“แม่นางน้อยในจวนจวิ้นอ๋องผู้นั้น มิว่าท่านจะสนใจหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า”
“เพียงแต่ว่าในชั่วชีวิตหนึ่งจะเกิดความรักขึ้นสักครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านช่วยเฝ้ารักษาฝูซางมานานหลายปี ข้าก็รู้สึกซาบซึ้งจากใจจริง” คนผู้นั้นว่าต่อไป ขณะมองดูภูเขาฝูซางที่อาบไล้สีแดงของโลหิต กล่าวพลางทอดถอนหายใจออกมา
“เนื่องเพราะสำนึกในบุญคุณ จึงไม่อยากเห็นท่านต้องทุกข์ทนเพราะความรัก ไยต้องปล่อยให้สูญเสียแล้วจึงมาสำนึกเสียใจ”
“เหมือนกับข้า…ที่ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีโอกาสจะได้ช่วงชิงคนที่รักกลับคืนมาอีกแล้ว”
เขาทอดตามองไปยังส่วนลึกในภูเขา ท่ามกลางหมอกสีดำรอบกาย ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความคับแค้น เกรี้ยวกราด และความเสียดาย
ทุกสิ่งที่อยู่ลึกลงไปใต้นั้น คือทั้งหมดที่นางพยายามเฝ้าปกป้องรักษา
เขาไม่อาจปกป้องพวกมันได้
แม้แต่นางเขาก็ยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้…..
“คำพูดของข้าสิ้นสุดเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกการตัดสินใจของท่าน ไม่ทำให้ท่านต้องเศร้าเสียใจ”
พูดแล้วเขาก็กลายเป็นหมอกดำกลุ่มหนึ่ง เมื่อสายลมพัดมาก็สลายหายไป
เหลืออยู่แต่เพียงเศษหยกสรรพชีวิตชิ้นนั้น ภายใต้แสงของพระจันทร์สีเลือดสาดส่อง ยิ่งบาดตากว่าเดิม
ฉู่เจียงมองดูชิ้นหยก นัยตาก็ปรากฏไอสังหารเข้มข้นขึ้นมา
…………………
ยามที่จีเฉวียนมาถึงนั้น ดอกไห่ถางในเมืองกู่เย่วยังมิได้โรยรา
หลายวันมานี้ ผู้คนต่างรู้เพียงแค่ว่าจวนจวิ้นอ๋องมีแขกสูงศักดิ์มาเยือน ฟังว่าเป็นคุณชายที่งดงามล้ำเลิศผู้หนึ่ง
มีสาวน้อยมากมายที่มาเฝ้าดูอยู่หน้าจวนจวิ้นอ๋องเพื่อหวังจะได้พบหน้าเขาสักครั้ง
เฝ้ารออยู่หลายวันแม้แต่เงาของคนก็ยังไม่ได้เห็น
ฟังว่า คุณชายสูงศักดิ์ที่งดงามผู้นั้น เหลียงจวิ้นอ๋องต้องการจะให้คุณหนูน้อยเลือกเขาเป็นสามี….
หลายวันก่อนคุณหนูน้อยถูกปีศาจร้ายคุกคามในความฝัน สมควรให้มีสามีเพื่อเสริมศิริมงคล
คิดๆ ดูแล้วเหลียงจวิ้นอ๋องก็ช่างขวัญกล้ายิ่งนัก คุณหนูน้อยเป็นกุ้ยเฟยในฮ่องเต้อยู่แท้ๆ แต่เขากลับกล้าหาสามีให้นางลับหลังฮ่องเต้ มีหมวกเขียวใบใหญ่ครอบลงมาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าพอฮ่องเต้ทรงทราบเข้า จะทรงรู้สึกเช่นไร?
…………………..
ในสวนตะวันตก จีเฉวียนประทับยืนอยู่ใต้ต้นไห่ถาง
พระองค์ทรงฉลองพระองค์สีทอง พระวรกายสูงโปร่ง หากเปรียบเทียบกับเมื่อหลายเดือนก่อน ก็ผ่ายผอมลงไปมากแล้ว
ถึงแม้ว่าพระพักตร์ยังคงงดงามดุจเดิม แต่ว่าน่าเสียดายที่ปราศจากความมีชีวิตชีวา ตลอดทั่วทั้งร่างมีแต่กลิ่นอายที่หนาวเย็น
ทั้งๆ ที่กลีบดอกไห่ถางเหล่านั้นหล่นลงบนพระวรกาย แต่กลับไม่อาจเพิ่มเติมความสดใสใดๆ ให้กับพระองค์ได้เลย
ยามที่เหลียงจวิ้นอ๋องได้เห็นพระองค์นั้น เขาต้องตกตะลึงไปแล้ว
มิใช่ว่าเขาไม่เคยได้พบเจอจีเฉวียนมาก่อน แต่ครั้งก่อนที่ได้เข้าเฝ้า พระองค์ยังทรงเป็นเพียงองค์ชายสี่ ถึงจะบอกว่าเป็นคนที่เงียบขรึม แต่ก็มีท่วงท่าลักษณะที่ฮึกเหิมเกรียงไกร ไหนเลยจะเป็นเหมือนตอนนี้ คนกลับผ่ายผอมดูอ่อนแอและเปราะบาง ถึงจะยังมีชีวิตอยู่แต่ก็ประหนึ่งถูกทำร้ายจนแตกร้าวมา
พูดไปแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ คนเช่นนี้ จะคือคนๆ เดียวกับฮ่องเต้ต้าโจวในตอนนั้น
เขามาถึงเป็นวันที่สามแล้ว แต่กลับไม่เปิดเผยฐานะออกไป เอาแต่มองดูต้นไห่ถางภายในสวนของพวกตนอย่างเหม่อลอย
ไม่ได้ตรัสถึงการปรับเปลี่ยนระบบระเบียบใดๆ ยิ่งไม่ได้ตรัสถึงเซิงเซิงหลานสาวของเขาสักคำ แม้กระทั่ง…..เรื่องอาวุธทั้งหลายก็มิได้กล่าวถึง
หากเปรียบเทียบกับเรื่องเหล่านั้นแล้ว ดูพระองค์จะทรงสนพระทัยในต้นไห่ถางพวกนี้มากกว่า
เรื่องนี้ทำให้เหลียงจวิ้นอ๋องเดาอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย เขารู้ว่า จีเฉวียนเป็นคนที่เจ้าเล่ห์รู้จักวางแผนอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้เขากลับเอาแต่สงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว จึงยิ่งทำให้เหลียงจวิ้นอ๋องจิตใจร้อนรนไม่เป็นอันสงบแล้ว
พอคิดถึงหลานสาวของตนเองที่ยังคงนอนสลบไสลอยู่บนเตียง เหลียงจวิ้นอ๋องก็ได้แต่เอ่ยปากขึ้นมา
“ฝ่าบาท….”
พอเขาพึ่งจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ใต้ต้นไห่ถางตรัสว่า “เหลียงจวิ้นอ๋อง ต้นไห่ถางพวกนี้ เราต้องการนำกลับไปวังหลวง”
เหลียงจวิ้นอ๋องสะดุ้งตกใจ “อะไรนะ?”
“ต้นไห่ถางในพระตำหนักเฟิ่งหมิงกงเ**่ยวเฉาหมดแล้ว” จีเฉวียนตรัสต่อไป ในที่สุดค่อยยอมหันมามองดูเขา “เราต้องการต้นไห่ถางพวกนี้”
เหลียงจวิ้นอ๋องตกตะลึงพรึงเพริดไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่อว่าจีเฉวียนเดินทางมาเมืองกู่เย่วตั้งไกล
เพียงเพื่อต้นไม้พวกนี้
“ฝ่าบาท ต้นไห่ถางพวกนี้เป็นองค์หญิงเย่ว [1] แคว้นกู่เย่วทรงปลูกเอาไว้ด้วยพระองค์เอง ปฐมฮ่องเต้ทรงเคยมีพระบัญชาต้นไม้เหล่านี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจแตะต้อง” เขาประคองหมัดถวายคำนับ
ต่อให้จีเฉวียนต้องการต้นไม้พวกนี้ เขาก็ไม่มีทางมอบให้
หลายปีมานี้เขาอยู่เฝ้าเมืองกู่เย่ว ก็เพื่อรักษาความทรงจำของคนที่อยู่ในหัวใจนั้นเอาไว้
ต้นไม้เหล่านี้คือความภาคภูมิใจของเขา หากว่าแม้แต่ต้นไม้เหล่านี้ก็ยังถูกจีเฉวียนนำไป เช่นนั้นที่เขาเฝ้าอยู่ที่นี่ยังจะมีความหมายอะไรอีก?
จีเฉวียน “หืม?”
“ฝ่าบาททรงอภัยด้วย พระบัญชาของปฐมฮ่องเต้ กระหม่อมไม่กล้าขัดขืน” เหลียงจวิ้นอ๋องพูดไป ก็คิดหาทางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“แคว้นต้าโจวแข็งแกร่งมั่นคง ฝ่าบาทคงไม่ทรงขาดแคลนต้นไห่ถางไม่กี่ต้นนี้หรอกพะยะค่ะ”
จีเฉวียน “เราขาดแคลนแล้ว”
เหลียงจวิ้นอ๋อง “…..”
การจะสนทนากับฮ่องเต้พระองค์นี้ให้รู้เรื่อง ช่างเป็นความยากลำบากจริงๆ
“ต้นไฮ่ถางในพระตำหนักเฟิ่งหมิงกงเป็นปฐมฮ่องเต้ทรงปลูกด้วยพระองค์เอง ถึงตอนนี้กลับเ**่ยวเฉาแล้ว คิดดูแล้ว พระองค์ย่อมต้องทรงอยากให้ตำหนักเฟิ่งหมิงกลับมามีชีวิตชีวาดังเดิม”
จีเฉวียนตรัสพลาง ก็ยื่นพระหัตถ์ไปรับกลีบดอกไห่ถางเอาไว้ “ท่านติดตามปฐมฮ่องเต้ปราบปรามแคว้นกู่เย่ว ย่อมต้องรู้ดีว่า ต้นไห่ถางเหล่านี้มีความหมายต่อพระองค์มากเพียงไร องค์หญิงเย่วสำหรับพระองค์แล้วมีความหมายมากถึงเพียงไหน”
หัวใจของเหลียงจวิ้นอ๋องกระตุกวาบ พอมองดูรูปลักษณ์ที่ซูบผอมของจีเฉวียน ในหัวใจของเขาก็เกิดอาการปวดชาขึ้นมา
“จวิ้นอ๋องไม่เคยแต่งภรรยา แต่อยู่ดีๆ กลับมีบุตรชายขึ้นมาคนหนึ่ง ถึงได้มีหลานสาวขึ้นมาในวันนี้ ตลอดหลายปีมานี้ท่านตัวคนเดียวเลี้ยงดูหลานสาวจนเติบโต ก็เพื่อแสงจันทรากระจ่างกลางใจนั่นกระมั้ง”
จีเฉวียนยังคงตรัสต่อไป “รำลึกถึงผู้ที่ไม่สมควรจะรำลึกถึง แอบรักแอบหลงใหลมานานหลายปี ท่านกับปฐมฮ่องเต้ก็คือพวกเดียวกัน”
เหลียงจวิ้นอ๋องถูกเขาพูดแทงใจ ในหัวใจพลันเกิดความปวดร้าว
เขากับปฐมฮ่องเต้ย่อมไม่เหมือนกัน
ปฐมฮ่องเต้สามารถใช้พละกำลังช่วงชิง สามารถใช้ฐานะของพระองค์เปิดเผยความในใจออกไป สามารถบีบบังคับนำนางไปยังเมืองหลวงต้าโจว
เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้ว องค์หญิงเย่วมิได้เลือกพระองค์เท่านั้น
แต่ว่าตัวเขาเหลียงป๋อล่ะ?
เขาได้แต่แอบมองดูอย่างเงียบๆ จากในมุมมืด แม้แต่จะออกไปปกป้องนางก็ยังทำไม่ได้
ความรักที่ต่ำต้อยเช่นนี้ได้แต่เก็บงำเอาไว้ภานในหัวใจ กระทั่งนางตายไปแล้วก็คงไม่เคยรู้ละมั้ง ว่าในโลกนี้ยังมีบุรุษที่ต่ำต้อยผู้หนึ่ง แอบหลงรักนางมาตลอด?
คนเช่นเขา ไปเทียบเท่ากับปฐมฮ่องเต้ได้อย่างไรกัน?
ตลอดหลายปีมานี้ เขาอยู่เฝ้าเมืองกู่เย่ว ก็เพราะต้องการเก็บรักษาความรักที่ต่ำต้อยของตนเองเอาไว้ในที่ที่นางเติบโตขึ้นมา
ฉะนั้นแล้ว……หลานสาวที่เขาเลี้ยงดูฟูมฟักมากับมือ ที่จริงแล้วก็มิใช่หลานสาวแท้ๆ
ท่ามกลางสงครามที่วุ่นวายในตอนนั้น สิ่งที่เขาพอจะสามารถทำได้ ก็คือช่วยให้ราชวงศ์เจียงของนางหลงเหลือสายเลือดเอาไว้คนหนึ่ง
ช่วงเวลาของการประหัตประหารในตอนนั้น พระชายาเอกขององค์รัชทายาทราชวงค์เจียง ทรงประสูติองค์ชายน้อยพระองค์หนึ่ง
ตัวเขาก็บังเกิดความเมตตา เก็บซ่อนองค์ชายน้อยผู้นั้นเอาไว้ ให้การเลี้ยงดูจนเติบโต
จนต่อมาองค์ชายน้อยตบแต่งภรรยาให้กำเนิดทายาท พระองค์ก็ประชวรจนสิ้นพระชนม์ไป เหลือเพียงเซิงเซิงที่กลายเป็นหลายสาวของเขา
เขาเคยนึกว่า ชาตินี้จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ชาติกำเนิดของเซิงเซิงอีกแล้ว
แต่ดูจากท่าทีของจีเฉวียน ก็แสดงว่าพระองค์ทรงล่วงรู้ทุกอย่าง
เหลียงจวิ้นอ๋องขมวดคิ้วแน่น
ทั้งๆ ที่จีเฉวียนทรงทราบศักดิ์ฐานะของเซิงเซิง ก็ยังบังคับให้นางมาเป็นพระสนม….
เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่า ฮ่องเต้พระองค์นี้ที่แท้แล้วมีพระดำริที่น่ากลัวเพียงไร
“ฝ่าบาท ดอกไห่ถางก็คือดอกไห่ถาง ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหลานสาวของกระหม่อม” เหลียงจวิ้นอ๋องยืดร่างขึ้นตั้งตรง “ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้นางก็ยังป่วยอยู่ ในเมื่อนางเป็นถึงกุ้ยเฟยของฝ่าบาท แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงจวน กลับมิได้ตรัสถึงนางแม้สักคำ ทรงเห็นว่าการกระทำของพระองค์ออกจะไร้น้ำพระทัยจนเกินไปหรือไม่?”
จีเฉวียนแย้มพระสรวลเย็นชา “จวิ้นอ๋องยอมรับฐานะกุ้ยเฟยของนางแล้วหรือ?”
——
[1] 月公主 :องค์หญิงแสงจันทรา, ท่านย่าของตู๋กูซิงหลัน