา ในที่สุดเมล็ดพันธ์นี้กำลังจะงอกงามขึ้นมาแล้ว
ราชวงศ์ต้าจิ้นไม่มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ที่สืบทอดต่อกันมาเหมือนตระกูลไป๋ คนในราชวงศ์ของพวกเขาไม่มีจิตวิญาณและความกล้าหาญเหมือนคนของตระกูลไป๋
เสิ่นคุนหยางคิดว่าชาตินี้เขาคงไม่มีวันได้เห็นวันที่ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งแล้วเสียอีก
ทว่า บัดนี้เสี่ยวไป๋ไซว่นั่งอยู่บนบัลลังก์แห่งนั้น หญิงสาวต้องทำสงครามเพื่อสิ่งนี้แน่นอน เสิ่นคุนหยางเลือดร้อนขึ้นมาทันที
เขามั่นใจว่าชีวิตนี้เขาต้องได้เห็นต้าโจวรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งได้อย่างแน่นอน เขาต้องได้เห็นใต้หล้าที่มีแต่สันติสุขอย่างที่เจิ้นกั๋วอ๋องและเจิ้นกั๋วกงอยากจะเห็นแน่นอน!
ขุนนางพิธีการตะโกนเสียงดังลั่น “คุกเข่า…”
ทุกคนในตระกูลไป๋และหลู่เซียงคำนับไปทางไป๋ชิงเหยียน “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี ต้าโจวเจริญรุ่งเรืองหมื่นปี!”
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู้ที่คุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรง จากนั้นกล่าวขึ้น “ประกาศราชโองการ!”
“ด้วยโองการของสวรรค์ จักรพรรดินีทรงมีพระราชโองการ ต้าโจวเพิ่งเริ่มต้นสถาปนาขึ้น มีเรื่องต้องจัดการอีกมากมาย บัดนี้เราขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินี เราขอแต่งตั้งต่งซื่อมารดาของเราเป็นไทเฮาแห่งแคว้นต้าโจวเพื่อแสดงความกตัญญู เราขอคารวะอัครเสนาบดีหลู่ซื่ออันในฐานะลูกศิษย์ หวังว่าพวกเราร่วมมือกันช่วยแคว้นต้าโจวให้แข็งแกร่ง วันนี้เราขอแต่งตั้งยศให้แก่ผู้ที่มีความดีความชอบในการปราบกบฏเหลียงอ๋องดังนี้ แต่งตั้งไป๋จิ่นซิ่วเป็นฝู่กั๋วจวิน[1] เกาอี้จวิ้นจู่เป็นเกาอี้จวิน จ้าวเซิ่งเป็นแม่ทัพเจิ้นกั๋ว[2] ฝูรั่วซีเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารม้าจู่โจม เซี่ยอวี่จั่งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารรถม้าศึกควบคู่กับแม่ทัพกองกำลังรักษาพระองค์ หลินคังเล่อเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารรักษาพระองค์ หยางอู่เช่อเป็นแม่ทัพใหญ่ฝู่จวิน[3]”
“แต่งตั้งราชครูหลู่ซื่ออันเป็นไท่เวยรับตำแหน่งซ่างซูลิ่ง[4]ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในซานกง[5] แต่งตั้งเสิ่นจิ้งจงเป็นซือคง ดำรงตำแหน่งจงซูลิ่ง[6] แต่งตั้งต่งชิงผิงเป็นซือถูดำรงตำแหน่งซื่อจงลิ่ง[7] แต่งตั้งหลู่จิ่นเสียนเป็นเสนาบดีกรมขุนนาง หลู่จิ้นเป็นเสนาบดีกรมราชทัณฑ์ เว่ยปู้จิ้งเป็นเสนาบดีกรมการคลัง จางตวนหนิงเป็นเสนาบดีกรมทหาร เสิ่นเทียนจือเป็นเสนาบดีกรมโยธา หลิ่วหรูซื่อเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ ส่วนขุนนางที่มีความดีความชอบคนอื่นๆ ประทานรางวัลให้ตามความดีความชอบ”
เมื่อแต่งตั้งขุนนางรับตำแหน่งตามระบอบการปกครองแบบสามฝ่ายหกกระทรวง โดยแต่งตั้งหลู่ซื่ออันเป็นไท่เวยรับตำแหน่งซ่างซูลิ่งเท่ากับเป็นการประกาศให้ใต้หล้ารับรู้ว่าต้าโจวยกเลิกตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีอย่างถาวรแล้ว
ส่วยฝ่ายนักรบ ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้แต่งตั้งให้พวกเขาดำรงตำแหน่งสำคัญตั้งแต่แรกเพราะต้องการเหลือตำแหน่งสำคัญไว้ให้ผู้ที่ทำความดีความชอบในสงครามกับซีเหลียง
หญิงสาวไม่ได้แต่งตั้งยศให้คนในตระกูลไป๋คนที่เหลือเพราะนางต้องการแต่งตั้งพวกเขาอย่างเปิดเผยหลังจากพวกเขาทำสงครามชนะซีเหลียงได้แล้ว
“แคว้นต้าโจวเพิ่งถูกสถาปนาขึ้น เราต้องการคนมีความสามารถมาเข้าร่วมกับเรา ดังนั้นเราจะจัดสอบขุนนางเพื่อคัดเลือกผู้มีความสามารถรุ่นใหม่มาทำงานให้แคว้น” น้ำเสียงของขุนนางกรมพิธีการชัดเจนและดังกังวาน “เราเพิ่งขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินี เรารู้ดีว่าเรามีภาระหน้าที่ที่หนักอึ้ง เราใคร่ครวญอย่างหนักว่าจะสร้างความแข็งแกร่งให้แคว้นต้าโจวได้อย่างไร เมื่อทบทวนดูจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เราตระหนักได้ว่าคนที่มีความสามารถคือรากฐานของแคว้นที่เจริญรุ่งเรือง เราจะเปิดสำนักศึกษาของบุรุษและสตรีตามเมืองต่างๆ เพื่อสร้างคนมีความสามารถให้แคว้นต้าโจว เราจะอนุญาตให้สตรีมีโอกาสเข้าร่วมการสอบขุนนางและเข้ารับราชการ ใช้ความสามารถของพวกนางพัฒนาแคว้นต้าโจวของเราให้ดียิ่งขึ้นไป”
ขุนนางแคว้นต้าโจวรู้อยู่ก่อนแล้วว่าไป๋ชิงเหยียนต้องการเปิดสำนักศึกษาของบุรุษและสตรีและอนุญาตให้สตรีสอบขุนนางเพื่อรับราชการ ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจ ทว่า บัดนี้ไป๋ชิงเหยียนขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินีแห่งต้าโจวแล้ว จักรพรรดินีมีราชโองการ ขุนนางอย่างพวกเขาจะกล้าขัดราชโองการอย่างนั้นหรือ!
[1] จวิน คือบรรดาศักดิ์ที่จักรพรรดิพระราชทานให้แก่ผู้ที่มีศักดินาหรือจวิ้นจู่ซึ่งทำความดีความชอบยิ่งใหญ่ให้แก่บ้านเมือง
[2] แม่ทัพเจิ้นกั๋ว คือขุนพลผู้พิทักษ์
[3] แม่ทัพใหญ่ฝู่จวิน คือ มหาขุนพลผู้ประโลมทัพ
[4] ซ่างซูลิ่ง คือ ตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในซานกง
[5] ซานกง คือ สามมหาเสนาบดีที่มีอำนาจบริหารสูงสุด ประกอบไปด้วย ไท่เวย ซือคง ซือถู
[6] จงซูลิ่ง คือ ผู้ช่วยฝ่ายขวาของซ่างซูลิ่ง
[7] ซื่อจงลิ่ง คือ ผู้ช่วยฝ่ายซ้ายของซ่างซูลิ่ง