ตอนที่ 968 บุรุษสูงส่งสตรีต่ำต้อย
เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า อีกทั้งบัณฑิตผู้นั้นหันไปเห็นสหายร่วมห้องพยักหน้าให้เขา เขาจึงกล่าวต่ออย่างกล้าหาญ “เมื่อฝ่าบาทประกาศใช้กฎหมายนี้ สตรีย่อมเริ่มมีความคิดที่จะออกไปร่ำเรียน ทว่า หากผู้ใหญ่ในครอบครัวไม่ยอมส่งเสียให้สตรีร่ำเรียน สตรีเหล่านั้นจะลุกขึ้นมาต่อต้านคนในครอบครัว เช่นนี้ต้าโจวอาจเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงขึ้นได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้นกระหม่อมคิดว่าบุรุษและสตรีควรมีหน้าที่รับผิดชอบที่แตกต่างกันออกไป การอนุญาตให้สตรีร่ำเรียนในสำนักศึกษาเพียงอย่างเดียวคือวิธีที่เหมาะสมและทำให้ต้าโจวมั่นคง ทุกคนในแคว้นต้าโจวจึงจะสามัคคีปรองดองและมีคนมีความสามารถในทุกรุ่นพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้จะคัดเลือกคนมีความสามารถแค่ในบุรุษเท่านั้น ทว่า แคว้นต้าโจวไม่มีทางขาดคนมากความสามารถแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าอย่างไรคนมีความสามารถที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วใต้หล้าอย่างกวนจ้ง ซางยางก็ล้วนเป็นบุรุษทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้บัณฑิตผู้นั้นจึงเริ่มกลัวว่าไป๋ชิงเหยียนจะไม่พอใจ เขาจึงรีบกล่าวเสริม “กระหม่อมไม่ได้หมายความว่าสตรีจะไม่สามารถแสดงความสามารถและมีชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ในใต้หล้าได้ กระหม่อมมีมารดาและเคารพนับถือมารดาของกระหม่อมมาก กระหม่อมไม่เคยคิดดูถูกสตรีพ่ะย่ะค่ะ”
บัณฑิตผู้นั้นเงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียน “กระหม่อมแค่คิดว่าธรรมเนียมปฏิบัติที่บุรุษรับผิดชอบทำงานนอกจวน สตรีดูแลเรื่องภายในจวนมีมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว เมื่อบุรุษและสตรีทีหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป ครอบครัวจึงจะมีแต่ความสามัคคีปรองดองพ่ะย่ะค่ะ สตรีดูแลสามีและบุตร บุรุษจึงจะไม่ต้องกังวลเรื่องภายในจวนและสามารถทำงานของตัวเองเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างเต็มที่! ฝ่าบาท มีเพียงชาวบ้านสามัคคีปรองดอง แคว้นต้าโจวจึงจะสงบสุข ต้าโจวเพิ่งสถาปนาขึ้น เพิ่งเริ่มใช้การปกครองระบอบใหม่ พวกเราควรให้ความสำคัญกับความสงบสุขของชาวบ้านและราชสำนักเป็นหลักพ่ะย่ะค่ะ กฎหมายใหม่ที่อนุญาตให้สตรีเข้าร่วมการสอบขุนนางและทำงานในราชสำนักอาจทำให้ต้าโจวเกิดความวุ่นวายได้ ฝ่าบาทได้โปรดพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“กล่าวได้ดี! สตรีควรอยู่ในฐานะของตัวเอง บุรุษและสตรีมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน ต้าโจวจึงจะมีแต่ความสงบสุขพ่ะย่ะค่ะ!” เซวียเหรินอี้กล่าว
เมื่อเฉิงหย่วนจื้อและเสิ่นคุนหยางที่ตามมาคุ้มกันไป๋ชิงเหยียนพร้อมกับทหารรักษาพระองค์และยืนอยู่ที่ลานด้านนอกได้ยินคำกล่าวนี้ เฉิงหย่วนจื้อถลกแขนเสื้อขึ้น เตรียมพุ่งตัวเข้าไปด้านในอย่างทนไม่ไหว โชคดีที่เสิ่นคุนหยางรั้งตัวไว้เสียก่อน
“อย่าห้ามข้า! ข้าจะไปชกหน้าไอ้หน้าขาวนั่น ให้ตายเถิด…” เฉิงหย่วนจื้อโมโหจนหน้าอกสั่นไหวอย่างรุนแรง “หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวไป๋ไซว่เอาชนะอวิ๋นพั่วสิงในสนามรบที่หนานเจียงได้ ไอ้หน้าขาวนั่นจะมีหน้ามีกล่าววาจาพล่อยๆ อยู่ตรงนี้อย่างนั้นหรือ! มันอาจถูกอวิ๋นพั่วสิงเฉือนเนื้อเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว เหตุใดตอนนั้นไม่กล่าวว่าบุรุษและสตรีมีหน้าที่ต่างกันเล่า หากมันเก่งนัก เหตุใดไม่ถือดาบไปสู้กับอวิ๋นพั่วสิงเอง! เหตุใดต้องให้เสี่ยวไป๋ไซว่ของพวกเราไปออกรบด้วย พวกมันดีแต่มุดหัวอยู่แต่ในนี้ทั้งนั้น!”
เฉิงหยวนจื้อเป็นคนหยาบและเสียงดัง ถ้อยคำของเขาทำให้เหล่าบัณฑิตในโถงน่าเสียนต่างหันไปมองทางเฉิงหย่วนจื้อ แม้แต่บัณฑิตที่ยืนอยู่นอกโถงน่าเสียนต่างก็หันไปมองเฉิงหย่วนจื้อเช่นเดียวกัน
หยางอู่เช่อเหลือบมองเฉิงหย่วนจื้อที่กำลังเดือดดาลแวบหนึ่ง เขาอดทึ่งไม่ได้ สมกับที่เป็นคนสำคัญของกองทัพไป๋จริงๆ คนผู้นี้จงรักภักดีต่อไป๋ชิงเหยียนจนไม่อาจทนเห็นผู้อื่นคัดค้านหญิงสาวได้ เขาไม่ฉุกคิดสักนิดเลยหรือว่าว่าคนอย่างจักรพรรดินีแห่งต้าโจวจะเถียงกลับคนที่คัดค้านนางไม่ได้หรืออย่างไร
หยางอู่เช่อเคยเห็นวาทศิลป์ของไป๋ชิงเหยียนมาก่อนแล้ว คนที่สามารถทำให้แม่ทัพในตระกูลหยางที่จงรักภักดีต่อต้าเหลียงมาทุกอย่างจ้าวเซิ่งยอมจำนนได้จะอ่อนแอเพียงนั้นได้อย่างไร
จ้าวเซิ่งแค่ถ่ายทอดถ้อยคำที่ไป๋ชิงเหยียนฝากมาบอกเขาให้เขาฟัง หยางอู่เช่อก็คล้อยตามแล้ว คนเช่นนี้จะเถียงแพ้ผู้อื่นได้อย่างไรกัน
หยางอู่เช่อยืนกอดดาบมองไปทางเฉิงหย่วนจื้อแวบหนึ่ง เมื่อเหลือบมองไปก็เห็นเซียวหรงเหยี่ยนที่ยืนเด่นท่ามกลางกลุ่มคนในทันที
หยางอู่เช่ออยากผูกมิตรกับว่าที่สามีของจักรพรรดินีแห่งต้าโจวในอนาคต เมื่อเห็นเสิ่นคุนหยางกำลังตำหนิเฉิงหย่วนจื้อ เขาจึงรีบวิ่งออกจากกลุ่มทหารรักษาพระองค์ไปทำความเคารพเซียวหรงเหยี่ยน
“เซียวเซียนเซิงมาด้วยหรือขอรับ!”
เซียวหรงเหยี่ยนที่ยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่พยักหน้าน้อยๆ สายตาหยุดอยู่ที่ร่างของไป๋ชิงเหยียน…
“แม่ทัพเฉิงใจร้อนไปหน่อย! หวังว่าทุกท่านจะไม่ถือสา!” ไป๋ชิงเหยียนโค้งกายให้บัณฑิตทุกคน หญิงสาวโบกมือให้บัณฑิตที่โค้งกายคำนับนางอยู่ผู้นั้นนั่งลงตามเดิม จากนั้นกล่าวขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “ข้าฟังเข้าใจความหมายของบัณฑิตผู้นี้แล้ว ประการแรกเขาคิดว่าควรให้บุรุษทำงานนอกจวน สตรีดูแลเรื่องภายในจวนต่อไปเพราะกลัวว่าหากอนุญาตให้สตรีเข้าร่วมการสอบขุนนางอาจเกิดความวุ่นวายขึ้น! ประการต่อมาเขาคิดว่าต้าโจวมีคนมากความสามารถเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องคัดเลือกคนมีความสามารถจากสตรีอีก ใช่หรือไม่”
บัณฑิตผู้นั้นรีบลุกขึ้นยื่นทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนสื่อว่าไป๋ชิงเหยียนเข้าใจถูกต้อง
“เช่นนั้นมาเริ่มที่เรื่องบุรุษทำงานนอกจวน สตรีดูแลเรื่องในจวนก่อน…” ไป๋ชิงเหยียนนั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
ไม้ไผ่เคาะลงบนก้อนหินเป็นจังหวะ บัณฑิตทุกคนกลั้นหายใจมองไปทางไป๋ชิงเหยียนอย่างหวังว่าไป๋ชิงเหยียนจะคล้อยตามคำกล่าวของบัณฑิตผู้นั้น หรือไม่ก็ทำให้พวกเขาคล้อยตามนางให้ได้
ลมพัดผ่าน เงาของต้นไม้สั่นไหวเล็กน้อย ไป๋ชิงเหยียนกล่าวขึ้นช้าๆ “การที่บุรุษทำงานนอกจวน สตรีดูแลเรื่องในจวนทำให้ครอบครัวสามัคคีปรองดองได้จริงๆ หรือ บัณฑิตทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้คิดว่ามารดา ภรรยาและพี่สาวน้องสาวของพวกท่านมีความสุขที่ต้องปรนนิบัติดูแลสามีและบุตรอยู่แต่ในเรือนหลังจริงๆ อย่างนั้นหรือ หรือทุกท่านคิดว่ามีเพียงบุรุษเท่านั้นที่สามารถมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ได้ ความคิดของสตรีคับแคบกว่าพวกท่านมาก”
ไป๋ชิงเหยียนขยับท่านั่งเล็กน้อยราวกับกำลงสนทนาเรื่องทั่วไปอยู่กับบรรดาบัณฑิตเหล่านี้ภายในร่มเงาของต้นไม้ใหญ่
“พวกท่านคนใดในที่นี้เคยถามมารดา ภรรยา พี่สาวหรือน้องสาวของพวกท่านบ้างว่าความฝันของพวกนางคือสิ่งใด”
บัณฑิตในสำนักศึกษากั๋วจื่อเจียนต่างเงียบงันไปตามๆ กัน ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เคยถามมารดา ภรรยา พี่สาวหรือน้องสาวของตัวเองสักครั้งจริงๆ ว่าพวกนางอยากทำสิ่งใดกันแน่ พวกเขาคิดเอาเองว่าสตรีเกิดมาเพื่อแต่งงานออกเรือนไปดูแลสามีและบุตร
ยกตัวอย่างเช่นตอนที่พี่สาวหรือน้องสาวของพวกเขายังเด็ก ผู้ใหญ่ในครอบครัวมักจะให้พวกนางเรียนการเย็บปักถักร้อย ส่วนพวกเขาเริ่มเรียนตำรา
“ธรรมเนียมที่บุรุษทำงานนอกจวน สตรีดูแลเรื่องภายในจวนมีไว้เพื่อกักกันสตรีเท่านั้น พวกเขาหวังว่าสตรีจะอยู่แต่ในที่ของพวกนาง ดูแลเรือนหลังให้ดี เช่นนี้บุรุษจะได้ทำตามความฝันของตัวเองได้เต็มที่อย่างไร้ความกังวล ทว่า สตรีสู้บุรุษไม่ได้จริงๆ หรือ” ไป๋ชิงเหยียนย้อนถามบัณฑิตทุกคน “ทุกท่าน ต่งเหล่าไท่จวินผู้เป็นท่านยายของข้า ฝูเหล่าไท่จวินมารดาของแม่ทัพฝูรั่วซีและจ้าวเหล่าไท่จวินมารดาของแม่ทัพจ้าวเซิ่งแห่งเมืองหานล้วนเป็นสตรีที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษสักนิด! พวกนางประคับประคองดูแลคนทั้งตระกูลหลังจากสามีของพวกนางจากไป หากสตรีเหล่านี้ได้ทำงานในราชสำนัก พวกเขาต้องทำประโยชน์ให้แคว้นได้มากมาย ทว่า เป็นเพราะกฎห้ามสตรีสอบขุนนาง พวกนางจึงถูกกักขังอยู่แต่ในเรือนหลัง…”
“พวกนางต้องดูแลทั้งตระกูล พวกนางต้องพยายามมากกว่าบุรุษเป็นร้อยเท่าสิบเท่าเพียงเพราะฐานะของสตรีต่ำต้อยกว่าบุรุษ” เมื่อไป๋ชิงเหยียนเห็นบัณฑิตมองมาที่นางนิ่งๆ จึงกล่าวต่อ “ข้าไม่กลัวทุกท่านหัวเราะเยาะหากข้ากล่าวบางสิ่งออกมา เป็นเพราะสตรีไม่สามารถรับช่วงต่อกิจการของตระกูลได้ ตอนที่ตระกูลไป๋เผชิญกับปัญหาใหญ่ ทรัพย์สมบัติของตระกูลไป๋ของแม่หม้ายและเด็กกำพร้าตระกูลไป๋อย่างพวกข้าจึงถูกตระกูลบรรพบุรุษยึดไปทั้งหมดโดยอ้างเหตุผลนี้ พวกข้าใช้ชีวิตอยู่ต่อโดยอาศัยสินเดิมของมารดาและบรรดาท่านอาสะใภ้ของข้าเท่านั้น”
ทุกคนต่างรับรู้เรื่องนี้ดี บรรพบุรุษตระกูลไป๋เดินทางมาจากซั่วหยางเพราะเห็นว่าตระกูลไป๋ไร้บุรุษคุ้มครอง คนพวกนั้นไม่สนใจแม้แต่องค์หญิงใหญ่จนทำให้นางกระอักเลือดด้วยความโมโห องค์หญิงใหญ่สูงส่งเพียงใด สายเลือดหลักของตระกูลไป๋ที่เสียชีวิตไปแล้วมีความดีความชอบมากเพียงใด ทว่า บรรพบุรุษตระกูลไป๋จากซั่วหยางยังกล้ารังแกสตรีของตระกูลไป๋เพียงเพราะตระกูลไป๋ไร้ซึ่งบุรุษแล้ว!
****************************