ตอนที่ 1020 เข้าได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
ไป๋จิ่นจื้อกลัวกฎของตระกูล เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลูผิงจึงลดแส้ลง จากนั้นตะโกนเสียงดังลั่น “ต่อไปอย่าได้กล่าวดูถูกว่าสตรีไม่คู่ควรทำงานในราชสำนักอีก ตอนนี้พวกเจ้ายังไม่ได้เป็นขุนนางในราชสำนัก หากพวกเจ้ามีความสามารถจริงๆ วันที่พวกเจ้าประสบความสำเร็จ สอบได้ที่หนึ่งค่อยไปกล่าวคำเหล่านี้ต่อหน้าจักรพรรดินีแห่งต้าโจวในวังหลวง ข้าไป๋จิ่นจื้อเชื่อว่าพวกเจ้าทำได้! อย่าเอาแต่ดีแต่กล่าวเช่นนี้!”
เหล่าบัณฑิตที่กระโดดหลบหนีแส้ของไป๋จิ่นจื้อราวกับหนูหนีตายค่อยๆ โผล่ศีรษะออกมาจากที่หลบซ่อนตัว เมื่อเห็นหลูผิงในชุดขุนนางกำลังห้ามปรามไป๋จิ่นจื้ออยู่ บัณฑิตคนหนึ่งจึงรวบรวมความกล้าตะโกนออกมา “ใต้เท้า ท่านรีบคุมตัวหญิงบ้าผู้นี้ไปเถิดขอรับ พวกเราสนทนากันอยู่ดีๆ จู่ๆ หญิงบ้าผู้นี้ก็ฟาดแส้ใส่พวกเราอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พวกเราล้วนเป็นมีความดีความชอบ ต่อให้พวกเราพบคนของทางการก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าคารวะ ไม่ถูกทำโทษ ทว่า หญิงบ้าผู้นี้กลับกล้าฟาดแส้ใส่พวกเรา”
“นั่นสิ กล้าฟาดแส้ใส่ผู้อื่นตอนกลางวันแสกๆ ในที่สาธารณะเช่นนี้! ใต้เท้าจะไม่สนใจไม่ได้นะขอรับ”
ไป๋จิ่นจื้อที่เก็บแส้ลงไปแล้วชักแส้ออกมาอีกครั้ง จากนั้นฟาดไปที่ปากของคนกล่าวอย่างแม่นยำ
หลูผิงไม่พอใจตั้งแต่ได้ยินคำว่า “หญิงบ้า” แล้ว ดังนั้นครั้งนี้เมื่อไป๋จิ่นจื้อชักแส้ออกมาเขาจึงไม่ห้ามปราบไป๋จิ่นจื้อ เขาเดินไปเฝ้าอยู่หน้าประตู จากนั้นก้มจัดแขนเสื้อของตัวเองราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “พวกเจ้าสามคนมีความผิดโทษฐานตำหนิระบอบการปกครองของจักรพรรดินี กล่าววาจาล่วงเกินเกาอี้จวิ้นจู่ เกาอี้จวิ้นจู่เมตตาฟาดแส้ใส่พวกเจ้าแค่ไม่กี่ที ไม่จับตัวพวกเจ้าให้ทางการก็ดีเพียงใดแล้ว”
เมื่อไป๋จิ่นจื้อได้ยินหลูผิงเอ่ยเข้าข้างตนจึงตวัดแส้เร็วขึ้นกว่าเดิม ภายในร้านเต็มไปด้วยเสียงแส้กระทบลงบนเนื้อ โต๊ะไม้สีแดงถูกแส้ของไป๋จิ่นจื้อตวัดใส่จนลอยกระเด็นไปไกล
เมื่อบัณฑิตสามคนได้ยินว่าคนตรงหน้าคือเกาอี้จวิ้นจู่ พวกเขานึกถึงคุณหนูสี่ไป๋จิ่นจื้อแห่งตระกูลไป๋ที่ได้รับสมญานามว่า “วีรสตรี” ขึ้นมาทันที สตรีนางนั้นกล้าฟาดแส้ใส่แม้กระทั่งคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนอย่างพวกเขาเลย
อาจเป็นเพราะตระกูลไป๋เคยประสบปัญหาจนต้องย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดซั่วหยาง หลายปีมานี้ไป๋จิ่นจื้อไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงจึงลืมคุณหนูสี่แห่งตระกูลไป๋ที่อารมณ์ร้อนและรักความยุติธรรมผู้นี้ไปแล้ว
บัดนี้คุณหนูสี่แห่งตระกูลไป๋ผู้นี้กลับมาเมืองหลวงแล้ว…
ชาวบ้านที่ห้อมล้อมดูเรื่องสนุกอยู่ด้านนอกวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างต่างนานา ทว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ในเมืองหลวงดีใจกับการกลับมาของไป๋จิ่นจื้อ คุณหนูสี่แห่งตระกูลไป๋ผู้นี้ได้รับสืบทอดนิสัยมาจากบรรพบุรุษไป๋ นางรักและปกป้องชาวบ้านเป็นอย่างดี นางฟาดแส้เพื่อปกป้องชาวบ้าน ไม่เคยทำร้ายชาวบ้าน ชาวบ้านจะไม่ดีใจได้อย่างไร
ที่สำคัญคุณหนูสี่ตระกูลไป๋ผู้นี้ไปออกรบปกป้องบ้านเมืองตั้งแต่อายุยังน้อย มีความดีความชอบใหญ่หลวงในการยึดครองต้าเหลียงได้ ชาวบ้านจะไม่เคารพยำเกรงนางได้อย่างไร
เสียงร้องอวดครวญในร้านค้าดังต่อเนื่องระยะหนึ่ง หลูผิงเห็นว่าพอสมควรแล้วจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “คุณหนูสี่ คุณหนูสี่ พอเถิดขอรับ แค่ให้พวกเขาได้รับบทเรียนก็พอ คุณหนูใหญ่รอคุณหนูสี่อยู่นะขอรับ…”
เมื่อได้ยินคำกล่าวไป๋จิ่นจื้อที่กำลังโมโหจึงเก็บแส้ไว้ทางเอวด้านหลังตามเดิม จากนั้นกล่าวขึ้น “ต่อไปหากพวกเจ้ากล้าตำหนิระบอบการปกครองใหม่ของจักรพรรดินี กล้ากล่าวล่วงเกินข้าอีก การโบยคงน้อยไป การตำหนิการปกครองใหม่ของจักรพรรดินีจนส่งผลกระทบต่อระบอบการปกครองจะต้องโทษขังคุก ในเมื่อพวกเจ้าเป็นบัณฑิตก็ควรรู้เรื่องนี้ดี การตำหนิการปกครองใหม่ของจักรพรรดินีส่งผลกระทบต่อผลการสอบของพวกเจ้าด้วย ข้าเห็นแก่ที่พวกเจ้าเป็นบัณฑิตจึงไม่อยากตัดอนาคตของพวกเจ้า ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าได้พิสูจน์ว่าบุรุษที่ตรากตรำเรียนมาเป็นสิบปีแข็งแกร่งกว่าสตรี พวกเจ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังเชียว!”
คำกล่าวของไป๋จิ่นจื้อทำให้หลูผิงต้องมองหญิงสาวใหม่ เมื่อก่อนคุณหนูสี่ที่เอาแต่ฟาดแส้ด้วยความอารมณ์ร้อนไม่เคยกล่าวสิ่งที่มีเหตุผลเช่นนี้ออกมาเลยสักครั้ง
“การสอบชุนเหว่ยปีหน้า…พวกเจ้าทั้งสามคน! ข้าจะรอดูว่าพวกเจ้าเก่งกว่าสตรีจริงหรือไม่!”
ไม่รู้ว่าชาวบ้านคนใดที่ยืนอยู่ด้านนอกตะโกนคำว่าดีออกมา ไป๋จิ่นจื้อจึงหมุนตัวเดินออกไปจากร้านค้าอย่างอารมณ์ดี
เมื่อเดินออกมาจากร้านไป๋จิ่นจื้อจึงนึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้ซื้อของขวัญให้ลานชายหรือหลานสาวของตัวเองเลย สาวน้อยขมวดคิ้วแน่นพลางหันกลับไปมอง…
บัณฑิตสามคนนั้นถูกไป๋จิ่นจื้อฟาดแส้ใส้หนึ่งยก เมื่อรู้ฐานะของไป๋จิ่นจื้อก็ยิ่งหวาดกลัวว่าจะเดือดร้อนถึงลูกหลานในตระกูล พวกเขาถอยหลังไปอย่างกลัวว่าไป๋จิ่นจื้อจะถือแส้เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง
ไป๋จิ่นจื้อหมดอารมณ์เลือกของขวัญให้หลานแล้ว สาวน้อยคิดว่าค่อยหาโอกาสมาเลือกซื้อของขวัญที่ถูกใจให้หลานภายหลัง
ไป๋จิ่นจื้อเหลือบมองบุรุษชุดดำที่จูงม้ายืนรอตนอยู่ สาวน้อยยกยิ้มมุมปากขึ้นน้อยๆ แววตามีความอ่อนหวานปนอยู่เล็กน้อย ใบหน้าของสาวน้อยแดงระเรื่อขั้นนิดหนึ่ง นางก้าวขึ้นไปบนหลังม้าด้วยท่าทีองอาจ จากนั้นกระตุกบังเหียนม้า “ไปเถิด ไปพบพี่หญิงใหญ่กัน”
บุรุษชุดดำพยักหน้าให้อย่างนอบน้อม เขาก้มหน้าลงโดยไม่คิดซ่อนรอยยิ้มแม้แต่น้อย
หลูผิงสังเกตเห็นความไม่ปกติบางอย่าง เขาลอบมองสำรวจบุรุษในชุดนักรบที่มวยผมด้วยผ้ามวยผมสีดำแวบหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาต้องสืบประวัติของคนผู้นี้สักหน่อยแล้ว จะปล่อยให้คุณหนูสี่ผู้ไร้เดียงสาของพวกเขาถูกหลอกไม่ได้เด็ดขาด
ไป๋จิ่นจื้อเคยเข้ามาในวังหลวงแล้ว ทว่า นางไม่เคยเดินเข้ามาในวังอย่างคล่องตัวเช่นนี้มาก่อน สาวน้อยรีบร้อนอยากเจอพี่หญิงใหญ่จึงเร่งฝีเท้าราวกับบินได้
เว่ยจงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักเห็นไป๋จิ่นจื้อเดินขึ้นบันไดมาแต่ไกลจึงคลี่ยิ้มออกมา เขารีบเดินไปด้านหน้า “คุณหนูสี่!”
“เว่ยจง?” ไป๋จิ่นจื้อไม่คิดว่าจะเว่ยจงคนข้างกายของท่านย่าจะมารับใช้พี่หญิงใหญ่เช่นนี้ สาวน้อยชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นกล่าวขึ้น “ข้ามาพบพี่หญิงใหญ่”
“ฝ่าบาททรงทราบแล้วขอรับ ตรัสว่าหากคุณหนูสี่มาถึงไม่ต้องรายงาน สามารถเข้าไปได้เลยขอรับ…”
ไป๋จิ่นจื้อปลดแส้ที่เอวด้านหลังของตัวเองส่งให้เว่ยจง จากนั้นเดินไปยังตำหนักใหญ่ สาวน้อยแง้มประตูออกเล็กน้อย มองสำรวจเข้าไปด้านใน…
ไป๋จิ่นจื้อเห็นพี่หญิงใหญ่นั่งตรวจฎีกาอยู่บนโต๊ะ สาวน้อยยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใดก็ได้ยินไป๋ชิงเหยียนกล่าวขึ้นก่อน “มาถึงเมืองหลวงก็ฟาดแส่ใส่ชาวบ้านด้วยความอารมณ์ร้อน บัดนี้ว่าง่ายขึ้นมาแล้วหรือ”
ไป๋จิ่นจื้อได้ยินเช่นนี้จึงยิ้มแหยออกมา สาวน้อยผลักประตูออก จากนั้นวิ่งเข้าไปหาไป๋ชิงเหยียน โค้งกายทำความเคารพพี่สาว จากนั้นนั่งลงฝั่งตรงข้าม “เดิมทีข้าตั้งใจไปเลือกของขวัญวันพบหน้าให้หลานสาวหรือหลานชายของข้า ผู้ใดจะคิดว่าจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้…ข้าโมโหมากเลยเจ้าค่ะ!”
เมื่อเห็นฎีกาที่วางอยู่เต็มโต๊ะ ไป๋จิ่นจื้อจึงกล่าวขึ้น “พี่หญิงใหญ่! ตอนนี้พี่หญิงใหญ่กำลังตั้งครรภ์อยู่ จะหักโหมเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนจุ่มพู่กันลงบนแท่นหมึก จากนั้นส่งพู่กันให้ไป๋จิ่นจื้อ “เจ้ามาช่วยแบ่งเบาภาระพี่ก็แล้วกัน…”
ไป๋จิ่นจื้ออ้าปากเหวอ จากนั้นยิ้มออกมาแหยๆ “ช่างเถิดเจ้าค่ะ ไม่ใช่ข้าไม่อยากช่วยพี่หญิงใหญ่นะเจ้าคะ เสี่ยวซื่อยินดีออกรบแทนพี่หญิงใหญ่ ทว่า ให้ข้าจับพู่กันทำงาน ข้าไม่ถนัดจริงๆ เจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนหัวเราะกับคำกล่าวของไป๋จิ่นจื้อ จากนั้นจรดพู่กันลงบนฎีกา “เจ้าสารภาพกับพี่มาตรงว่าเหตุใดจึงทิ้งแม่ทัพจ้าวและออกเดินทางกลับมาก่อนเช่นนี้”
******************************