ที่สุดแล้วเขาก็มิได้เหลวไหล ยังคงคำนึงถึงหลานสาวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของตนอยู่
เมื่อเขาตายไป ในโลกนี้ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องเซิงเซิงคือสายเลือดที่หลงเหลืออยู่ของเชื้อพระวงศ์แคว้นกู่เย่ว
ต่อให้จีเฉวียนที่เฉลียวฉลาดรู้แล้ว……แต่ตู๋กูซิงหลันเองก็เป็นทายาทขององค์หญิงเย่ว ในเมื่อเขารักนางถึงเพียงนั้น ก็คงจะเว้นทางรอดไว้ชีวิตเซิงเซิงเช่นกัน?
เขามองดูจีเฉวียนด้วยสายตาวิงวอน หอบเอาลมหายใจสุดท้ายคุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์
สายพระเนตรของจีเฉวียนเย็นชา “นางเป็นกุ้ยเฟยของเรา เราย่อมไม่ทำอะไรกับนาง”
หากจะนับกันไปแล้ว เหลียงเซิงเซิงก็เป็นญาติผู้น้องของซิงซิง อย่างน้อยๆ ก็มีความผูกพันกันทางสายเลือด เขาย่อมไม่อาจกวาดล้างได้
เมื่อมีคำสัญญาของจีเฉวียน เหลียงจวิ้นอ๋องก็สามารถวางใจได้แล้ว
“กองทัพทั้งหมดฟังคำสั่ง เรื่องทั้งหมดในวันนี้เป็นการหาเรื่องใส่ตัวของข้าแต่เพียงผู้เดียว พวกเจ้าไม่อาจโกรธแค้นฝ่าบาท นับจากวันนี้เป็นต้นไปจะต้องทุ่มเทชีวิตและจิตใจรับใช้ฝ่าบาท ปกป้องต้าโจวจนตัวตาย!”
เขาสั่งออกมาเพียงประโยคเดียว ทหารทั้งหมดก็พากันคุกเข่าลงไป
มิว่าอย่างไรพวกเขาก็ติดตามเหลียงจวิ้นอ๋องมานานปี ย่อมมีความเคารพในตัวท่านอ๋องอย่างสุดใจ
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะถูกองครักษ์ลับของฮ่องเต้ล้อมเอาไว้ แต่หากว่าจวิ้นอ๋องสั่งให้พวกเขาสู้จนตัวตาย พวกเขาก็พร้อมจะมอบชีวิตออกไป
ตอนนี้จวิ้นอ๋องต้องการให้พวกเขาถวายความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้
เมื่อมองดูฮ่องเต้ที่ทรงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างองอาจในใจของแต่ละคนก็พลันเกิดความเคารพยำเกรงขึ้นมา
คิดๆ ดูแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงให้หน้าแก้จวิ้นอ๋องมากแล้ว
หากมองจากมุมมองของพระองค์ จวิ้นอ๋องถือเป็นกบฏ สมควรจะต้องประหารเก้าชั่วโคตร แต่ว่าฝ่าบาทกลับไม่ได้ทรงบีบคั้นเขา ทั้งยังรับปากจะไว้ชีวิตคุณหนูเซิงเซิง
น้ำพระทัยที่กว้างขวางเช่นนี้ เหมาะสมกับฐานะของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอย่างยิ่ง
“ภักดีต่อฝ่าบาทด้วยชีวิต ปกป้องต้าโจวจนกว่าจะหาไม่!”
ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนขึ้นมาก่อน เหล่าทหารทั้งหมดชะงักไปเล็กน้อย ก็พร้อมใจกันตะโกนออกมา
และท่ามกลางเสียงตะโกนสัตย์สาบานนี้เอง เหลียงจวิ้นอ๋องก็ได้ขาดลมหายใจไป
มือของเขากำหอกเอาไว้ คุกเข่าลงข้างหนึ่งให้กับจีเฉวียน ก้มศีรษะลงไป หลั่งเลือดจากช่องท้อง
ดั่งวีรบุรุษผู้ถดถอยไปตามกาลเวลา เป็นภาพที่โศกเศร้าจนไม่อาจจะบรรยายออกมาได้
เขาคุกเข่าอยู่ตรงนั้น อย่างไร้สำเนียงใดๆ อีกตลอดกาล
จีเฉวียนมองดูเขา ที่สุดแล้วยังต้องถือว่าเหลียงป๋อมีน้ำใจการุณ ก่อนตายก็ได้หาทางรอดเอาไว้ให้กับกองทัพเมื่องกู่เย่ว
ให้พวกเขาทั้งหมดศิโรราบต่อพระองค์ นี่คือทางรอดที่เหลียงป๋อให้กับพวกเขา
จีเฉวียนเองก็ทรงเป็นฮ่องเต้ที่มีพระเมตตาปราณี ย่อมไม่ทำอะไรกับพวกเขาเพราะเหลียงจวิ้นอ๋องเป็นเหตุ เพียงแต่ว่าทหารของกองทัพนี้ คงหมดโอกาสจะได้รับหน้าที่สำคัญไปชั่วชีวิต
…………………….
ฉู่เจียงเองก็ยืนอยู่ไม่ไกลออกไป เหลียงจวิ้นอ๋องตายไปแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกสบายใจสักเท่าไร
ไอ้แก่นั่นอย่างไรก็เป็นปู่ของเหยื่อตัวน้อย
หากว่าเหยื่อตัวน้อยอารมณ์ไม่ดี กินเข้าไปก็จะไม่ค่อยอร่อย
คืนนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทำเอาเขาเกือบจะลืมจุดมุ่งหมายไปเสียแล้ว
แต่เมื่อกวาดตามองไปโดยรอบ จะอย่างไรก็หาเหยื่อตัวน้อยไม่พบ
………………………….
ในเมืองกู่เย่ว บนหอสูง สีหน้าของต้าจี้ซือเองก็ไม่ดีสักเท่าไร
“ท่านประมุข ดูท่าเรื่องราวจะไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้” ฉางซุนซิ่วยืนอยู่ข้างกายเขา ดวงตาทั้งสองเปี่ยมไปด้วยประกายเย็นยะเยือก
ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆ จะถูกเหลียงจวิ้นอ๋องเข้ามาแทรกแซง ไม่เพียงแต่จีเฉวียนจะปลอดภัยไร้เรื่องราวเท่านั้น แต่กองทหารทั้งหมดของเมืองกู่เย่วยังยอมศิโรราบต่อเขา
เมื่อไม่มีหินขวางเท้าอย่างเหลียงจวิ้นอ๋อง เส้นทางที่จะครอบครองความยิ่งใหญ่ของจีเฉวียนก็ยิ่งสะดวกสบายมากขึ้น
ที่ยิ่งน่าเสียดายก็คือ ตู๋กูซิงหลันถึงกับยังไม่ตาย?
ตอนนั้นเขามั่นใจเลยว่า ช่องว่างของมิติเวลาพังทลายลงมา นางสมควรถูกแรงกดดันนั่นบีบคั้นจนร่างและกระดูกแหลกเหลว
คิดไม่ถึงว่านางจะมีชะตาเข้มแข็ง ไม่ตายก็แล้วไปเถอะ แต่ยังปีนกลับออกมาหาฮ่องเต้ได้
จีเฉวียน……ทั้งๆ ที่เป็นคนที่ถูกทอดทิ้งแท้ๆ แต่กลับกอดนางอย่างใกล้ชิดสนิทสนม
พระองค์มันช่างไร้ค่าเสียจริงๆ คนที่มิว่าอ้อนวอนอย่างไรก็ยังไม่สนใจ กลับถูกพระองค์วางเอาไว้เป็นยอดดวงใจ
พระองค์ลืมไปแล้วหรือ อาการบาดเจ็บทั่วทั้งพระวรกายของพระองค์ เขาได้ ‘แลก’ มาไว้บนร่างของตนเอง?
ฉางซุนซิ่วเออร์กำหมัดขึ้นมา บนร่างมีแต่ความกรุ่นโกรธ
สายตาของต้าจี้ซือเองก็มีแต่ความเย็นยะเยือก ประการแรกเรื่องราวไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาวางแผนเอาไว้
เขาคิดไม่ถึงว่า แม่ทัพของต้าโจวคนนั้นจะเคยแอบหลงรักเย่วเอ๋อร์มาก่อน
ใต้หล้านี้บุรุษที่หลงใหลนางมีมากมายเกินไปแล้ว…แม้แต่เขายังจนจำได้ไม่หมด
ประการที่สอง คือสาวน้อยในอ้อมแขนของจีเฉวียนผู้นั้น….
สำหรับพวกเขาที่ฝึกฝนบำเพ็ญมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างกันไกลถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังสามารถเห็นคนได้อย่างชัดเจน
และเพราะใบหน้านั้นทำให้ต้าจี้ซือต้องนิ่งงันไปเนิ่นนาน
“นางคือใครกัน?” พักใหญ่ ต้าจี้ซือถึงได้ถามออกมาคำหนึ่ง
“ตู๋กูซิงหลัน หลานสาวของตู๋กูถิง”
ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์หัวเราะเสียงเย็นชาคำหนึ่ง “เป็นเพราะสตรีผู้นี้ ที่ทำให้แผนการณ์ทั้งในทางลับและในที่แจ้งของท่านประมุขจึงถูกทำลายไป”
“ตู๋กูซิงหลัน….” ต้าจี้ซือทบทวนชื่อของนางเบาๆ ครั้งหนึ่ง
เมื่อใช้แซ่ตู๋กูสองคำนี้ก็ยิ่งทำให้สีหน้าของเขาย่ำแย่กว่าเดิม
เขาไม่เพียงชิงชังราชวงศ์โจว ยิ่งเกลียดชังตระกูลตู๋กูยิ่งกว่า
ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ในร่างของนางเป็นจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งออกไป เนื่องเพราะเขาติดตามท่านประมุขมานานหลายปี จะมากจะน้อยย่อมรู้เรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับท่านประมุขอยู่บ้าง
คนที่เกี่ยวพันกับตระกูลตู๋กู ทั้งยังก่อกวนแผนการของท่านประมุขอยู่หลายหน ท่านประมุขมีหรือจะยอมปล่อยนางไปง่ายๆ
คราวนี้ ต้าจี้ซือก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก หากแต่จับจ้องมองดูสาวน้อยในอ้อมแขนของจีเฉวียน
เห็นหางตาและหัวคิ้วของนางคล้ายคลึงกับเย่วเอ๋อร์อยู่หลายส่วน หัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความแค้นมานานหลายปี ก็ต้องกระตุกขึ้นมาในทันที
หลานสาวแท้ๆ ของเย่วเอ๋อร์ เติบโตถึงเพียงนี้แล้ว
หากว่าตอนนั้นไม่ได้เกิดเรื่องราวพวกนั้นขึ้นมาละก็….สาวน้อยผู้นี้ เดิมทีสมควรจะเป็นหลานสาวของเขา
“ท่านประมุข กำลังสนใจอันใดหรือขอรับ?” ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่งแล้ว จึงไม่เข้าใจอยู่บ้าง “วันนี้จีเฉวียนกลับได้ประโยชน์ไปอีกแล้ว หากว่ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าฐานกำลังของเขาจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้น เมื่อท่านประมุขจะจัดการกับเขา เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากแล้ว”
พอพูดจบ หมอกสีดำของต้าจี้ซือก็เพิ่มพูนขึ้นมา
ฝ่ามือหนึ่งตวัดลงไปบนใบหน้าของฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ “ในสายตาของเจ้า ประมุขเช่นข้าถึงกับไร้ความสามารถเพียงนั้น?”
ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์รับฝ่ามือไปเต็มๆ ใบหน้าที่งดงามประดุจเนื้อหยกมีเส้นเอ็นสีดำผุดขึ้นมาทั่วในทันที
ใบหน้าของเขาถูกตบจนหันไปข้างหนึ่ง แต่สีหน้ากลับไร้ความรู้สึกใดๆ เพียงกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “ท่านประมุขย่อมแข็งแกร่งที่สุดแล้ว”
เนื่องเพราะ…..บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้ก็เป็นเพียงร่างแบ่งแยกของท่านประมุขเท่านั้น
ร่างจริงของเขา คงอยู่ที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนกระมัง?
เพียงแค่ร่างแยกร่างเดียวก็สามารถล่มทุกผู้ทุกนามในที่นี้ได้แล้ว อย่าว่าแต่ร่างจริงของเขาเลย
ต้าจี้ซือมิได้สนใจเขาอีก เพียงสลายร่างกายเป็นหมอกสีดำสายหนึ่งจากไป
บนหอสูง สายตาของฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ยิ่งทวีความเคียดแค้นมากกว่าเดิม
……………
สามวันหลังจากนั้น
ขณะที่ผู้คนต่างก็กำลังคาดการณ์ว่าฝ่าบาทคงจะให้ห่อศพของเหลียงจวิ้นอ๋องด้วยเสื่อฟาง โยนลงไปในสุสานไร้ญาตินั้น เหลียงจวิ้นอ๋องกลับได้รับการทำพิธีกลบฝังอย่างสมเกียรติที่สุสานในเขาฝูงซางซาน
ทำพิธีเฉกเช่นท่านโหวผู้หนึ่ง
ผู้คนต่างเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์นี้ ทรงยอมให้ขุนนางกบฏผู้หนึ่งได้รับการทำพิธีกลบฝังเฉกเช่นโหวผู้หนึ่ง น้ำพระทัยนี้ทำให้ผู้คนต้องเคารพยกย่องแล้ว
ข่าวใหม่กระจายไปทั่งทั้งเมืองกู่เย่ว ก่อนหน้านี้ผู้คนต่างเคยได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงร้ายกาจมีน้ำพระทัยเย็นชา ตอนนี้ดูแล้ว ที่จริงทรงมีพระเมตตาไพศาล
——-
ตอนต่อไป “ความทรงจำของเจียงเย่ว”
ไรท์: ไฮ้ย่าห์ ความทรงจำของท่านย่ามาแล้ว งานนี้ต้องมีคนเละแน่ๆ