ตอนที่ 1004 ไม่กล้าเห็นด้วย
“หากกล่าวเรื่องระบอบการปกครอง การปกครองของต้าโจวมีประโยชน์ต่อชาวบ้านมากกว่าการปกครองของต้าเยี่ยน ต้าเยี่ยนให้ความสำคัญกับราชวงศ์เป็นอันดับหนึ่ง ทว่า ต้าโจวให้ความสำคัญกับชาวบ้านเป็นลำดับแรก เมื่อจักรพรรดินีขึ้นครองราชย์ทรงไม่สร้างสุสานหลวงเป็นสิ่งแรก กลับนำเงินไปสร้างสำนึกศึกษาก่อน จักรพรรดิต้าเยี่ยนทำได้หรือไม่” น้ำเสียงของไป๋ชิงอวี๋ไม่น่าฟัง ทว่า ทุกถ้อยคำหนักแน่นและทรงพลัง “ท่านคนเดียวแลกกับแผ่นดินต้าโจวที่กว้างใหญ่ อ๋องเก้าแห่งต้าเยี่ยนช่างเห็นค่าตัวเองมากจริงๆ ”
“เหยี่ยนยอมรับว่าการปกครองของต้าโจวคำนึงถึงชาวบ้านเป็นลำดับแรก เหยี่ยนนับถือในความรักที่ตระกูลไป๋มีต่อชาวบ้านมาก ทว่า เรื่องการสร้างสำนึกศึกษาให้ชาวบ้านร่ำเรียน จีโฮ่วท่านแม่ของข้าเคยลองในพื้นที่เล็กๆ มาก่อนแล้ว ท่านพบว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าใด ทักษะทั้งห้าในการควบคุมคนของซางจื่อ ประการแรกคือการทำให้ชาวบ้านไม่รู้ความ เมื่อชาวบ้านส่วนใหญ่ได้รับการศึกษา เมื่อพวกเขามีความคิดเป็นของตัวเอง พวกเราจะควบคุมพวกเขาได้เช่นไร”
“เล่าจื๊อเคยกล่าวไว้ว่าผู้มีคุณธรรมที่แท้จริงจะไม่ให้แสงสว่างแห่งปัญญากับชาวบ้าน ทว่า คือการทำให้ชาวบ้านอยู่ด้วยความไม่รู้ ชาวบ้านยากจะควบคุมเมื่อมีสติปัญญามาก ผู้ที่ปกครองบ้านเมืองด้วยสติปัญญาคือทรราชย์ ผู้ที่ไม่ใช้ปัญญาปกครองบ้านเมืองคือวาสนาของแคว้น” เซียวหรงเหยี่ยนมองไปทางไป๋ชิงเหยียน
“ต้าเยี่ยนและต้าโจวอยากรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเพื่อสันติสุขของใต้หล้า ทว่า หากชาวบ้านได้รับการศึกษามากไป พวกเขาจะมีความคิดมากขึ้น พวกเราจะไม่สามารถทำให้พวกเขามีความคิดเป็นหนึ่ง ถึงเวลานั้นจะรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร”
“ยกตัวอย่างแคว้นต้าโจว ครั้งนี้จักรพรรดินีขึ้นครองราชย์ ทรงอนุญาตให้สตรีได้รับการศึกษา เข้าร่วมการสอบขุนนางและเข้ารับราชการ ผู้ที่ออกมายื่นคำคัดค้านที่หน้าประตูอู่เต๋อเป็นกลุ่มแรกล้วนเป็นบัณฑิตทั้งสิ้น! โชคดีที่อาเป่าโน้มน้าวให้บัณฑิตเหล่านั้นคล้อยตามได้ ทว่า หากต่อไปทุกครั้งที่มีการเริ่มการปกครองใหม่ๆ จักรพรรดิต้องลงไปอธิบายให้พวกเขาเข้าใจทุกครั้งเลยหรือ หากพวกเขายื่นคำคัดค้านขึ้นมาอีก อาเป่าจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นจักรพรรดิเช่นไรกัน”
ดวงตาของเซียวหรงเหยี่ยนขรึมลงกว่าเดิม เขาส่ายหน้าน้อยๆ “หากต้องการควบคุมคนก็ต้องทำให้พวกเขาไม่รู้ความ หลังจากที่ท่านแม่ของข้าลองลงมือทำดูแล้ว ท่านกล่าวว่าวันหน้าทุกคนต้องได้ร่ำเรียน ทว่า ยังไม่ใช่ตอนนี้! ใต้หล้าในตอนนี้ยังไม่พร้อมให้ชาวบ้านทุกคนรู้มากเกินไป ขอเพียงให้พวกเขาอยู่อย่างกินดีมีสุข ไม่มีสงคราม นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่จักรพรรดิจะมอบให้ชาวบ้านเหล่านี้ได้”
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางเซียวหรงเหยี่ยนนิ่ง ไม่ได้เอ่ยขัดชายหนุ่ม ทำเพียงนั่งฟังเฉยๆ
ไป๋ชิงอวี๋เพิ่งเคยได้ยินวิถีแห่งการเป็นจักรพรรดิครั้งแรกเช่นเดียวกัน เขายอมรับว่าตระกูลไป๋ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ดังนั้นเขาจึงยินดีฟังสิ่งที่เซียวหรงเหยี่ยนกล่าวมา
“แคว้นต้องการบัณฑิตเพราะหากแคว้นหนึ่งยิ่งใหญ่ขึ้นมา แคว้นจะขาดคนมีความสามารถมาช่วยเหลือจักรพรรดิปกครองแคว้นไม่ได้ ทว่า แคว้นไม่อาจปล่อยให้ชาวบ้านทุกคนในแคว้นร่ำเรียนได้!”
เซียวหรงเหยี่ยนไม่คิดปกปิด การควบคุมคน การคานอำนาจคือวิชาที่ทายาทของตระกูลมู่หรงต้องร่ำเรียน สิ่งเหล่านี้คือประสบการณ์ที่บรรพบุรุษของตระกูลมู่หรงหลายรุ่นถ่ายทอดให้ลูกหลานของตัวเองรับรู้ ทว่า ตระกูลไป๋ไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ การเดินไปข้างหน้าเพียงแค่มีใจรักและคิดปกป้องชาวบ้านจะทำให้พวกเขาเดินไปได้ไม่ไกล
“หากกล่าวล่วงเกินอีกสักนิด มีทหารสักกี่คนในกองทัพไป๋ที่รู้หนังสือ เป็นเพราะกองทัพไป๋มีทหารที่ไม่รู้หนังสือมากมาย ดังนั้นกองทัพไป๋จึงควบคุมคนเหล่านั้นได้ ประกอบกับศรัทธาแรกเริ่มในการก่อตั้งกองทัพไป๋ที่ทำเพื่อปกป้องคุ้มครองชาวบ้าน เพลงประจำของทัพไป๋ อีกทั้งใจที่เด็ดเดี่ยวของแม่ทัพกองทัพไป๋ทุกคนที่ยอมตายในสนามรบเพื่อชาวบ้าน!”
เซียวหรงเหยี่ยนเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “กล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้คือความเชื่อที่ตระกูลไป๋ปลูกฝังให้แก่คนในกองทัพ ให้พวกเขาคิดว่าการปกป้องคุ้มครองชาวบ้านคือหน้าที่ของพวกเขา คือเกียรติยศของพวกเขา!”
เมื่อกล่าวจบเซียวหรงเหยี่ยนรู้สึกว่าคำกล่าวของเขาไม่ค่อยเหมาะสมจึงยกมือคารวะไป๋ชิงเหยียนและไป๋ชิงอวี๋ “เหยี่ยนไม่ได้หมายความว่าตระกูลไป๋จงใจทำให้เป็นเช่นนี้ เหยี่ยนรู้ดีว่าทายาทตระกูลไป๋ทุกคนรักและยินดีสละชีพเพื่อชาวบ้าน สงครามที่หนานเจียงทำให้เหยี่ยนสะเทือนใจและจดจำได้จนถึงทุกวันนี้”
“เหยี่ยนต้องการจะสื่อว่าสิ่งที่ตระกูลไป๋ทำไปโดยไม่ได้จงใจ แท้จริงแล้วคือศิลปะในการควบคุมคนอย่างหนึ่งของผู้เป็นจักรพรรดิ” เซียวหรงเหยี่ยนเคารพและนับถือตระกูลไป๋จากใจจริง
ใจที่รักชาวบ้านของตระกูลไป๋บริสุทธิ์กว่าจักรพรรดิผู้ปกครองแคว้นมากนัก เป้าหมายในการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งของตระกูลไป๋บริสุทธิ์กว่าจักรพรรดิเช่นเดียวกัน เหมือนกับที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าวว่าให้ใช้ระบอบการปกครองของสองแคว้นเป็นตัวตัดสินผลแพ้ชนะ ทว่า เซียวหรงเหยี่ยนไม่กล้า
คนตระกูลไป๋สามารถทำตามใจปรารถนา ทว่า แท้จริงแล้วพวกเขาใช้ศิลปะของจักรพรรดิเช่นเดียวกัน ถึงแม้วัตถุประสงค์แรกเริ่มจะไม่เหมือนกัน ทว่า ผลลัพธ์เหมือนกัน
“ทว่า หากอาเป่าให้คนเหล่านี้ได้ร่ำเรียน จะมีสักกี่คนทำได้อย่างที่กองทัพไป๋ทำในตอนนี้ ผู้ที่มีศีลธรรมและรักความยุติธรรมส่วนใหญ่มักคือชาวบ้านธรรมดา คนที่มีความรู้มากมักทำสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรมในใจของตัวเองทั้งสิ้น การให้ชาวบ้านรู้หนังสือมากเกินไปจึงไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป!”
“การที่บัณฑิตของสำนักกั๋วจื่อเจียนออกมาอาละวาดในครั้งนี้ อาเป่าคิดว่าพวกเขายอมสงบลงหลังจากที่อาเป่าเดินทางไปอธิบายให้พวกเขาเข้าใจด้วยตัวเองเป็นเพราะพวกเขาเป็นปัญญาชนอย่างนั้นหรือ” เซียวหรงเหยี่ยนส่ายหน้า น้ำเสียงราบเรียบ “ที่พวกเขายอมสงบลง นอกจากเป็นเพราะการไม่วางมาดในฐานะจักรพรรดิต่อหน้าพวกเขาและนิสัยของอาเป่าแล้ว สิ่งสำคัญเป็นเพราะอาเป่ากำหนดเป้าหมายเดียวกันให้พวกเขานั่นก็คือการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง เจ้าบอกพวกเขาว่าการที่เจ้าอนุญาตให้สตรีร่ำเรียนในสำนักศึกษา เข้าร่วมการสอบขุนนางและเข้ารับราชการเป็นเพราะต้องการสร้างคนมีความสามารถมาช่วยกันรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง บัดนี้ต้าโจวกำลังพยายามเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน ทุกคนจึงพร้อมถอยให้กับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้!”
“ทว่า หากใต้หล้ารวบรวมเป็นหนึ่งสำเร็จแล้วเล่า ชาวบ้านรู้หนังสือมากขึ้น มีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น…ราชสำนักจะควบคุมพวกเขาได้อีกหรือ หากควบคุมไม่ได้ เช่นนั้นความหมายของการรวบรวมใต้หล้าให้สำเร็จก็จะหายไป เมื่อเกิดความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยๆ วันหน้าจะมีกองกำลังอย่างกองทัพไป๋เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเราไม่อาจป้องกันได้”
“การห่วงใยราษฎรคือสิ่งที่จักรพรรดิทุกคนควรทำ ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด!” เซียวหรงเหยี่ยนมองไปทางไป๋ชิงเหยียน “ทว่า เราไม่อาจทำให้ชาวบ้านแข็งแกร่งเกินไปได้ หากชาวบ้านแข็งแกร่ง แคว้นจะอ่อนแอ! การปกครองของต้าเยี่ยนที่มาจากประสบการณ์จริงแตกต่างจากการปกครองที่ว่าชาวบ้านแข็งแกร่ง แคว้นถึงจะแข็งแกร่งของอาเป่าราวกับฟ้าและเหว!”
เซียวหรงเหยี่ยนกล่าวเสียงเบา “อาเป่ากำลังคลำหาหนทางอยู่บนเส้นทางของจักรพรรดิ ข้าอาจให้คนส่งบันทึกของท่านแม่ข้ามาให้อาเป่ามากเกินไป คำว่าเสมอภาคในบันทึกเหล่านั้นจึงมีผลต่อความคิดของอาเป่ามากเช่นนี้”
ไป๋ชิงเหยียนฟังเซียวหรงเหยี่ยนกล่าวจบจึงค่อยๆ กล่าวขึ้น “ตอนอ่านคำภีร์เต๋าบทแรกครั้งแรกข้าก็คิดเช่นเดียวกับอ๋องเก้าแห่งต้าเยี่ยนว่าการควบคุมชาวบ้านคือการทำให้พวกเขาอยู่ด้วยความไม่รู้ ทว่า ต่อมาเมื่อข้าอ่านทบทวนคัมภีร์ทั้งเล่มซ้ำหลายรอบ จากนั้นทำความเข้าใจหลักสำคัญของเหล่านักปราชญ์ ข้าพบว่าสิ่งที่นักปราชญ์เล่าจื๊อกล่าวว่าผู้มีคุณธรรมที่แท้จริงจะไม่ให้แสงสว่างแห่งปัญญากับชาวบ้าน ทว่า คือการทำให้ชาวบ้านอยู่ด้วยความไม่รู้ ชาวบ้านยากจะควบคุม เมื่อมีสติปัญญามาก ผู้ที่ปกครองบ้านเมืองด้วยสติปัญญา คือทรราชย์ ผู้ที่ไม่ใช้ปัญญาปกครองบ้านเมืองคือวาสนาของแคว้นนั้น แท้จริงคำว่าไม่รู้ในที่นี้หมายถึงความเรียบง่าย ซื่อสัตย์และจงรักภักดี ส่วนคำว่าสติปัญญาหมายถึงกลอุบายและเล่ห์โกง”
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าสบตากับเซียวหรงเหยี่ยน “ความหมายของประโยคนี้คือจักรพรรดิไม่ควรใช้กลอุบายในการปกครองแคว้น ทว่า ควรใช้วิธีที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์ปกครองแคว้นเพื่อชาวบ้าน นี่คือวาสนาที่ดีของแคว้น เช่นนี้ถึงจะตรงกับหลักคำสอนของเล่าจื๊อที่ว่าปกครองโดยธรรมชาติ ไม่ใช้กฎหมายเข้าไปก้าวก่าย เมื่อทำสิ่งใดอย่างสุดโต่งมักจะได้ผลลัพธ์ที่ตรงข้าม ไป๋ชิงเหยียนอ่านคัมภีร์เล่าจื๊อมาตั้งแต่เล็ก ทุกวันนี้ก็ยังไม่กล้าละทิ้ง ทุกครั้งที่ผลักดันระบอบการปกครองใหม่ ข้ามักได้สิ่งใหม่ๆ จากการอ่านคัมภีร์ทุกครั้ง ดังนั้น…ข้าจึงไม่กล้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของอ๋องเก้าแห่งต้าเยี่ยน”
****************************