บทที่ 6 ท่านคือบิดาของข้า (รีไรท์)
บทที่ 6 ท่านคือบิดาของข้า (รีไรท์)
หูของหนานกงสือเยวียนแทบดับ หัวสมองพลันปวดจี๊ดขึ้นมา หากไม่ทราบว่าเด็กน้อยผู้นี้เป็นบุตรสาวของตนเอง ตอนนี้เขาคงอยากฆ่านางจริง ๆ แล้ว
“หุบปาก!” หน้าผากของหนานกงสือเยวียนขึ้นเส้นเลือดปูดคล้ายกับพยายามอดทนต่ออะไรบางอย่าง
เมื่อได้ยินคําที่โหดร้ายเย็นชา เสี่ยวเป่าก็ตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม เด็กหญิงร้องไห้เสียงดังกว่าเดิมเสียอีก
“ถ้ายังไม่หุบปาก ข้าจะฆ่าเจ้า”
เสี่ยวเป่า “แง้งงงง~~~”
หนานกงสือเยวียน “…”
“เจ้าไม่กินต่อแล้วหรือ?”
เสี่ยวเป่าหยุดเสียงร้องไห้ทันที
“ข้า…ข้ายังไม่อิ่ม”
นางสะอื้นไห้ ทว่ามือกลับยัดขนมที่เหลืออยู่เข้าไปในปากจนแก้มสีแดงระเรื่อกลมป่อง น้ำตายังคงไหลอาบลงมา ไม่นานนางก็เรอเสียงดังเอิ๊ก
หนานกงสือเยวียน “…”
เขามีโอรสหลายคน แต่ไม่ว่าคนไหน เมื่อเผชิญหน้ากับตน โอรสเหล่านั้นก็เอาแต่กลัวตัวสั่นงกงัน ไม่กล้าพูดคำใดทั้งสิ้น
ไม่มีผู้ใดเหมือนเด็กน้อยคนนี้…
เสี่ยวเป่ามองเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ปากเต็มไปด้วยอาหารจนพูดจาไม่รู้เรื่อง
หนานกงสือเยวียนแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก “กินเสร็จแล้วค่อยว่ากัน”
เสี่ยวเป่าพยายามกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงไป แต่ความเครียดทำให้เด็กน้อยสําลัก ใบหน้าและคอเล็ก ๆ แดงก่ำ แขนเล็ก ๆ ปัดป่ายไปมาเป็นการบอกอีกฝ่ายว่าขอน้ำ
เมื่อเห็นเด็กน้อยทำท่าว่าอาหารจะติดคอตาย และแขนของนางก็สั้นเกินกว่าจะหยิบกาน้ำชาถึง หนานกงสือเยวียนจึงต้องหยิบกาน้ำชาส่งให้ด้วยความรำคาญใจ
“…โง่เง่า”
ถึงปากจะเอ่ยเช่นนี้ แต่ตนกลับยื่นน้ำให้
เสี่ยวเป่าดื่มน้ำเสร็จก็ดีขึ้นแล้ว
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ เฮ้อ~”
น้ำเสียงนุ่มนวลดังขึ้น เด็กน้อยยิ้มให้ชายผู้นี้อย่างเป็นมิตรมากขึ้น
“ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าเสี่ยวเป่าจะไปหาบิดาได้ที่ใด ท่านแม่เคยบอกว่าถ้าบิดารับตัวเสี่ยวเป่าเข้ามาดูแล ชีวิตของเสี่ยวเป่าก็จะดีขึ้น แต่เสี่ยวเป่าไม่เห็นมีความสุขเลย”
เจ้าตัวเล็กร้องไห้อีกครั้งจนจมูกและดวงตาแดงก่ำ เวลาพูดเสียงก็สะอึกสะอื้น ดูน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
หนานกงสือเยวียนยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย ขณะกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ขันทีเฒ่าที่วิ่งโซซัดโซเซเข้ามาจากข้างนอกก็เอ่ยเสียงสั่นเทา ขอความกรุณาว่า
“ฝ่าบาท! มีผู้บุกรุกเข้ามา บ่าวชราสมควรตายยิ่งนัก!”
เวลาที่หนานกงสือเยวียนพักผ่อน เขาไม่ชอบให้มีผู้ใดมารบกวนและไม่ชอบได้ยินเสียงหายใจของคนอื่นในตำหนัก เมื่อถึงเวลากลางคืน คนที่อยู่รอบ ๆ จึงถูกไล่ออกไปข้างนอกทุกครั้ง
นี่คือเหตุผลที่เสี่ยวเป่าเดินเข้ามาแล้วไม่เจอคน ทั้ง ๆ ที่ที่นี่คือตำหนักหลวง
“ไสหัวไป”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีซงโล่งใจพลางเช็ดเหงื่อเย็น ๆ บนหน้าผาก เขาไม่กล้าถาม ไม่กล้ามอง เพียงก้มหัวลงอย่างเงียบเชียบที่สุด
ทว่าเวลานี้ เสี่ยวเป่าอ้าปากเล็ก ๆ ดวงตากลมโตคู่สวยเบิกกว้าง จ้องมองชายตรงหน้าอย่างอึ้ง ๆ
หนานกงสือเยวียนมองอย่างใจเย็น ก่อนจะกล่าวว่า “อะไร…”
เขายังพูดไม่จบ กระทั่งยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกเด็กน้อยวิ่งเข้ามากอดขาแนบแน่นเสียแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านก็คือบิดาของเสี่ยวเป่า ลุงหลินบอกว่าทุกคนจะเรียกบิดาของเสี่ยวเป่าว่า ฝ่าบาท!”
เด็กหญิงพูดด้วยความมั่นใจ
หนานกงสือเยวียน “…”
เส้นเลือดปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขาทันที “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
เสี่ยวเป่าส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “ไม่ปล่อย ท่านเป็นบิดาของเสี่ยวเป่า”
ฮ่องเต้หนุ่มดึงมือเล็ก ๆ ของเด็กหญิงออกจากขาของตน ก่อนจะโยนนางลงไปบนพื้นอย่างไม่แยแส
เด็กหญิงเจ็บทั้งกายและใจ ปากคว่ำเบะ น้ำตาคลอเบ้า มองแล้วก็ทำท่าจะร้องไห้อีก
ทันใดนั้น เสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ “หากเจ้าร้องไห้อีก ข้าจะไล่เจ้าออกไปซะ”
เสี่ยวเป่ารีบลุกขึ้นยืน ถามทันทีว่า “ทําไมบิดาไม่มาหาเสี่ยวเป่า”
เด็กหญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้นใจว่า “พอไม่มีบิดา พวกเขาก็รังแกข้า ข้าวเหม็นกินไม่ได้ หมั่นโถวแข็งกัดไม่เข้า”
หนานกงสือเยวียนหรี่ตาลงอย่างขุ่นเคือง แม้ว่าเขาจะไม่สนใจเด็กคนนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นสายเลือดของเขา ผู้อื่นสามารถรังแกได้ด้วยหรือ?
พวกคนน่าตาย… กล้ามากนักนะ!
ให้ตาย ผู้คนในวังล้วนไว้ใจไม่ได้จริง ๆ สงสัยคงต้องจัดการสักหน่อยแล้ว
เสี่ยวเป่าฟ้อง แต่ก็ไม่วายคว้าขนมชิ้นหนึ่งในจานยัดเข้าปาก เมื่อรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าคือบิดาของตนเอง เด็กหญิงจึงกล้าทานมากขึ้น
หนานกงสือเยวียนจ้องมองบุตรสาวจอมตะกละ เขาพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
ช่างมันเถอะ ปล่อยให้นางอิ่มแล้วค่อยไล่กลับไปก็แล้วกัน
“ท่านพ่อกิน”
ทันใดนั้น ขนมแป้งถั่วเขียวรูปดอกไม้ก็ถูกยื่นออกมาด้วยมือสีขาวนุ่มนิ่ม ดวงตาของหนานกงสือเยวียนฉายแววรังเกียจทันที
“เอามันออกไปให้พ้นหน้าข้า”
เสี่ยวเป่ามองเขาอย่างลังเลใจ “แต่มันอร่อยมากนะเจ้าคะ ท่านพ่อลองกินหน่อยเถอะ”
หนานกงสือเยวียนกําลังจะปฏิเสธอย่างแข็งขัน ทว่าทันใดนั้น สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไป
เขาผุดลุกขึ้น ปัดขนมที่นางถืออยู่ในมือลงพื้น
จากนั้นเสี่ยวเป่าก็เห็นบิดายกมือกุมศีรษะ ครวญครางอย่างเจ็บปวด เรือนผมยาวบดบังสีหน้ามิดชิด เสี่ยวเป่ามองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ว่าบิดาในตอนนี้กำลังไม่สบาย
ความรู้สึกนี้มาอีกแล้ว หนานกงสือเยวียนรู้สึกเหมือนศีรษะของตนเองถูกค้อนทุบ ปวดรวดร้าวเป็นพัก ๆ
เขายกมือกุมศีรษะของตัวเอง บนหน้าผากเส้นเลือดเขียวปูดนูน กระทั่งดวงตายังเต็มไปด้วยเส้นโลหิตสีแดงก่ำ ใบหน้าเหลือเพียงความเจ็บปวด เหงื่อเย็นตกลงมาตามขอบหน้าผาก เขาพยายามอดทน ไม่ต้องการให้ตัวเองสูญเสียการควบคุมจนกลายเป็นสัตว์ประหลาด
ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหนานกงสือเยวียนดูจะกลายเป็นสีแดงโลหิต โลกมนุษย์ค่อย ๆ บิดเบี้ยวแล้วเลือนหายไป ร่างของเขาถูกมือภูตผีปีศาจที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจนับไม่ถ้วนกระชากลงไปในหุบเหวอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด
เสียงของศัตรูที่เคยตายในสนามรบดังขึ้นข้างหู วิญญาณศัตรูทั้งหมดเพรียกหาปรารถนาให้เขาชดใช้ด้วยชีวิต
“ท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นอะไรไป”
ในขณะที่หนานกงสือเยวียนกำลังเข้าสู่ภาวะคลุ้มคลั่ง เสียงของเด็กหญิงกลับค่อย ๆ เรียกสติเขาคืนมา
ทันใดนั้น หนานกงสือหยวนก็นึกขึ้นได้ว่าบุตรสาวตัวน้อยของเขายังคงอยู่ที่นี่
รีบหนีไป เร็วเข้า!
ริมฝีปากบางของฮ่องเต้พยายามจะเอ่ยออกมาเช่นนั้น แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก
ติ๋ง…
เหงื่อเย็นเยียบไหลลงมาตามสันจมูก
รีบออกไปซะ!
เสี่ยวเป่าเห็นว่า จู่ ๆ ก็มีหมอกสีดํามากมายโผล่ออกมาจากร่างกายของบิดา แล้วท่านพ่อก็ดูเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น
นางรีบปีนลงจากเก้าอี้ กระตุกชายเสื้อของบิดาอย่างเป็นห่วงระคนกระวนกระวาย
“ออกไป!”
หลังจากผ่านความพยายามนับไม่ถ้วน หนานกงสือเยวียนก็สามารถเค้นเสียงคำรามออกมาได้ เขาสะบัดแขนเสื้อไล่เด็กน้อยที่กำลังจับตนเองอยู่ออกไปได้สำเร็จ
“ออกไปจากที่นี่ซะ!”
หนานกงสือเยวียนหอบหายใจหนัก พยายามจะพาร่างของตนเองออกไปจากที่นี่ แต่เดินได้แค่สองก้าวก็โซซัดโซเซจนเกือบล้มลง
โต๊ะและเก้าอี้ในห้องถูกเขาเดินชนล้มระเนระนาด
เด็กหญิงมองบิดาของตนเองด้วยน้ำตาคลอเบ้า
แต่นอกจากนางจะไม่ไปไหนแล้ว เสี่ยวเป่ายังยืนขึ้นอย่างเข้มแข็ง ใช้ขาสั้น ๆ วิ่งไปกอดบิดาเอาไว้อย่างแนบแน่น
“ไม่ไป! เสี่ยวเป่าไม่ไป! เสี่ยวเป่าจะช่วยเหลือท่านพ่อเอง ไปให้พ้นนะ! เจ้าพวกสิ่งไม่ดี พวกเจ้าออกไปให้หมด อย่ามายุ่งกับท่านพ่อของเสี่ยวเป่า!”