เหล่าทหารทั้งหลายต่างก็พากันตื่นตะลึงไป ตลอดมาเมืองกู่เย่วมีจวิ้นอ๋องคอยระวังรักษาการณ์อย่างเคร่งครัด แม้แต่คนที่จะผ่านเข้ามายังต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดลออ คนมากมายเพียงนี้สามารถผ่านการตรวจตรามาได้อย่างไร?
เหลียงจวิ้นอ๋องเองก็ชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ยามที่จีเฉวียนมาถึงนั้น เขาได้ตรวจตราดูถึงสามรอบ นอกจากองครักษ์ที่ติดตามมาสองสามคนแล้ว ที่ข้างกายของพระองค์ก็ไม่มีผู้ใดอีก
องครักษ์ลับนับพันสามารถเล็ดลอดผ่านใต้เปลือกตาของเขาเข้ามาได้อย่างไร?
นี่เป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไปหรือว่าประเมินจีเฉวียนต่ำเกินไปกันแน่?
ฮ่องเต้หนุ่มน้อยผู้นี้ ทำตัวเป็นคน ‘ใจซื่อมือสะอาด’ มา ‘ขุดต้นไม้’ แต่ที่จริงแล้วกลับนำพาผู้คนมาตั้งมากมาย ลอบตระเตรียมหลุมพรางเอาไว้ ล่อให้เขากระโดดลงไป ค่อยฝังเขาอย่างทารุณ
เหลียงจวิ้นอ๋องอยู่มาถึงปูนนี้แล้วยังไม่เคยเสียทีให้ใครมาก่อน ตอนนี้กลับต้องมาถูกจีเฉวียนพลิกเรือคว่ำ มือที่ถือธนูยาวเอาไว้กำแน่นขึ้นมาจนข้อนิ้วขาวโพลน
คนผู้นี้ถึงกับเจ้าเล่ห์เพทุบายเสียยิ่งกว่าผู้ที่เป็นปู่ของเขาเสียอีก
“ฝ่าบาท กองทหารรักษาพระองค์และแม่ทัพผู้พิชิตตู๋กูจุนล้วนเฝ้าอยู่ที่เชิงเขาแล้วพะยะค่ะ” หลงเซียวคุกเข่าลงข้างหนึ่งเบื้องหน้าจีเฉวียน “ขอเพียงพระองค์มีพระบัญชา ก็พร้อมที่จะบุกเข้ามากวาดเมืองกู่เย่วให้ราบลงไป”
พอเหล่าผู้คนที่มิได้ทราบความเป็นจริงได้ยินเข้า หัวใจก็กระตุกขึ้นมา ที่แท้บุรุษที่งดงามจนฟ้าดินชิงชังผู้คนริษยา…..ก็คือฮ่องเต้จริงๆ
ฝ่าบาทเสด็จมาด้วยพระองค์เอง กลับเกือบจะถูกเหลียงจวิ้นอ๋องวางเพลิงจนสิ้นพระชนม์
ทั้งหมดนี่….เป็นความเข้าใจผิดกันหรือ?
หลายปีมานี้ เนื่องด้วยความคุ้มครองของเหลียงจวิ้นอ๋อง พวกเขาถึงได้อยู่ดีมีสุข ปราศจากทุกข์ร้อนใดๆ มาโดยตลอด
เหลียงป๋อไหนเลยจะยอมเลิกราโดยง่าย เขาพึ่งจะเปิดเผยความคิดกบฏออกไป หากว่าหยุดยังแต่เพียงเท่านี้ก็มีแต่จะตายเร็วกว่าเดิม
อย่าว่าแต่ ด้วยกำลังพลในเมืองกู่เย่วของเขา มิใช่ว่าไม่อาจจะปะทะกับคนของจีเฉวียนได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเมื่อครู่เขามิได้ฟังผิดละก็ กองทัพที่มารออยู่ใกล้ๆ มีตู๋กูจุน?
มิว่าอย่างไรจีเฉวียนก็ไม่สมควรจะนำตู๋กูจุนมายังที่นี่
เขาไม่รู้หรือว่า ที่นี่เคยเป็นอดีตแคว้นของผู้ใด?
พอคิดถึงตรงนี้ เหลียงป๋อก็ยืดตัวตรงดุจพู่กัน ดวงตาที่ชราแล้วจับจ้องไปยังจีเฉวียน ยิ้มเย็นชาพลางกล่าวว่า “ในเมื่อฮ่องเต้แคว้นโจวของพวกเรากล้าคบหากับปีศาจอย่างสนิทสนม ก็อย่าได้โทษว่าผู้อื่นจดจำผิดพลาดไป”
“ใครจะไปคิดละว่า ผู้ที่เป็นถึงฮ่องเต้จะยอมเคียงบ่าเคียงไหล่กับปีศาจได้กัน?”
หลายประโยคนี้ของเหลียงจวิ้นอ๋องยิ่งแสดงชัดว่าเขามีเจตนาจะตอกย้ำ นายทหารหนุ่มน้อยที่อยู่ข้างกายจึงรีบตะโกนออกมาขุ่นเคือง
“จริงด้วย! เมื่อครู่พวกเราต่างก็เห็นอย่างชัดเจน ว่าปีศาจจากภูเขาฝูซางตนนั้นร่วมมือกับฮ่องเต้มิใช่หรือ? เช่นนั้นฮ่องเต้ผู้นี้ที่จริงแล้วเป็นตัวอะไรกันแน่?”
นายทหารผู้นั้นพูดพลางก็กำหอกยาวของตนเองเอาในมือ ชี้ออกไปด้วยท่าทางไม่กลัวตาย
ปัญหาลากยาวมาถึงเรื่องที่ว่า ‘ฮ่องเต้นั้นเป็นตัวอะไร’ เสียแล้ว
ในใจของผู้คนทั้งหลายทั้งเคารพทั้งยำเกรง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือหวาดกลัว
ฮ่องเต้ของแคว้นแคว้นหนึ่ง ถึงกับมีความเกี่ยวพันกับพวกปีศาจ หากบ้านเมืองตกอยู่ในกำมือของคนเช่นนี้ แค่คิดๆ ดูก็ทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวแล้ว
ตอนนี้ พวกเขาต่างก็เงยหน้ามองขึ้นไป ถึงแม้ว่าเจ้ากิเลนตัวดำนั่นจะรู้จักร้องเมีย เมีย ……..แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ารักเลยสักนิด
ที่จริงแล้วแค่ฮ่องเต้สามารถควบคุมสัตว์ประหลาดเช่นนี้เอาไว้ได้ ก็เพียงพอจะทำให้คนต้องหวาดกลัวแล้ว
พอทหารผู้น้อยผู้นั้นเคลื่อนไหว นายทหารคนอื่นๆ ต่างก็พากันขยับตาม
แต่ละคนเกาะกุมอาวุธในมือเอาไว้แนบแน่น มองดูจีเฉวียนด้วยความตื่นตัว
ชาวเมืองกู่เย่วต่างก็ยืนห่างไกลออกไป เมื่อครู่มีผู้คนไม่น้อยได้รับบาดเจ็บ ในใจต่างก็พากันเกิดความหวาดระแวงต่อจีเฉวียน
จีเฉวียนประทับยืนอยู่บนหลังของเมียเมีย ดวงเนตรหงส์มองลงมาด้านล่างด้วยแววตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้เลยว่าพระหัตถ์ที่โอบอุ้มตนเองเอาไว้นั้นเกร็งขึ้นมาอีกหลายส่วนนางสางเส้นผมบนใบหน้า เหลือบตามองดูผู้คน ก็ยิ้มเย็นออกมา “วาจาไร้สาระ หากจับพวกเจ้าไปเผาไฟพร้อมๆ กับบุรุษที่งดงามผู้นี้ พวกเจ้าลองคิดดูซิว่าพวกเจ้าจะยอมตายหรือจะร่วมมือกันเพื่อหาทางรอด?”
น้ำเสียงของนางน่าฟังอย่างยิ่ง แต่ถ้อยคำที่พูดฟังแล้วกลับเย้ยหยันอย่างที่สุด
แสงเพลิงในสวนตะวันออกยังคงไม่มอดไป ตู๋กูซิงหลันอยู่ในมุมอับแสงมาตั้งแต่แรกผู้คนแม้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงอุ้มสาวน้อยนางหนึ่งเอาไว้ แต่ว่าไม่อาจมองเห็นรูปโฉมของนาง
ยามนี้พอนางเอ่ยปากขึ้นมา ผู้คนถึงได้หันความสนใจไปที่นาง
ถึงได้เห็นว่าที่ฮ่องเต้ต้าโจวทรงโอบอุ้มเอาไว้นั่นเป็นสาวน้องที่งดงามอย่างยิ่งผู้หนึ่ง นางดูไม่มีความกิ่งเกรงใดๆ แม้แต่น้อย
ฉู่เจียงที่อยู่ด้านหลังที่ยอมให้ตนเองเข้าเกณฑ์ ‘บุรุษโฉมงาม’ แต่โดยดีก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองตู๋กูซิงหลันอีกหลายครั้ง
ตู๋กูซิงหลันยังคงเป่าหูอยู่ข้างพระกรรณของจีเฉวียนต่อไป นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแอว่า
“ฝ่าบาทเพคะ~ พระองค์ช่างน่าสงสารจริงๆ เกือบจะถูกเผาตายแล้วแท้ๆ แล้วยังต้องมาถูกคนสาดน้ำครำเข้าอีก”
“ยามที่พระองค์กับบุรุษโฉมงามผู้นี้ต่อสู้กันก็ไม่เห็นมีใครกระโดดออกมาพิทักษ์ ตอนนี้แค่ใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำก็คิดสาดความผิดใส่พระองค์ คนที่หลงเชื่อคำพูดผีสางของเสี่ยวเหลียงพวกนี้ เป็นพวกไม่มีสมองใช่หรือไม่เพคะ?”
นางบอบบางไม่อาจต้านทานสายลม ดูไปเหมือนกระต่ายขาวน้อยอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา ที่ไม่ได้มีความก้าวร้าวใดๆ เลยสักนิด
ถ้อยคำกระแนะกระแหนของนางกลับทำให้ผู้คนทั้งหลายถึงกับมุมปากกระตุก
โดยเฉพาะเหลียงจวิ้นอ๋องถึงกับชะงักอยู่กับที่ เขาอายุมากถึงเพียงนี้แล้วกลับถูกเรียกเป็นเสี่ยวเหลียง ทำเอาใบหน้าชรานั้นถึงกับรับไว้ไม่ได้
ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันได้สังเกตว่าจีเฉวียนคอยระวังรักษาสาวน้อยผู้นี้เอาไว้อยู่ตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่ต่อสู้ก็ยังไม่ยอมวางลง
ที่จริงแล้วนางคือใครกันแน่?
ตู๋กูซิงหลันด่าคนโดยไม่ใช้คำพูดหยาบคาย
ผู้คนพากันมองดูนาง แล้วก็หันไปมองฮ่องเต้
หากว่าข่าวลือที่ได้ยินมาไม่แปลกปลอมละก็ ฮ่องเต้ต้าโจวไม่โปรดใกล้ชิดสนิทสนมกับสตรีมิใช่หรือ?
ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ายามอยู่เบื้องหน้าฝูงชนทั้งหลายพระองค์ทรงใกล้ชิดกับหญิงใดถึงเพียงนี้?
หลงเซียวเองก็มองไปเช่นกัน ทันทีที่เขาได้เห็นตู๋กูซิงหลัน หัวใจที่ลอยคว้างมานานของเขาก็ค่อยกลับเอาเข้าที่ได้สักที
ในที่สุดฝ่าบาท…..ก็ทรงตามหาไทเฮาน้อยพบแล้ว
ตลอดเดือนกว่ามานี้ หน่วยองครักษ์ลับของพวกเขาถูกทรมานจนแทบจะลาตายกันแล้ว พวกเขาแทบจะพลิกดินแดนทั้งหมดเพื่อตามหา แต่กลับไม่พบไทเฮาน้อยแม้แต่เงา
ต้องทนเห็นฝ่าบาทผ่านผอมลมไปทุกๆ วัน ฝีมือในการทรมานผู้คนก็หนักหนาขึ้นเรื่อยๆ
ยามนี้เมื่อได้พบตัวตู๋กูซิงหลันแล้ว ใบหน้าของหลงเซียวที่มักจะปราศจากอารมณ์ความรู้สึกอยู่เสมอ ก็ถึงกับต้องหลั่งน้ำตาออกมา
“ท่านหัวหน้า ท่านเกิดความซาบซึ้งที่ได้เห็นไทเฮาทรงออกโรงปกป้องฮ่องเต้หรือ?” ลูกน้องที่อยู่ด้านข้างรู้สึกว่าได้เห็นสิ่งประหลาดราวกับเห็นผี ต่อให้ฝันมันก็ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ได้เห็นหัวหน้าหลั่งน้ำตา
หลงเซียวกลับไปทำสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ ดุจเดิม “ข้าซาบซ้ำที่คืนวันอันเลวร้ายของพวกเราได้สิ้นสุดลงแล้วต่างหาก”
ทันใดนั้นลูกน้องของเขาก็พลันน้ำตาซึมขึ้นมาตามๆ กัน จริงด้วย ในที่สุดวันเวลาที่ยากลำบากก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว
เมื่อคิดถึงคืนวันอันทุกข์ทรมานในช่วงที่ผ่านมา ตอนนี้ในที่สุดความโชคดีก็มาถึงแล้ว
บนหลังของเมียเมีย จีเฉวียนกระชับอ้อมแขนที่โอบกอดตู๋กูซิงหลันให้แนบแน่นกว่าเดิม พลางปรายพระเนตรไปมองดูสาวน้อยในอ้อมพระพาหา
“ซิงซิง เจ้าปกป้องเราเช่นนี้ ทำให้เรามีความสุขเหลือเกิน”
ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าตู๋กูซิงหลันจะใจแข็งเป็นหินหรือเหล็กเพียงไหน แต่เมื่อถึงยามคับขับนางก็จะปกป้องพระองค์อยู่เสมอ
เหมือนยามอยู่ในสุสานเย่วฮูหยิน ยามที่น้ำท่วมเมืองลี่โจว ยามที่อยู่ในโลงทองแดง….
ตู๋กูซิงหลันได้ฟังแล้ว ก็กระซิบกระซาบที่ริมพระกรรณต่อไปว่า “ฝ่าบาท พระองค์มีความสุขก็เรื่องหนึ่ง แต่ขอทรงปล่อยสะโพกน้อยๆ ของหม่อมฉันก่อนได้ไหมเพคะ?”
จีเฉวียนถึงได้ทรงสังเกตว่า พระหัตถ์ของพระองค์เกาะกุมก้อนเนื้อของตู๋กูซิงหลันเอาไว้
ความรู้สึกหยุ่นๆ นุ่มๆ มือเช่นนี้ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะขยุ้มอีกหลายๆ รอบ
……………………………………..
ตอนต่อไป “ได้เห็นเจ้ากำแหง เรายิ่งปลื้มปิติ”