ตอนที่ 1021 ไม่มีความยำเกรง
“พี่หญิงใหญ่ ข้ามีเหตุผลที่ทิ้งแม่ทัพจ้าวเซิ่งเดินทางกลับมาก่อนเจ้าค่ะ” สีหน้าของไป๋จิ่นจื้อจริงจังขึ้นมาทันที “พี่หญิงใหญ่จำองครักษ์ตระกูลฉินที่เคยรั้งตัวข้าไม่ให้ฟาดแส้ใส่คุณหนูทั้งสองของจวนฉินตอนที่พี่หญิงรองเพิ่งแต่งงานออกเรือนไปกับพี่เขยได้หรือไม่เจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนได้ยินคำกล่าวนี้จึงวางพู่กันลง หญิงสาวมองไปทางไป๋จิ่นจื้อที่มีสีหน้าจริงจัง “พอจำได้ เจ้ามีเรื่องอันใด…”
หากไป๋ชิงเหยียนจำไม่ผิด องครักษ์ผู้นั้นรั้งแส้ของเสี่ยวซื่อไว้ได้ ไป๋ชิงเหยียนจึงมองไปที่เขาแวบหนึ่ง สิ่งที่จดจำได้มากที่สุดคือดวงตาที่คมกริบขององครักษ์ตระกูลฉินผู้นั้น
“องครักษ์ผู้นั้นนามว่าซุนเหวินเหยา ได้ยินว่าเขาลาออกไปเข้าร่วมกองทัพหลังจากที่พี่หญิงรองแต่งงานเข้าตระกูลฉินได้ไม่นาน ตอนที่ตระกูลสูงศักดิ์ของเมืองหานก่อความวุ่นวายหลังจากพวกเรายึดต้าเหลียงได้ ซุนเหวินเหยาผู้นี้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้…” ไป๋จิ่นจื้อจงใจเน้นคำว่าช่วยชีวิต ทว่า ไม่ได้มีท่าทีซาบซึ้งจนน้ำตาไหลขนาดนั้น
“ซุนเหวินเหยาผู้นี้ถือเป็นคนเคยรู้จัก เขาเคยเป็นเพียงองครักษ์กลับกล้าลงมือกับข้า ข้าคิดว่าเขาคือบุรุษที่กล้าหาญจึงเก็บเขาไว้ข้างกาย จะได้หาเวลาประชันฝีมือกับเขาได้เจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนฟังอย่างตั้งใจ
ไป๋จิ่นจื้อเม้มปากเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้เชื้อพระวงศ์ของต้าเหลียงกล่าวว่ายินดีมอบทรัพย์สมบัติที่มีทั้งหมดให้แก่พวกเราเพื่อแลกกับการมีชีวิตรอด บวกกับคำขอร้องของอ๋องเมืองหาน ข้าจึงไว้ชีวิตคนเหล่านั้น ทว่า ต่อมาซุนเหวินเหยาเป็นคนสืบพบว่าเชื้อพระวงศ์และคนตระกูลสูงศักดิ์ลักลอบขนย้ายทรัพย์สมบัติหนีตอนกลางคืนจึงมาบอกให้ข้านำคนไปขวางเจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนได้ยินถึงตรงนี้จึงหรี่ตาแคบลง
“ไช่เซียนเซิงบอกให้ข้าไปเตือนพวกเขา แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นทรัพย์สมบัติที่พวกเขาย้ายออกไปจากเมืองแล้ว ริบไว้เพียงทรัพย์ที่ยังอยู่ในเมืองหานพอ ถือเป็นการควบคุมสถานการณ์ในเมืองหานให้มั่นคงก่อน วันหน้าเมื่อต้าโจวควบคุมต้าเหลียงได้อยู่หมัดแล้ว ค่อยคิดบัญชีกับพวกเขาภายหลังก็ยังไม่สาย” ไป๋จิ่นจื้อเท้าศอกลงบนโต๊ะพลางขยับเข้าไปใกล้ไป๋ชิงเหยียนอีกนิด จากนั้นกล่าวต่อ
“ข้าคิดว่าไช่เซียนเซิงกล่าวถูกต้อง ตอนนี้อยู่ในช่วงสำคัญ เราเพิ่งทำสงครามเสร็จ คนส่วนใหญ่ในต้าเหลียงยอมสวามิภักดิ์ต่อพี่หญิงใหญ่ พวกเราควรใช้วิธีที่อ่อนโยนเพื่อปลอบประโลมใจคน”
การได้ยินไป๋จิ่นจื้อกล่าวประโยคนี้ออกมาทำให้ไป๋ชิงเหยียนต้องมองน้องสาวคนนี้ใหม่
“เมื่อข้าจับคนเหล่านี้ได้แล้ว เดิมทีข้าตั้งใจจะริบทรัพย์ของพวกเขาไว้ตามที่ไช่เซียนเซิงแนะนำ ข่มขู่พวกเขาเล็กน้อยจากนั้นปล่อยตัวพวกเขาไป ตอนนั้นซุนเหวินเหยาเป็นควบคุมตัวคนเหล่านั้นกลับไปยังจวนของพวกเขา ห้ามไม่ให้พวกเขาออกจากเมืองหานชั่วคราว…” ไป๋จิ่นจื้อกล่าวเสียงเบา “ทว่า ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ตอนที่เชื้อพระวงศ์ที่ยังไม่ได้ออกจากเมืองสองคนนำทรัพย์สมบัติมามอบให้ข้า บ่าวรับใช้ของพวกเขาล้วนมีแต่มือสังหาร พวกเขาพุ่งเป้ามาที่ข้า!”
“ซุนเหวินเหยาเอาตัวเข้ารับดาบแทนข้า เชื้อพระวงศ์สองคนนั้นต่อว่าหาว่าข้าคิดสังหารพวกเขาทั้งตระกูล สาปแช่งให้ข้าไม่ตายดี จากนั้นเสียชีวิตลงด้วยดาบของซุนเหวินเหยาเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของไป๋จิ่นจื้อนิ่งขรึม
“ต่อมาเชื้อพระวงศ์คนอื่นยอมมอบทรัพย์ให้พวกเราแต่โดยดี จากนั้นรีบหนีออกไปจากเมืองหาน ไช่เซียนเซิงคิดว่าตอนนั้นซุนเหวินเหยาไม่ควรสังหารเชื้อพระวงศ์สองคนนั้น ควรถามพวกเขาให้เข้าใจว่าเหตุใดจึงคิดว่าข้าจะเอาชีวิตของพวกเขาเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อกล่าวถึงตรงนี้ แววตาเริ่มเยือกเย็นลง “ข้าแสร้งทำเป็นต่อว่าไช่เซียนเซิงด้วยความหงุดหงิด กล่าวว่าซุนเหวินเหยาคือผู้มีพระคุณของข้า เอ่ยถามไช่เซียนเซิงว่าสงสัยในตัวซุนเหวินเหยาใช่หรือไม่ หากไช่เซียนเซิงสงสัยซุนเหวินเหยาก็เท่ากับสงสัยข้าเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนขยับริมฝีปากเล็กน้อย หญิงสาวมองไปทางไป๋จิ่นจื้อด้วยแววตาอบอุ่น สิ่งที่ไป๋จิ่นจื้อแสดงออกมาไม่แตกต่างจากนางคนเดิมแม้แต่น้อย รักพวกพ้องและวู่วาม
“ข้าให้ไช่เซียนเซิงแอบสืบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นหลังจากที่ซุนเหวินเหยาคุมตัวตัวเชื้อพระวงศ์เหล่านั้นกลับไปที่จวนของแต่ละคน ต่อมาสืบพบว่าแม้ซุนเหวินเหยาจะไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น ทว่า ลูกน้องของซุนเหวินเหยากลับลอบคุยกันว่าเกาอี้จวิ้นจู่จะสังหารเชื้อพระวงศ์ของต้าเหลียงเหล่านี้หลังจากริบทรัพย์สมบัติของพวกเขาหมดแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนี้ เชื้อพระวงศ์ที่ถูกกักบริเวณจึงกระจายข่าวนี้ออกไปให้คนอื่นรับรู้ จากนั้นจึงเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า
“ต่อมาเมื่อบาดแผลของซุนเหวินเหยาหายดีแล้ว ข้าจึงไปถามซุนเหวินเหยาว่าเหตุใดจึงต้องสังหารเชื้อพระวงศ์สองคนนั้น…” ไป๋จิ่นจื้อยิ้มเย็น “ซุนเหวินเหยาผู้นั้นกล่าวว่าเขาไม่อาจทนเห็นผู้อื่นทำร้ายข้าได้เพราะว่าเขาหลงรักข้า ทว่า เขาฐานะต้อยต่ำจึงไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกให้ข้ารับรู้ ครั้งนี้มีคนลอบสังหารข้า เขาจึงทนไม่ไหวเจ้าค่ะ”
เห็นท่าทีของไป๋จิ่นจื้อก็รู้ได้ทันทีว่านางไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว
“ต่อมาเล่า…” ไป๋ชิงเหยียนถาม
“แน่นอนว่าข้าต้องเล่นตามแผนเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาที่ไป๋ชิงเหยียนดื่มไปแล้วครึ่งหนึ่งมาดื่มจนหมดถ้วย “คิดว่าข้าไม่มีสมองขนาดนั้นเลยหรือ! หากคนคนหนึ่งหลงรักคนอีกคนจริง ดวงตาซ่อนความรู้สึกไว้ไม่มิดอยู่แล้ว แม้ข้าจะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ทว่า ข้าเคยเห็นมาก่อนเจ้าค่ะ!”
ไป๋จิ่นจื้อวางถ้วยชาลง “อีกอย่างหากคิดว่าตัวเองฐานะต่ำต้อยก็ควรเก็บเอาไว้เช่นนั้น! ทางที่ดีควรเก็บไว้ตลอดชีวิต! เหตุใดต้องกล่าวออกมาตอนนี้ด้วย! ต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ผู้มีพระคุณประกอบกับแอบหลงรักข้า เขาต้องการให้ข้ามองเขาไม่เหมือนผู้อื่น ต้องการใช้คำว่าบุญคุณหลอกให้ข้าหลงกล!”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “เสี่ยวซื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว…”
ไป๋จิ่นจื้อเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย จากนั้นกล่าวยิ้มๆ “ข้าบอกเรื่องนี้กับไช่เซียนเซิง ไช่เซียนเซิงแนะนำให้ข้าเล่นไปตามแผน ดูว่าซุนเหวินเหยาผู้นี้ต้องการทำสิ่งใดกันแน่เจ้าค่ะ หากได้รับการปกป้องจากข้า ซุนเหวินเหยาผู้นั้นต้องยิ่งไม่มีความยำเกรง จากนั้นเผยพิรุธของตัวเองออกมา ไช่เซียนเซิงแนะนำให้ข้าแสร้งทำเป็นหลงรักเขาตอบด้วย ไช่เซียนเซิงส่งคนไปสืบเรื่องของซุนเหวินเหยาแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งแม่ทัพจ้าวเดินทางกลับมาก่อน ทว่า แม่ทัพจ้าวต้องวางแผนการป้องกันเมืองแต่ละเมืองใหม่ขณะเดินทางมายังต้าโจว ข้าไม่อยากให้ซุนเหวินเหยารับรู้ จึงแสร้งทำเป็นอดทนรอไม่ไหว พาซุนเหวินเหยาเดินทางล่วงหน้ามาก่อนเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาอีกครั้ง เมื่อเห็นถ้วยชาที่ว่างเปล่าจึงบ่นออกมาอย่างงอแงราวกับเด็ก “พี่หญิงใหญ่ ข้าสนทนามาสักพักแล้ว ควรให้พี่ชุนเถารินน้ำชาให้ข้าบ้างสิเจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนหัวเราะกับคำกล่าวของไป๋จิ่นจื้อ “เว่ยจง รินน้ำชาให้เกาอี้จวิ้นจู่ที”
เว่ยจงได้ยินเสียงจึงถือชาอู้อวิ๋นและน้ำบ๊วยเย็นที่ไป๋จิ่นจื้อชอบเข้ามาด้านใน จากนั้นถอยจากไปอย่างนอบน้อม
“ว้าว ดื่มน้ำบ๊วยเย็นนี่ก็รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของพี่ชุนเถา!” ไป๋จิ่นจื้อยกน้ำบ๊วยเย็นขึ้นดื่มทีละนิด
“ชุนเถารู้ว่าเจ้าจะกลับมา ตอนนี้นางกำลังทำของว่างที่เจ้าชอบให้เจ้าอยู่ในโรงครัว” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
“พี่ชุนเถารักข้าจริงๆ” ไป๋จิ่นจื้อดื่มน้ำบ๊วยจนหมดถ้วย จากนั้นวางถ้วยหยกลงพลางกล่าว “พี่หญิงใหญ่ ข้าพาซุนเหวินเหยาผู้นั้นกลับมาแล้ว หากข้าเดาไม่ผิด เขาต้องยิ่งทำตัวเหิมเกริมในเมืองหลวงมากกว่าเดิมแน่เจ้าค่ะ…”